งานเลี้ยงช่วงเย็นของจวนรองเสนาบดีจัดขึ้นในสวนด้านทิศตะวันออก งดงาม หรูหราตระการตาไปทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นพุ่มดอกเหมยที่แต่งแต้มทั่วศาลา เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบาจากมุมหนึ่งของเรือน กลิ่นหอมจากบุปผานานาพันธุ์คลุ้งในอากาศ และอาหารหรูหรารสเลิศหลายสิบชนิดถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะอย่างงดงาม ทุกอย่างล้วนแสดงถึงฐานะของเจ้าภาพได้อย่างชัดเจน
บ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ บรรดาแขกสูงศักดิ์เริ่มทยอยเดินทางมาร่วมงานพร้อมรอยยิ้ม
แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นผู้มีฐานะสูงส่งในเมืองหลวง ทั้งตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจและอิทธิพล
แม้งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับเซิ่งซื่อ แต่ความจริงแล้ว ทุกคนต่างก็ล้วนมีจุดประสงค์ของตนเอง บางคนหวังสร้างสายสัมพันธ์ บางคนหวังหาโอกาสผูกสัมพันธ์ หรือแม้แต่เล็งเห็นประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม ทุกอย่างล้วนเป็นเกม เป็นหมากทางการเมือง
บรรดาบุรุษแยกตัวออกไปยังศาลาอีกด้านหนึ่ง พูดคุยกันเรื่องบ้านเมือง อำนาจ และถกเถียงกันเรื่องราชสำนัก แววตาแต่ละคนต่างสังเกตชั่งน้ำหนักว่าใครมีแนวโน้มจะก้าวหน้ากว่ากันในอนาคต
ทางฝั่งสตรีกลับมีบรรยากาศต่างออกไป เหล่าฮูหยินและคุณหนูจากตระกูลใหญ่ พวกนางต่างเฉิดฉันในชุดงดงาม ราวกับกำลังประชันกัน เครื่องประดับอัญมณีวิบวับราวดวงดาว ทุกคนล้วนแต่งกายงดงาม สะท้อนรสนิยมและฐานะอย่างชัดเจน พวกนางยืนรวมกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กๆ คุยกันเสียงเบา แว่วเสียงหัวเราะอ่อนหวานเจือเสน่ห์จริตตามแบบหญิงงามผู้สูงศักดิ์
ในบทสนทนานั้น บ้างพูดถึงฤดูใหม่ ดอกไม้ใบหญ้า และความนิยมล่าสุดจากร้านตัดเย็บและร้านเครื่องประดับชื่อดัง บ้างแอบเมียงมองคุณชายจากตระกูลดีๆ บางคนก็เอ่ยถึงข่าวซุบซิบในเมืองหลวงอย่างออกรส
บรรยากาศทั้งหมดคล้ายงานรื่นเริง แต่มวลอารมณ์แฝงไว้ด้วยการจับตามองและแข่งขันทางสังคมอย่างแยบยล
เซิ่งซื่อในชุดผ้าไหมปักลายสีเขียวเข้ม สตรีผู้เคยเป็นเพียงฮูหยินรอง บัดนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งของ "ฮูหยินเอก" อย่างสมภาคภูมิ สง่างามตรงตำแหน่งเจ้าภาพ พูดคุยอยู่กับเหล่าฮูหยินขุนนางจวนอื่นในศาลา รอยยิ้มอ่อนหวานประดับอยู่บนใบหน้าราวกับนางลืมไปแล้วว่าตนเคยร้องไห้แทบขาดใจเมื่อตอนกลางวัน
วันนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังอวี้เหมยที่เปล่งประกายยิ่งกว่าผู้อื่น นางสวมชุดกระโปรงบานสีแดงปักดิ้นทองละเอียดอ่อน ประดับด้วยเครื่องทองล้ำค่าเต็มยศ ทั้งปิ่นปักผม สร้อยคอ กำไล และต่างหู ทุกชิ้นล้วนแสดงถึงฐานะและการเตรียมตัวมาอย่างดี
อวี้เหมยอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ที่ครั้งหนึ่งนางเคยอยากจะคบค้าสมาคมด้วย แต่เพราะนางเป็นเพียงบุตรีของภรรยารองจึงมักจะถูกเมินเฉยใส่เสมอ วันนี้กลับเป็นพวกนางที่ต้องเข้ามาหาตนเอง ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มอย่างประณีตจึงเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่วงท่าที่แสดงออกนั้นสง่างาม รับคำชมด้วยรอยยิ้มพอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยจนน่าเกลียด วางตัวสมเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์แห่งจวนรองเสนาบดี
บรรยากาศกำลังดำเนินไปอย่างสุนทรี ทุกคนพูดคุยชื่นชมเจ้าภาพ ก่อนที่เสียงหัวเราะแผ่วเบาจะตามมาอย่างชื่นมื่น
เซิ่งซื่อยิ้มรับคำชมอย่างหน้าชื่นตาบาน พลางพยักหน้าให้บ่าวไพร่คอยเติมชาและจัดของว่างให้แขกไม่ขาดตกบกพร่อง สมกับเป็นฮูหยินที่แสนงดงามและสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ
แต่บรรยากาศอันสุนทรีก็ต้องหยุดลงชั่วขณะ เมื่อเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นตรงด้านหน้าศาลา
สายตาทุกคู่หันไปมองโดยไม่ได้นัดหมาย
หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนดั่งไข่มุก ปักลายผีเสื้อด้วยไหมสีเงินบางเบาราวกับมีชีวิต ผืนผ้าพลิ้วไหวแผ่วเบาตามลม แค่เพียงแวบแรกก็ชวนให้ผู้พบเห็นต้องหยุดหายใจ
เส้นผมดำขลับเรียบลื่นดังแพรไหม ถูกรวบขึ้นเกล้าเป็นมวยเตี้ยกลางท้ายทอย ทรงผมเรียบง่ายแต่ชดช้อย งดงามอย่างมีรสนิยม รอบมวยผมนั้นมีผ้าแพรไหมสีชมพูอ่อนสีเดียวกับชุดผูกเอาไว้ ปลายผ้าห้อยระย้าลงมาตามแนวผมเล็กน้อย ขับให้นางยิ่งดูอ่อนหวาน
บนศีรษะของนางไม่มีเครื่องประดับหรูหราใด นอกจากปิ่นไม้ด้ามบางสลักลายเมฆ เสียบคั่นมวยผมไว้ให้กระชับ ช่วยขับให้ภาพลักษณ์ของนางแลดูอ่อนโยน งามบริสุทธิ์ ราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้มกลางฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจากทรงผมของนางเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นทรงผมที่นิยมในหมู่คุณหนูตระกูลดีที่ยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่น
เมื่อก้าวย่างเข้าสู่งานเลี้ยง บรรดาแขกเหรื่อต่างหันมองด้วยความชื่นชม ว่าคุณหนูผู้นี้แม้ยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่น หากแต่กลับเฉิดฉายได้อย่างงดงามสมวัย งามบริสุทธิ์ ไร้ความเก้อเขินหรือเกินตัว ความงามที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ดั่งบทกวีแผ่วเบาที่ติดตรึงอยู่ในใจผู้อ่าน
ถึงแม้บนใบหน้าจะมีผ้าโปร่งคาดไว้ครึ่งล่าง แต่กลับปกปิดไม่ได้เลยว่าภายใต้ผืนผ้านั้นมีใบหน้างามพิสุทธิ์เพียงใด ใบหน้าเรียวเล็กดูอ่อนละมุน แววตาของนางสดใสทอประกาย ทุกอิริยาบถของนางงดงามดั่งบุปผา เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัยเยาว์ที่งดงามน่าหลงใหล งามจับใจ ราวหยาดน้ำค้างกลางแสงจันทร์
งามแบบที่ไม่ต้องพยายาม
หากวันหนึ่งนางเติบโตเป็นสตรีเต็มตัว และได้ผ่านพิธีปักปิ่นอย่างสมบูรณ์ ความงามนี้คงล่มเมืองได้ไม่ยาก
และแม้แต่อวี้เหมยที่แต่งตัวงดงามในวันนี้ ยังถูกกลบแสงลงโดยไม่ทันรู้ตัว
"นั่นคือคุณหนูรองอวี้หลันอย่างนั้นหรือ"
ใครบางคนพึมพำขึ้นแผ่วเบา ก่อนอีกหลายเสียงจะตามมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
เซิ่งซื่อที่เพิ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบ ถึงกับชะงักมือกลางอากาศ ลมหายใจสะดุดวูบไปครู่หนึ่ง ดวงตาเบิกเล็กน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวในรูปลักษณ์เช่นนี้ ทั้งที่เมื่อกลางวันยังคล้ายคนป่วยใกล้ตายอยู่เลย
เซิ่งซื่อรีบปรับสีหน้า ฝืนยิ้มอ่อนออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยน ในขณะที่มือนั้นลอบหยิกบุตรสาวไปทีหนึ่ง เตือนให้นางรีบเก็บสีหน้าที่เริ่มบิดเบี้ยวของตน
"หลันเอ๋อร์มาแล้วหรือ"
เสียงทักทายของเซิ่งซื่อฟังดูอ่อนโยน อบอุ่นดั่งมารดาผู้แสนเมตตา
อวี้หลันเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม นิ่งสงบ นางย่อตัวลงเล็กน้อย คำนับต่อเหล่าผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่โดยรอบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน
"ขออภัยที่หลันเอ๋อร์มาช้าเจ้าค่ะ"
เซิ่งซื่อรีบวางถ้วยชาลง แล้วยกมือขึ้นโบกราวกับบอกว่าไม่เป็นไร
"มาเถอะ มานั่งนี่เร็วเข้า"
ท่าทางและถ้อยคำของเซิ่งซื่อ ช่างสมกับตำแหน่งแม่เลี้ยงผู้แสนดี ไม่มีที่ติแม้แต่น้อย
อวี้หลันกระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ ดวงตาคู่งามปรายมองผู้เป็นมารดาเลี้ยง พลางนึกชมในใจอย่างอดไม่ได้
หญิงนางนี้ ช่างตีหน้าเก่งยิ่งนัก... ภายนอกดูอ่อนโยนละมุนละไมราวแม่พระ แต่ในใจคงอยากฉีกข้าเป็นชิ้นๆ แล้วกระมัง
แม้ในใจจะนึกเย้ยหยันเพียงใด อวี้หลันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นางเพียงย่อกายคำนับเล็กน้อยอย่างนุ่มนวลสงบเสงี่ยม ตามมารยาทของคุณหนูในตระกูลขุนนางผู้ดี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าสงบเรียบเฉย กวาดตามองสองแม่ลูกเพียงครู่เดียว แล้วหมุนกายอย่างสง่างามไปนั่งยังที่นั่งซึ่งจัดเตรียมไว้ให้
ท่วงท่าของนางงามสง่าเย็นตา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเปี่ยมด้วยความมั่นใจที่แฝงความสูงศักดิ์ ไม่ใช่ความอวดดี แต่เป็นแรงกดดันเงียบๆ ที่ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตา
ทว่าแม้ดวงตาคู่นั้นจะเพียงแค่มองผ่านเท่านั้น แต่กลับทำให้สองแม่ลูกใบหน้าเห่อร้อนแดงก่ำ ราวกับโดนตบหน้าเข้าอย่างจัง ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างบรรจงพลันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ราวกับแววตาเรียบนิ่งคู่นั้นมองทะลุความคิดในใจพวกนางจนหมดเปลือก
อวี้เหมยกำชายเสื้อแน่น ลอบหันไปกระซิบเรียกมารดาเบาๆ
"ท่านแม่..."
เซิ่งซื่อฝืนยิ้มบาง รู้ดีว่าบุตรสาวกำลังกังวลสิ่งใด ริมฝีปากแทบไม่ขยับขณะตอบกลับเสียงต่ำ
"อย่าได้เผยพิรุธออกมา...นางไม่กล้าหรอก"
แต่แม้จะพูดเช่นนั้น สีหน้าเรียบเฉยของนางก็บิดเบี้ยววูบหนึ่งเมื่อสบเข้ากับแววตาสงบของอวี้หลันที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนรูปสลักใต้ร่มผ้าเบาบาง
เครื่องประดับที่ประดับเต็มร่างของพวกนาง บัดนี้คล้ายหนักอึ้งเกินทน เมื่อเจ้าของที่แท้จริงของมันปรากฏตัว และเพิ่งจะทวงทุกอย่างคืน
บรรยากาศในศาลาคล้ายจะนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทว่ารอบกายกลับคล้ายมีแรงปะทะบางอย่างที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านออกมาอย่างเงียบงัน แขกสตรีที่นั่งอยู่โดยรอบต่างแอบส่งสายตามองกันไปมา บางคนยกถ้วยชาขึ้นจิบ บ้างก็กระแอมเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดที่เริ่มคืบคลาน
มีใครบ้างที่จะมองไม่ออก ถึงแม้เซิ่งซื่อจะยิ้มแย้มอ่อนโยน ราวมารดาผู้แสนดีมีเมตตา แต่น้อยคนนักที่จะเชื่อในภาพลวงตานั้น เหล่าสตรีชนชั้นสูงในที่นี้มีใครบ้างไม่เคยพบเจอหรือได้ยินเรื่องระหองระแหงระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง
แม่เลี้ยงแสนดีมีเมตตา ลูกเลี้ยงเชื่อฟัง
ในสายตาของพวกนาง กลับแลเห็นเพียงละครปาหี่ฉากหนึ่งเท่านั้น
พวกนางล้วนเคยผ่านเรื่องราวเช่นนี้ หรือไม่ก็ได้ยินจนชาชินอยู่แล้ว และต่างรู้ดีว่าใต้รอยยิ้มนั้นอาจแฝงไว้ด้วยเล่ห์กลมากมาย
ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาตรงๆ แต่สายตานั้นต่างลอบสังเกตอย่างเงียบๆ เพราะรู้ดีว่าท่าทางรักใคร่นั้นไม่ได้ราบรื่นอย่างที่แสดงออกมา
ส่วนอวี้หลันที่นั่งนิ่งอยู่นั้นกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ นางดูสงบเสงี่ยม อ่อนโยน และไม่ผิดแผกจากบุตรีชนชั้นสูงแม้แต่น้อย
แต่แล้วท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มอึมครึม เสียงขันทีหลวงที่เดินทางมาพร้อมราชโองการก็ดังขึ้น ทำให้ผู้คนในงานพากันหยุดพูดคุยแล้วลุกขึ้นมาคุกเข่ารับราชโองการ
"ตามพระราชประสงค์ของฝ่าบาท ด้วยเห็นว่าองค์ชายห้าเติบโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ถึงวัยสมควรออกเรือน ครอบครัวรองเสนาบดีอวี้จิ้งมีคุณงามความดีรับใช้แผ่นดินมายาวนาน และบุตรีของรองเสนาบดีอวี้จิ้งมีคุณสมบัติเหมาะสม สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นว่าที่ชายาในอนาคต จึงมีพระราชโองการ ประกาศการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน กับ คุณหนูใหญ่อวี้เหมย บุตรสาวของรองเสนาบดีฝ่ายพิธีการ รอฤกษ์งามยามดีแต่งเข้าเป็นสะใภ้หลวง จบราชโองการ"
เมื่อเสียงประกาศราชโองการจบลง ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ก่อนสายตาทุกคู่จะหันไปยังบุตรสาวตระกูลอวี้ทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังบิดามารดา
อวี้เหมยแม้จะแสดงท่าทีสงบเสงี่ยม หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแห่งความปลาบปลื้ม ยากจะปิดซ่อนความยินดีเอาไว้ได้
ขณะที่เซิ่งซื่อผู้เป็นมารดาเพียงคลี่ยิ้มบางๆ อย่างสง่างาม แม้จะไม่ได้กล่าวอะไร แต่ในใจกลับโห่ร้อง เปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีล้นปรี่
นางเหลือบมองลูกเลี้ยงด้วยสายตาสาแก่ใจ แววตาเยาะเย้ยแผ่วเบาอย่างผู้มีชัย
ส่วนนายท่านของจวน รองเสนาบดีอวี้จิ้งถูกรุมล้อมด้วยเหล่าบุรุษที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดี แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มประดับเอาไว้ แต่สายตาของเขากลับจ้องมองไปยังบุตรสาวคนรองด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก