หลังจากเรื่องสินเดิมของมารดาถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้หลันก็มาถึงเรือนหลักตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่บิดาของนางจะออกจากจวน
ภายในห้องหนังสือกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง รองเสนาบดีอวี้จิ้งเพิ่งนั่งลงจิบชาร้อน ยังไม่ทันจะวางจอกชา บ่าวคนสนิทก็เดินเข้ามารายงาน
"คุณหนูรองมาขอพบขอรับ"
ซูถัวเอ่ยบอกผู้เป็นนายเสียงเรียบ
อวี้จิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ในแววตาก็เจือไปด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเอ่ยอนุญาตเสียงนุ่ม
"ให้นางเข้ามาเถอะ"
เมื่อเห็นบุตรีคนรองก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีสงบ สุภาพเรียบร้อย ดวงตาของอวี้จิ้งก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
"หลันเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อแต่เช้า"
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
อวี้หลันย่อกายลงทำความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น
"ลูกอยากขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปหาซื้อทาสเข้าเรือนเจ้าค่ะ"
อวี้จิ้งวางจอกชาลง มองบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา
"เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเองหรอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ซูถัวติดต่อพ่อค้าทาส แล้วให้พวกเขาพาทาสมาให้เจ้าเลือกที่เรือน ซูถัวสายตาเฉียบคมนัก รู้ว่าใครซื่อสัตย์และทำงานเก่ง"
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านพ่อ"
อวี้หลันรับคำอย่างว่าง่าย ความจริงนางยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมากอยากจะถามบิดา แต่แค่เอาเรื่องนี้มาเอ่ยอ้างเท่านั้น
รองเสนาบดีอวี้จิ้งนิ่งไปเล็กน้อย ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาจ้องมองจอกชาในมือก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
"หลันเอ๋อร์ เรื่องขององค์ชายห้า"
เขาพูดเพียงเท่านั้นก็เงียบไป สายตาหม่นลงชั่วขณะ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
"พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่พระองค์ไม่คู่ควรกับลูก"
อวี้หลันยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า น้ำเสียงของนางสงบนิ่งไม่ต่างจากแววตา แม้จะคิดว่าอีกฝ่ายกล่าวผิดไปหรือไม่ เขาควรจะกล่าวว่านางไม่คู่ควรกับอีกฝ่ายต่างหาก
"ท่านพ่ออย่าได้คิดมากเลยเจ้าค่ะ ลูกไม่ได้ติดใจอันใด เรื่องนั้นได้ผ่านไปแล้ว"
แววตาของอวี้จิ้งสั่นไหวเล็กน้อย เขาหลุบตาลงก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
"พ่อเสียใจจริงๆ"
อวี้จิ้งหยิบกล่องเครื่องประดับที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมลายเมฆอย่างบรรจงที่เขาเตรียมเอาไว้มาตรงหน้า
"นี่ ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพ่อ พ่อสั่งช่างให้ทำขึ้นโดยเฉพาะ หวังว่าเจ้าจะชอบ"
อวี้จิ้งยื่นกล่องเครื่องประดับที่เขาสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษมาตรงหน้าบุตรสาว
อวี้หลันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอื้อมมือรับกล่องนั้นมาด้วยท่าทีสงบ นางเปิดดูภายใน เป็นกำไลหยกเขียวใสแวววาว เจือแสงทองบางเบา งดงามและดูมีค่าไม่ใช่น้อย
"มันอาจจะดูเล็กน้อยสำหรับเจ้าในตอนนี้"
อวี้จิ้งกล่าวเสียงเบา
"แต่พ่อก็ตั้งใจมอบให้เจ้า"
นางพยักหน้าเบาๆ แล้วเก็บกล่องลงอย่างเรียบร้อย
ก็นะ คนอุตส่าห์มีน้ำใจ จะไม่รับไว้ก็กะไรอยู่
"หลันเอ๋อร์"
อวี้จิ้งเอ่ยเรียกบุตรสาวที่ตอนนี้เติบโตขึ้นมากด้วยสายตาแน่วแน่
"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าสินเดิมของมารดาเจ้านั้นมีมูลค่ามหาศาล มันไม่ใช่แค่ทรัพย์สมบัติธรรมดา แต่คือเส้นเลือดและรากฐานของเจ้ากับน้องชาย พ่อหวังว่าเจ้าจะเก็บรักษามันไว้ให้ดี"
"เจ้าค่ะ"
อวี้หลันตอบรับเรียบๆ แม้ว่าหลังจากที่คิดใคร่ครวญอย่างดีแล้ว การที่นางถือครองทรัพย์สินมากมายไว้ในมือไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เพราะมันเหมือนกับนางกำลังแบกเป้าธนู แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้นางเก็บรักษา นางก็จะไม่ขัดข้อง
แม้ในใจจะยังสงสัยว่า เหตุใดบิดาจึงยอมปล่อยสมบัติมหาศาลเช่นนั้นให้หลุดมือ และเหตุใดต้องเลือกใช้การแต่งงานผูกสัมพันธ์ทางการเมืองแทนที่จะใช้ทรัพย์ในมือก็ตาม
แต่นางก็เลือกจะไม่ถามให้มากความ เพียงรับฟังอย่างสงบและเก็บงำความคิดนั้นไว้ในใจ แล้วเลือกเอ่ยถามในสิ่งที่นางอยากรู้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เจือความจริงจัง
"ท่านพ่อเจ้าคะ หากท่านรู้สึกผิดต่อลูกจริงๆ เช่นที่พูด"
อวี้หลันสบตาอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยต่อ
"ท่านบอกลูกได้หรือไม่ ว่าตอนนี้อาเฉินอยู่ที่ใด"
คำถามนั้นทำให้สีหน้าของอวี้จิ้งเปลี่ยนไปทันที ดวงตาที่เคยสงบนิ่งแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตามองต่ำลงอย่างเงียบงัน ความลังเลฉายชัดบนใบหน้า
อวี้หลันมองท่าทีของบิดาแล้วก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของนางยังคงอ่อนโยน ทว่าแน่วแน่
"ลูกเพียงอยากรู้ว่าเขาสบายดีหรือไม่ เพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ"
อวี้จิ้งเงียบไปชั่วครู่ เหมือนกำลังตัดสินใจ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวอย่างยอมจำนน ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
"เขาสบายดี ตอนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของคนผู้หนึ่ง และไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง"
เสียงของอวี้จิ้งราบเรียบ แต่ก็มีแววอบอุ่นและคะนึงหาแฝงอยู่
"แต่อีกไม่นาน เขาต้องกลับมาแน่ พ่อเชื่อเช่นนั้น"
ดวงตาของอวี้หลันไหววูบเล็กน้อย ราวกับคลื่นน้ำสะท้อนแสงในยามเช้า แต่เพียงครู่เดียว แววตานั้นก็กลับมาเงียบสงบเช่นเดิม
"เช่นนั้นหรือเจ้าคะ ขอบพระคุณท่านพ่อที่ไม่ปิดบังลูก"
บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมยามเช้าที่พัดใบไผ่นอกหน้าต่างส่ายไหวเป็นจังหวะเบาๆ แว่วดังคล้ายเสียงกระซิบของฤดูกาล
อวี้จิ้งทอดสายตามองบุตรีผู้เติบโตขึ้นมากอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว ทว่าเปี่ยมด้วยความรู้สึก
"ตอนนี้เขาคงโตขึ้นมากแล้ว โตพอที่จะปกป้องตัวเองและเจ้าได้แล้วเช่นกัน"
ในยามสายของวันนั้น ซูถัวก็นำทาสกลุ่มหนึ่งเดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ ลานหน้าศาลากลางสวนในเรือนฮวาหงพลันคึกคักไปด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงรายงานชื่อดังขึ้นต่อเนื่อง ขณะทาสแต่ละคนทยอยก้าวเข้ามาในลานทีละคนอย่างนอบน้อม
ทุกสายตาในลานต่างจับจ้องไปยังร่างของคุณหนูรองผู้เป็นเจ้าของเรือน หญิงสาวในชุดผ้าไหมสีอ่อนที่นั่งอย่างสงบอยู่บนตั่งไม้แกะสลักลวดลายงดงาม ใบหน้าของนางนิ่งเรียบ แววตาสงบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจและความสุขุมที่ไม่อาจมองข้าม
บรรยากาศรอบศาลาดูเรียบร้อยและเงียบสงบ แต่ก็แฝงด้วยความกดดันบางอย่างที่ยากจะอธิบาย เป็นแรงกดดันที่มาจากสายตาของเจ้าของเรือน
แม้ภายนอกนางจะดูไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ภายในกลับสังเกตทุกรายละเอียดอย่างไม่คลาดสายตา ดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกกิริยาท่าทางของทาสแต่ละคน ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์หรือความชำนาญที่นางมองหา หากแต่คือแววตา ท่วงท่า และน้ำเสียงที่บ่งบอกถึง "ความภักดี" และ "นิสัยแท้จริง" ของแต่ละคน
บริเวณรอบศาลากลางสวนงดงามด้วยเงาไม้ไหวเอนรับสายลมอ่อน ข้างกายมีฉิงหว่านคอยจดบันทึกรายชื่อ และคุณสมบัติของแต่ละคนอย่างคล่องแคล่ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตั้งใจ และยามใดที่คุณหนูเหลือบตามองหรือพยักหน้า นางก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
ขณะที่การคัดเลือกยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เสียงรายงานคุณสมบัติของทาสแต่ละคนยังคงดังเป็นจังหวะ ฉิงหว่านขยับปลายพู่กันไม่หยุดนิ่ง ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในลาน หลังจากนั้นสองนายบ่าวก็หันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
"หลิวซาน อายุยี่สิบสอง เดิมเป็นทหารเวรยามจากเมืองชายแดน ถนัดใช้ทวนเป็นอาวุธ มีวิชาตัวเบาเล็กน้อย ไม่เคยมีความผิดติดตัว เพราะเกิดสงครามทำให้พ่อแม่เสียชีวิต จึงต้องขายตัวเองเป็นค่าทำศพบิดามารดา"
เสียงรายงานของบ่าวชายคนหนึ่งดังกังวานเรียบง่าย แต่อวี้หลันกลับละสายตาจากรายชื่อในมือขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ ดวงตาของนางจับจ้องเขาอย่างพินิจพิจารณา
หลิวซานเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สมส่วน แข็งแรง รูปร่างบ่งบอกถึงการฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ กล้ามแขนแน่นตึงเต็มไปด้วยพละกำลัง ใบหน้าคมเข้มดูสงบสุขุม เส้นผมถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย แววตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ไม่ได้แข็งกร้าว และไม่หลบสายตาของอวี้หลันแม้แต่น้อย
เขาเพียงยืนนิ่ง สงบ ไม่โอ้อวด ไม่แสดงความกลัว แต่ก็ไม่แข็งกร้าวจนเกินงาม ท่าทางมั่นคงเช่นนี้หาได้ยากในหมู่ทาสที่ถูกขายตัวเข้ามา
อวี้หลันมองสบตาอีกฝ่ายเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พร้อมเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
"คนผู้นี้ ข้าเอาไว้ใช้งาน"
"คนผู้นี้...รูปงามนักนะเจ้าคะคุณหนู"
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นข้างหู พร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อของฉิงหว่าน
".....!"
อวี้หลันชะงักไปทันที หันขวับไปมองคนสนิทอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ใบหน้านิ่งเฉียบของนางออกอาการเหวอเล็กน้อย ราวกับตั้งตัวไม่ทันกับคำพูดนั้น
สีหน้าของอวี้หลันเต็มไปด้วยความงุนงง ไม่ใช่ว่าฉิงหว่านเห็นว่าอีกฝ่ายหน่วยก้านดี มีคุณสมบัติเหมาะสมในการใช้งานเหมือนตนหรอกหรือ
"อะ อืม"
สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ ตอบรับอย่างไร้ถ้อยคำจะกล่าว
ฉิงหว่านยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะก้มหน้าลงจดชื่อ "หลิวซาน" ลงในสมุดบันทึก ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ริมฝีปากประดับไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ในใจของนางนึกชื่นชมคุณหนูของตนเงียบๆ
คุณหนูไม่เพียงเฉียบแหลมแต่ยังตาถึงยิ่งนัก!
หลิวซานได้ยินว่าตนถูกเลือกก็ค้อมกายลงคารวะทันที ไม่พูดพร่ำแต่แววตาฉายชัดถึงความเคารพและพร้อมรับใช้เต็มที่
อวี้หลันพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนสาวใช้ตัวน้อยของนางจะพบเจอรักแรกพบเข้าเสียแล้ว
สุดท้ายแล้ว ในกลุ่มคนหลายสิบชีวิต มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ของอวี้หลัน ทั้งชายและหญิงปะปนกันไป ทว่าทุกคนล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือแววตาที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่าทางที่ซื่อตรงไม่ปิดบัง และความซื่อสัตย์
ซูถัวยืนมองคุณหนูน้อยตรงหน้าอย่างเงียบๆ สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมที่ไม่อาจซ่อนเร้นได้ คุณหนูรองเติบโตขึ้นมากแล้วจริงๆ ไม่เพียงงดงามและสุขุม แต่ยังมีสายตาเฉียบคมยิ่ง
"ขอบคุณท่านอาซูที่เป็นธุระจัดการให้เจ้าค่ะ"
อวี้หลันเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนจะยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย
ซูถัวรีบก้มศีรษะลงและตอบด้วยรอยยิ้มบาง
"ไม่เป็นไรเลยขอรับ เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว"
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นคนสนิทของบิดา และจากที่นางได้สังเกตมาตลอดหลายวัน ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ ทั้งยังซื่อตรงและจงรักภักดี คู่ควรให้นางผูกไมตรีเอาไว้
หลังจากนั้นซูถัวก็พาคนที่เหลือกลับออกไป ทิ้งให้ลานศาลากลางสวนกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
อวี้หลันก็ลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม แล้วหันไปมองบ่าวกลุ่มใหม่ของตนที่ยืนเรียงแถวอย่างเคร่งขรึม ดวงตาของนางกวาดมองแต่ละคนช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง หนักแน่น แม้จะไม่ดังนัก แต่กลับแทรกซึมเข้าไปในใจของทุกคน
"ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าคือคนของข้า ขอเพียงซื่อสัตย์ ไม่คิดคดทรยศ ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องลำบากหรืออดอยาก และจะไม่ยอมให้ใครมารังแกพวกเจ้าได้"
ดวงตาของหญิงสาวฉายแววเด็ดเดี่ยว ก่อนจะกล่าวต่อชัดถ้อยชัดคำ
"จงจำไว้ว่า ข้าคือนายเพียงผู้เดียวของพวกเจ้า หากใครคิดทรยศ ข้าก็จะไม่ปรานี ไม่ละเว้นมันผู้นั้นเช่นกัน"
บ่าวไพร่ทั้งสิบรีบก้มหน้าคำนับพร้อมเอ่ยรับคำเสียงดังฟังชัด
"เจ้าค่ะ/ขอรับ"
พวกเขาทุกคนรับรู้ได้ทันทีว่านายหญิงของพวกเขาผู้นี้ มิใช่ธรรมดาแน่นอน
ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ บรรยากาศทั่วจวนตระกูลอวี้เงียบงัน ทุกคนต่างหลับสนิท ราตรีช่างสงบเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดไหวปลายไม้ได้อย่างชัดเจนแต่ภายในห้องนอนใหญ่ของเรือนฮวาหง กลับยังมีความเคลื่อนไหว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงพอให้เห็นเงาร่างบางที่กำลังยืนหน้ากระจกอวี้หลันอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีดำสนิท แขนยาวคลุมข้อมือ ชายเสื้อแนบลำตัว ปกปิดรูปร่างโดยสมบูรณ์ ปิดหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิด เส้นผมถูกรวบสูงอย่างคล่องตัว ดวงตาคมเรียบนิ่งกวาดมองตนเองจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพอใจ มือหนึ่งเหน็บกริชสั้นไว้แนบเอว อีกมือถือแผนที่เล็กๆ ของจวนอวี้และแผนที่เมืองหลวงที่ฉิงอีวาดขึ้นมา อย่างที่บอกว่าคนของนางแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งสตรีฉิงอี บุตรสาวของบัณฑิตที่ถูกปล้นฆ่ายกตระกูลจนเหลือเพียงนางผู้เดียว หญิงสาวผู้รู้หนังสือ วาดแผนที่ได้ดุจช่างหลวง รูปลักษณ์ของนางดูเรียบง่าย ผิวขาวจัด มือเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยรอยหมึกเก่าใหม่ปะปนกัน แม้จะมิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ความสามารถของนางกลับทำให้ทุกคนต้องเหลียวมองฉิงอีอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ใช้พู่กันอย่างคนที่เคยผ่านตำราไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม
ศึกภายนอกก็เข้มข้น ศึกภายในก็ดุเดือด อวี้หลันได้แต่นั่งกุมขมับ ถอนหายใจเงียบๆ อย่างคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะหล่นใส่หัวของนางวันไหน รู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากเล่นเกมนี้ ต่อให้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอำนาจ แต่โลกใบนี้ก็ไม่มีที่ให้สตรีอย่างนางได้ยืนอย่างปลอดภัย โดยไม่ถือดาบอยู่ในมือ อวี้หลันยกถ้วยชาแนบปลายริมฝีปาก รสขมของมันทำให้นางตื่นเต็มตาหากต้องอยู่ในกระดาน ก็จงเป็นผู้ที่ เดินหมาก ไม่ใช่ หมากที่ถูกเดินช่วงนี้แม้ภายในจวนจะดูสงบ เซิ่งซื่อกับอวี้เหมยต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บหัวเก็บหางเงียบสงบอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่นั่นแหละที่ทำให้นางยิ่งไม่ไว้ใจยิ่งเงียบ... ยิ่งน่ากลัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนใดกันอยู่หรือไม่ นางรู้ดีว่าเซิ่งซื่อไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงส่ง ฉิงอู่ เด็กหนุ่มที่ช่างสังเกต ปราดเปรียว มีสายตาเฉียบไวและไหวพริบยอดเยี่ยม คอยจับตาความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากรับบ่าวทั้งสิบเข้ามา อวี้หลันก็ได้รู้จักตัวตนของพวกเขาแต่ละคน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวในอดีต ยิ่งทำให้นางประหลาดใจไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแต่ละค
"พับสีฟ้ากับสีชมพู ใช้ตัดเป็นชุดสตรี ส่วนพับสีน้ำเงินกับสีเขียวนั่น ใช้ตัดเป็นชุดบุรุษก็แล้วกัน"อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ ขณะใช้สายตากวาดมองผ้าพับที่กางเรียงอยู่ตรงหน้านางกำลังสั่งให้ ฉิงอี ฉิงซื่อ และฉิงลิ่ว ซึ่งเป็นบ่าวที่พึ่งรับเข้ามา ช่วยกันคัดเลือกผ้าเพื่อส่งให้ร้านอาภรณ์ประจำจวน ตัดเย็บให้กับบ่าวทุกคนในเรือนฮวาหงคนละห้าชุดคนที่นางเลือกเข้ามา เป็นบุรุษหกคนและสตรีสี่คน พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ทั้งหมดล้วนมีสายตาซื่อตรง ไหวพริบดี และมีวินัยในการวางตัว และเพื่อให้เรียกขานได้สะดวก สามารถจดจำได้ง่าย นางจึงมอบชื่อใหม่ให้แก่ทุกคน โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ฉิง” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่นเดียวกับฉิงหว่าน ฉิงอี ฉิงเอ้อ ฉิงซาน ฉิงซื่อ ฉิงอู่ ฉิงลิ่ว ฉิงชี ฉิงปา ฉิงจิ่ว และฉิงสือ ชื่อเรียกตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ เป็นชื่อที่ฟังง่าย จดจำง่ายอย่างยิ่ง"คุณหนูน้ำชากับของว่างเจ้าค่ะ"ฉิงจิ่ว เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น้องน้อยที่สุดในบรรดาบ่าวทั้งหมด ยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มน่ารักมองๆ ไปเด็กคนนี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฉิงหว่านของนางอยู่
หลังจากเรื่องสินเดิมของมารดาถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้หลันก็มาถึงเรือนหลักตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่บิดาของนางจะออกจากจวน ภายในห้องหนังสือกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง รองเสนาบดีอวี้จิ้งเพิ่งนั่งลงจิบชาร้อน ยังไม่ทันจะวางจอกชา บ่าวคนสนิทก็เดินเข้ามารายงาน"คุณหนูรองมาขอพบขอรับ"ซูถัวเอ่ยบอกผู้เป็นนายเสียงเรียบอวี้จิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ในแววตาก็เจือไปด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเอ่ยอนุญาตเสียงนุ่ม "ให้นางเข้ามาเถอะ"เมื่อเห็นบุตรีคนรองก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีสงบ สุภาพเรียบร้อย ดวงตาของอวี้จิ้งก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู"หลันเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อแต่เช้า"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นอวี้หลันย่อกายลงทำความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น"ลูกอยากขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปหาซื้อทาสเข้าเรือนเจ้าค่ะ"อวี้จิ้งวางจอกชาลง มองบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา"เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเองหรอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ซูถัวติดต่อพ่อค้าทาส แล้วให้พวกเขาพาทาสมาให้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดีอวี้ผ่านพ้นไป ภายในเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ คุณหนูรองสกุลอวี้ อวี้หลันหญิงสาวที่เคยเงียบงันและจืดจางในสายตาผู้คน ที่เดิมทีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาเอกผู้ล่วงลับของท่านรองเสนาบดี และตระกูลเดิมของมารดาคือตระกูลขุนนางต้องโทษ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่านางหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อใด หรือแม้แต่นึกถึงชื่อของนางด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงชื่อของคุณหนูรองอวี้หลัน กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในทุกวงสนทนา ตั้งแต่โรงน้ำชา ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องประดับ ไปจนถึงหออาภรณ์ เรื่องราวของนางกลายเป็นหัวข้อโปรดในหมู่สตรีชนชั้นสูง และแม้แต่เหล่าขุนนางฝ่ายในก็ยังเอ่ยถึงโดยเฉพาะเมื่อมีคนขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับการหมั้นหมายในอดีตขององค์ชายห้าขึ้นมากระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านชาวเมือง ผู้คนเริ่มเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน แรกเริ่มก็พูดกันเพียงเล่นๆ ทว่าพอเล่ากันปากต่อปาก เรื่องราวกลับยิ่งทวีความเข้มข้น แต่งเติมสีสันกันไปคนละทาง จนสุดท้ายมันกลายเป็นตำนานรักสามเส้าระหว่างองค์ชายห้ากับบุตรีตระกูลอวี้ทั้งสองไปๆ มาๆ เรื่องราวเหล่านั้นก็ก
ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้ายคนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้งริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิดคนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่นอวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่ายแต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนคิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่