สายลมยามสายพัดผ่านสวนดอกเหมยภายในเรือนฮวาหงอย่างแผ่วเบา กลีบดอกสีแดงสดปลิวว่อนราวภาพวาดงดงามในความฝัน อวี้หลันนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตั่งคนงามหน้าชานเรือน บนใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังฝันดี ข้างกายมีฉิงหว่านกำลังบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจ
ทว่าภายในเรือนฮูหยินเอกของจวนรองเสนาบดีกลับร้อนระอุดั่งถูกโยนเข้ากองเพลิง
เสียงถ้วยชาราคาแพงกระแทกพื้นแตกกระจายสะท้อนก้องไปทั่วเรือน ความเงียบงันหลังจากนั้นปรากฏเสียงลมหายใจหอบถี่ปนสะอื้นของหญิงผู้หนึ่งที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่กลางห้อง
เซิ่งซื่อกัดฟันแน่น ดวงหน้าแปรเปลี่ยนจากความสง่างามอ่อนโยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะ
วันนี้ควรจะเป็นวันของนาง วันเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องสถานะและเกียรติยศของนางในฐานะฮูหยินเอก นางสมควรที่จะโดดเด่นและเชิดหน้าขึ้นสูงได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่กลับกลายเป็นวันแห่งหายนะ ทุกอย่างพังลงอย่างไม่เป็นท่า ทั้งนางยังพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ถูกเหยียบย่ำต่อหน้าบ่าวไพร่ทั้งจวน
"อวี้หลัน นังเด็กสารเลว"
เสียงของเซิ่งซื่อหลุดออกมาจากลำคอด้วยความเกลียดชังสุดขีด ตั้งแต่ที่แต่งเข้าจวนรองเสนาบดีมา นี่นับเป็นครั้งที่สองที่นางโกรธจนแทบคลั่งและเสียอาการเช่นนี้
และทั้งสองครั้งล้วนเกิดจากสองแม่ลูกสารเลวนั่น
ครั้งแรกคือตอนที่นางรับรู้ว่าไป๋ซูเหยาตั้งครรภ์ ทั้งที่ไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์มาก่อน ความฝันของนางพังทลายลงทันที เส้นทางอำนาจที่ควรจะราบรื่นไร้ผู้ขัดขวาง กลับพังครืนลงต่อหน้าต่อตา
และครั้งนี้ นางไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ที่ทำให้นางแทบกระอักเลือดจะกลายเป็นบุตรสาวของนังผู้หญิงคนนั้น
สองแม่ลูกนี่ ควรตายตกตามกันไปซะ
เซิ่งซื่อกำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบและเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
นางเคยกำจัดไป๋ซูเหยาให้พ้นทางมาได้แล้วครั้งหนึ่ง แล้วจะยากอะไรกับการกำจัดเด็กเมื่อวานซืนอย่างอวี้หลันบุตรสาวของอีกฝ่าย
คิดจะเป็นศัตรูกับนางอย่างนั้นหรือ
ช่างไร้เดียงสานัก
"อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไว้"
เซิ่งซื่อเอ่ยเสียงกดต่ำ เต็มไปด้วยความอัดอั้นคับแค้น
ทว่าในวินาทีนั้น น้ำตาร้อนผ่าวก็ไหลรินออกมาเงียบๆ จากดวงตาคู่งามของนาง
ผู้ที่ทำให้นางเจ็บปวดจนต้องหลั่งน้ำตากลับไม่ใช่อวี้หลัน หากแต่เป็น อวี้จิ้ง สามีของนางเอง
วันนี้เขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเด็กคนนั้น โดยไม่สนใจว่านางจะรู้สึกอย่างไร สิ่งที่เขาทำ เจ็บเสียยิ่งกว่าการถูกตบหน้าเสียอีก
เซิ่งซื่อยกมือขึ้นปาดน้ำตาแรงๆ เหมือนจะลบล้างความอ่อนแอและความเจ็บปวดทั้งหมดทิ้งไป
นางรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอวี้จิ้ง ตั้งแต่ต้นไม่เคยมีคำว่า "รัก" หากแต่คือ พันธะทางการเมืองและผลประโยชน์
อวี้จิ้งต้องการแรงสนับสนุนจากตระกูลเซิ่งเพื่อเส้นทางสู่ตำแหน่งและอำนาจ ส่วนนางและตระกูลต้องการฐานอำนาจเพื่อขยายอิทธิพล เป็นบันไดสู่อำนาจ
แรกเริ่มเดิมที อวี้จิ้งไม่รัก นางก็ไม่ต้องการความรัก สิ่งที่นางต้องการคือ อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง และความมั่นคง
แต่นานวันเข้าจิตใจของนางก็หวั่นไหว นางหลงรักสามีของตัวเองอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
จากที่เคยต้องการแค่ฐานะและอำนาจ นางกลับอยากได้ "หัวใจ" ของเขา นางทำทุกอย่างเพื่อเป็นภรรยาเพียงคนเดียวที่เขาจะรักและเลือก ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ครอบครองเขาเพียงผู้เดียว นางปรารถนาเขา ไม่ใช่เพียงในฐานะสามีตามพันธะ แต่นางต้องการเป็นผู้เดียวที่ได้ครอบครองหัวใจของเขา
แต่วันนี้ เขากลับพิสูจน์ให้นางเห็นแล้วว่า ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใด นางก็ไม่เคยแทนที่คนที่ตายไปแล้วได้เลย ในหัวใจของเขาไม่เคยมีนางอยู่เลย
แต่ก็ใช่ว่านางจะพ่ายแพ้ไปเสียทุกอย่าง แม้ในใจจะยังร้อนรุ่มด้วยเพลิงโทสะที่ยากจะดับลง แต่นางรู้ดีว่าเกมนี้ยังไม่จบ และนางยังไม่ใช่ผู้แพ้ นางจะทำให้อวี้จิ้งรู้ว่า นางต่างหากที่จะทำให้เขาไปถึงจุดหมายที่เขาวาดหวังไว้ได้
เซิ่งซื่อทิ้งกายลงนั่งอย่างสง่างามบนตั่งไม้หอม ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่เปื้อนแก้มเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เชิดหน้าขึ้น แววตาเริ่มกลับมามีประกายอีกครั้ง
คิดถึงข่าวที่พี่ชายของนางซึ่งรับราชการในหน่วยองครักษ์วังหลวงส่งมา มุมปากของเซิ่งซื่อก็พลันยกยิ้มอย่างเย็นชา ทำให้นางพอจะคลายโทสะลงได้บ้าง
บุตรสาวของนางคือคนที่ฮองเฮาทรงเลือกให้ยืนเคียงข้างองค์ชายห้า
เรื่องนี้จะคืนศักดิ์ศรีให้กับนาง
ใบหน้างามที่ก่อนหน้านี้บิดเบี้ยวด้วยโทสะ กลับแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานสง่างามดังเดิมราวกับเป็นคนละคน ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกบ่าวไพร่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงอำนาจ
"ใครอยู่ข้างนอก เข้ามานี่หน่อย มาช่วยข้าอาบน้ำแต่งตัว"
บ่าวคนสนิทรีบก้าวเข้ามาทันทีด้วยสีหน้าลนลาน เซิ่งซื่อไม่เอ่ยอะไรต่อ เพียงแต่หันหน้าไปทางกระจกทองเหลือง หยิบปิ่นปักผมหยกล้ำค่าขึ้นมาถืออย่างอ่อนช้อย
ดวงตาของเซิ่งซื่อสะท้อนความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่โหมกระหน่ำไม่หยุด
งานเลี้ยงเย็นนี้นางจะทวงคืนทุกความเจ็บช้ำที่นางได้รับ นางจะให้นังเด็กนั่นลิ้มรสของความผิดหวัง และการสูญเสีย ก่อนที่นางจะมอบความเมตตาส่งมันไปพบมารดาในปรโลก
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเซิ่งซื่อ ดูอ่อนหวาน นุ่มนวล สง่างามตามแบบฉบับฮูหยินผู้สูงศักดิ์ หากแต่ภายในซ่อนคมดาบที่พร้อมกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก
เซิ่งซื่อค่อยๆ ปลดเครื่องประดับบนศีรษะออกทีละชิ้น เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ เมื่อปิ่นปักผมและต่างหูชิ้นสุดท้ายถูกวางลงบนถาดเงิน นางปล่อยให้เส้นผมดำขลับยาวสลวยของตนทิ้งตัวลงมา ยกมือขึ้นลูบมันแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม แล้วหันไปสั่งบ่าวข้างกาย
"เตรียมชุดผ้าไหมสีเขียวปักดิ้นทองให้ข้า ข้าจะใส่ชุดนั้น"
ชุดผ้าไหมสีเขียวปักดิ้นทองชุดนั้น นางตั้งใจเก็บไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ เพราะเป็นหนึ่งในชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีตที่สุด ลวดลายบนชุดเปรียบดังเถาวัลย์ทองที่เลื้อยพันไปรอบกาย ดูอ่อนช้อยงดงาม ทั้งยังตัดเย็บจากผ้าไหมล้ำค่าหายาก
วันนี้นางจะปรากฏตัวอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะฮูหยินใหญ่ของจวนรองเสนาบดี และว่าที่แม่ภรรยาขององค์ชายห้า
ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะมาข่มนางได้อีกต่อไป
ในขณะที่ผู้อื่นกำลังวางแผนการมากมาย แต่ตอนนี้ในเรือนฮวาหงกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยกันของสองนายบ่าว
บรรยากาศภายในเรือนสดใสเป็นพิเศษ ผู้ที่กำลังถูกหมายหัวกลับไม่แม้แต่จะมีร่องรอยของความหวาดหวั่นบนใบหน้า ทั้งที่วันนี้ตนพึ่งจะรังแกผู้อื่นมา
อวี้หลันในชุดคลุมบางสีอ่อนนั่งทอดกายอย่างผ่อนคลายอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แสงแดดยามเย็นที่ลอดผ่านม่านบาง สาดลงกระทบผิวขาวเนียนจนดูเปล่งประกาย
นางหรี่ตามองผืนผ้าแต่ละชุดที่ฉิงหว่านนำมาให้เลือก แววตาเป็นประกายสนุกสนานเหมือนกับเด็กสาวผู้หนึ่ง เสื้อผ้าและเครื่องประดับในยุคนี้ ล้วนงดงาม ประณีต และล้ำค่า
"ชุดนี้ก็ดี"
อวี้หลันพูดขึ้น ขณะยื่นมือไปลูบชายผ้าเบาๆ
"แต่มุกที่ชายผ้านี่มันเยอะไปหน่อย ดูแล้วรกตา"
ฉิงหว่านหัวเราะคิกขณะถือชุดอีกชุดขึ้นมา
"แล้วสีฟ้านี้เล่าเจ้าคะ ใส่แล้วน่าจะดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอมดี"
อวี้หลันส่ายหน้าเบาๆ
"เรียบไปหน่อย เดี๋ยวจะมีคนกล่าวหาว่าข้าสมถะอีก"
ได้ยินเช่นนั้น ฉิงหว่านก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
"บ่าวว่างานวันนี้ฮูหยินกับคุณหนูใหญ่คงต้องจ้องเล่นงานคุณหนูแน่เจ้าค่ะ"
อวี้หลันเพียงยกยิ้มบางๆ ขณะหยิบปิ่นทองลวดลายดอกเหมยขึ้นมาพิจารณาในแสงแดด นางไม่ได้มีความกังวลแม้แต่น้อยว่าจะมีใครคิดอย่างไร หรือต้องรับมืออย่างไรต่อไปหลังจากนี้
แม้จะรู้ดีว่างานเลี้ยงวันนี้คงไม่ใช่งานเลี้ยงธรรมดา แต่ในแววตาของนางกลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความหวาดกลัวหรือกังวล
หากพวกนางอยากจะเล่น นางก็จะยอมเล่นด้วย
ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้ายคนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้งริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิดคนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่นอวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่ายแต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนคิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่
หลังจากขันทีจากวังหลวงกลับไปแล้ว เสียงกระซิบก็เริ่มดังขึ้นรอบบริเวณเรื่องขององค์ชายห้ากับตระกูลอวี้ นับเป็นสิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างเคยกล่าวถึงกันอยู่ไม่น้อยหลายปีก่อน อวี้หลันบุตรีคนรองที่เกิดจากฮูหยินตระกูลไป๋เคยถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นหมายขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน บุตรชายลำดับที่ห้าแห่งฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจกับฮองเฮาองค์ปัจจุบันแม้สัญญาหมั้นนั้นจะยังไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก แต่ก็มีการตกลงกันระหว่างฮองเฮากับสกุลอวี้ เป็นคำมั่นที่กล่าวกันต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ด้วยชื่อเสียงของท่านรองเสนาบดีฝ่ายพิธีการในขณะนั้น ทั้งยังเกี่ยวดองกับตระกูลไป๋ที่ทรงอำนาจในเมืองหลวง การหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวกับองค์ชายราชวงศ์จึงไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมแต่แล้ว…ทุกอย่างกลับพังทลายลงในพริบตาตระกูลฝั่งมารดาของคุณหนูรองอวี้หลัน ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่กลับต้องโทษ เครือญาติถูกกวาดล้าง สินทรัพย์ถูกยึด ส่วนผู้ที่เหลือรอดถูกถอดยศปลดตำแหน่งแม้ตัวอวี้หลันจะยังมีสถานะเป็นบุตรีของรองเสนาบดี แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านเดิมมารดาของนางกลับกลายเป็นมลทินในสายตาผู้อื่นในเวลาไม่นาน การหมั้นหมายที่เคย
งานเลี้ยงช่วงเย็นของจวนรองเสนาบดีจัดขึ้นในสวนด้านทิศตะวันออก งดงาม หรูหราตระการตาไปทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นพุ่มดอกเหมยที่แต่งแต้มทั่วศาลา เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบาจากมุมหนึ่งของเรือน กลิ่นหอมจากบุปผานานาพันธุ์คลุ้งในอากาศ และอาหารหรูหรารสเลิศหลายสิบชนิดถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะอย่างงดงาม ทุกอย่างล้วนแสดงถึงฐานะของเจ้าภาพได้อย่างชัดเจนบ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ บรรดาแขกสูงศักดิ์เริ่มทยอยเดินทางมาร่วมงานพร้อมรอยยิ้มแขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นผู้มีฐานะสูงส่งในเมืองหลวง ทั้งตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจและอิทธิพล แม้งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับเซิ่งซื่อ แต่ความจริงแล้ว ทุกคนต่างก็ล้วนมีจุดประสงค์ของตนเอง บางคนหวังสร้างสายสัมพันธ์ บางคนหวังหาโอกาสผูกสัมพันธ์ หรือแม้แต่เล็งเห็นประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม ทุกอย่างล้วนเป็นเกม เป็นหมากทางการเมืองบรรดาบุรุษแยกตัวออกไปยังศาลาอีกด้านหนึ่ง พูดคุยกันเรื่องบ้านเมือง อำนาจ และถกเถียงกันเรื่องราชสำนัก แววตาแต่ละคนต่างสังเกตชั่งน้ำหนักว่าใครมีแนวโน้มจะก้าวหน้ากว่ากันในอนาคตทางฝั่งสตรีกลับมีบรรยากาศต่างออกไป เหล่าฮูหยินและคุณหนูจากตระกูลใหญ่
สายลมยามสายพัดผ่านสวนดอกเหมยภายในเรือนฮวาหงอย่างแผ่วเบา กลีบดอกสีแดงสดปลิวว่อนราวภาพวาดงดงามในความฝัน อวี้หลันนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตั่งคนงามหน้าชานเรือน บนใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังฝันดี ข้างกายมีฉิงหว่านกำลังบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจทว่าภายในเรือนฮูหยินเอกของจวนรองเสนาบดีกลับร้อนระอุดั่งถูกโยนเข้ากองเพลิงเสียงถ้วยชาราคาแพงกระแทกพื้นแตกกระจายสะท้อนก้องไปทั่วเรือน ความเงียบงันหลังจากนั้นปรากฏเสียงลมหายใจหอบถี่ปนสะอื้นของหญิงผู้หนึ่งที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องเซิ่งซื่อกัดฟันแน่น ดวงหน้าแปรเปลี่ยนจากความสง่างามอ่อนโยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะวันนี้ควรจะเป็นวันของนาง วันเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องสถานะและเกียรติยศของนางในฐานะฮูหยินเอก นางสมควรที่จะโดดเด่นและเชิดหน้าขึ้นสูงได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่กลับกลายเป็นวันแห่งหายนะ ทุกอย่างพังลงอย่างไม่เป็นท่า ทั้งนางยังพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ถูกเหยียบย่ำต่อหน้าบ่าวไพร่ทั้งจวน"อวี้หลัน นังเด็กสารเลว"เสียงของเซิ่งซื่อหลุดออกมาจากลำคอด้วยความเกลียดชังสุดขีด ตั้งแต่ที่แต่งเข้าจวนรองเสนาบดีมา นี่นับเป็นครั้งที่สองที่นางโกรธจนแทบคลั่งและเ
ภายในห้องโถง บรรยากาศยังคงอึมครึมมืดครึ้ม ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา อวี้จิ้งปลายสายตาเย็นชามองภรรยาที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างกาย"เจ้า! ช่างดีนัก หึ"เซิ่งซื่อที่เห็นสามีมองนางด้วยสายตาเย็นชาและดุดันก็พลันหน้าถอดสี ร่างบางสั่นสะท้านเล็กน้อย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาคลอ นางเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ ก่อนจะเบือนสายตาหันมาทางอวี้หลันด้วยสีหน้าราวกับรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด"เป็นแม่ที่เลอะเลือน มองคนไม่ออก ปล่อยให้บ่าวชั่วพวกนั้นล่วงเกินหลันเอ๋อร์ถึงเพียงนี้"เซิ่งซื่อเอ่ยเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นแผ่วเบา ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดหางตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ราวกับคนที่สะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง"แม่ผิดต่อหลันเอ๋อร์แล้ว"สีหน้าของเซิ่งซื่อเต็มไปด้วยความเศร้าสลด หากใครมองเพียงผิวเผินก็คงหลงนึกว่านางเสียใจจริงๆเหอะ เลอะเลือน มองคนไม่ออก หญิงนางนี้ช่างกล้าพูดได้อย่างไม่อายปากเป็นนาง ที่จงใจส่งคนพวกนั้นมาจับตามองเรือนฮวาหงตั้งแต่แรกไม่ใช่หรอกหรือ แล้วอีกอย่าง ใครเป็นลูกของนางกัน ลูกของนางนั่งโง่งมอยู่ตรงนั้นต่างหากอวี้หลันปรายตามองอวี้เหมยและอวี้คุนที่นั่งหน้าซีดตัวส
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานอวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรีอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณาหัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิดในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปย