ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง
บรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้า
ขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติ
บนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดิน
เสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน
ผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดิน
แม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อย
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมือง
เสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้องกังวานไปทั่วถนนสายหลัก ขบวนทหารม้าในชุดเกราะสีดำเงางามเดินนำมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสง่างาม กลีบดอกไม้ปลิวว่อนกลางอากาศ สะท้อนแสงแดดยามสายระยิบระยับ ราวกับหิมะสีชมพูที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับของประชาชนที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ขบวนเสด็จของ องค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง ก็มาถึงเบื้องหน้าประตูเมือง
เมื่อขบวนทัพอันยิ่งใหญ่เคลื่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวง เสียงแตรชัยก็ดังขึ้นพร้อมกันทั่วบริเวณ ประกาศการกลับมาของวีรบุรุษที่ผู้คนเฝ้ารอ
ประชาชนต่างมองด้วยแววตาเปี่ยมปีติ หลายคนถึงกับหลั่งน้ำตา ร้องเรียกพระนามของพระองค์อย่างไม่ขาดสาย
และแล้ว...
ท่ามกลางละอองฝุ่นและเสียงแตร ม้าศึกตัวใหญ่สีดำทะมึนก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น บนหลังม้านั้น คือบุรุษผู้หนึ่งในชุดเกราะศึกสีดำสนิท แสงแดดสาดทอลงบนร่างของเขา สะท้อนประกายวาววับที่ยิ่งตอกย้ำถึงรัศมีที่แผ่พุ่งอยู่โดยรอบ
องค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ หลี่เหวินหลง
ร่างสูงสง่าดั่งภูผา ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ดวงตาเรียบนิ่งแต่เฉียบคม ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจของผู้คนได้ในพริบตา
แม้เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ บนหลังม้า พระองค์ก็กระจ่างตายิ่งกว่าผู้ใด เปล่งรัศมีเหนือฝูงชนทั้งปวง
เสียงโห่ร้องของประชาชนยิ่งดังกระหึ่มทั่วถนน ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลง โน้มกายคำนับด้วยความเคารพ บ้างก็ร่ำไห้ด้วยความปลื้มปีติสุดหัวใจ
พระนามของพระองค์ คือความหวัง การกลับมาของพระองค์ คือขวัญกำลังใจของบ้านเมือง
ทว่า... ในเงามืดเบื้องหลังกำแพงเมืองด้านหนึ่ง เงาร่างในชุดดำขลับแฝงตัวแนบสนิทไปกับเงาไม้ ดวงตาคมกริบใต้ผ้าคลุมจับจ้องร่างขององค์ชายใหญ่ที่นั่งเด่นเป็นสง่าบนหลังอาชาอย่างแน่วแน่ ก่อนเงาร่างนั้นจะค่อยๆ ถอยกลับไปอย่างเงียบเชียบ ราวไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เพื่อกลับไปรายงานนายของตน
หลี่เหวินหลงกวาดสายตาช้าๆ มองฝูงชนที่เบียดเสียดอยู่สองฟากถนน รอยยิ้มบางผุดขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาคมเข้มเปล่งประกายปีติอย่างไม่ปิดบัง
แม้จะผ่านศึกมาโชกโชน แต่ในยามนี้ สิ่งที่ปลุกเร้าหัวใจเขาได้มากที่สุด คือสายตาแห่งความหวังของผู้คนเหล่านี้
เมื่อขบวนทัพเคลื่อนเลยจุดที่ผู้คนแน่นขนัด หลี่เหวินหลงจึงละสายตาจากฝูงชนที่ยังเปล่งเสียงโห่ร้องอยู่เบื้องหลัง แล้วเอ่ยคำสั่งเสียงเรียบให้ขบวนหลักมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวง
ขณะที่ตัวเขาเอง กลับชักสายบังเหียนเบี่ยงหน้าออกจากแนวขบวนไปอีกทาง พร้อมด้วยองครักษ์คนสนิทอีกสี่นายที่แยกตัวตามมาอย่างรู้หน้าที่
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้บุรุษที่เพิ่งชักม้าปลีกตัวออกมาก่อนหน้าต้องหันกลับไปมอง
เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความฉงน
ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนตกลงกันแล้วหรอกหรือ...
"องค์ชาย"
อวี้เฉินเอ่ยเรียกเสียงเรียบ ขณะที่คนขี่ม้าขึ้นมาเคียงข้าง
"กระหม่อมบอกแล้วอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ว่ากระหม่อมกลับจวนเองได้"
น้ำเสียงของเขาไม่ได้แข็งกระด้างนัก แต่แฝงความเกรงใจและประหลาดใจอยู่ในที
หลี่เหวินหลงเพียงเหลือบตามอง แล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
"เมื่อหลายปีก่อนข้าเป็นคนพาเจ้าออกจากจวนอย่างปลอดภัย ไร้รอยขีดข่วน"
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าเจือกระแสเย้าหยอก
"วันนี้ ก็สมควรเป็นข้า ที่ต้องส่งเจ้าให้ถึงเรือนอย่างปลอดภัยเช่นกัน ไปเถอะ ข้าให้คนไปแจ้งบิดาเจ้าล่วงหน้าแล้ว"
อวี้เฉินได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบาๆ
เขารู้ดี ว่าหากพระองค์ตัดสินใจแล้ว ต่อให้เป็นใครก็ยากจะเปลี่ยนใจพระองค์ได้
จึงทำได้เพียงขี่ม้าเคียงกันไปเงียบๆ บนเส้นทางที่เงียบสงัด มีเพียงสายลมอ่อนๆ พัดไหวผ่านใบไม้ และเสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นเป็นจังหวะมั่นคง
อวี้เฉินอดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองพระองค์เงียบๆ อย่างจับสังเกตปนคลางแคลงใจ
องค์ชายใหญ่ผู้น่าเกรงขาม ผู้ที่แม้แต่แม่ทัพทั้งสนามรบยังต้องยำเกรง กลับยืนยันที่จะมาส่งตนเองถึงจวน ท่าทีดูห่วงหาเกินควรจนผิดวิสัย
หากเป็นผู้อื่น คงรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้รับความใส่ใจจากองค์ชายผู้สูงศักดิ์
แต่สำหรับเขา อีกฝ่ายที่เป็นเช่นนี้กลับดูแปลกประหลาดเกินไป เขาเติบโตข้างกายพระองค์มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ร่วมผ่านร้อนหนาวมานับครั้งไม่ถ้วน หากจะบอกว่าเขารู้ใจพระองค์กว่าใคร ก็คงไม่เกินไปนัก
ตั้งแต่เมื่อคืน สายตา คำพูด การกระทำ และความเงียบแฝงนัยของพระองค์ ล้วนชวนให้รู้สึกถึงบางสิ่งที่ ไม่ปกติ
และมันต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าของฝ่ามือที่ประทับเด่นหราอยู่บนพระพักตร์ของพระองค์เป็นแน่
องค์ชายใหญ่ต้องปิดบังอะไรบางอย่างไว้แน่
และเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า...บางสิ่งนั้น อาจเกี่ยวพันกับ จวนของเขา และมีบางอย่างที่จวนของเขา ที่พระองค์ให้ความสนใจเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
ทางด้านจวนรองเสนาบดี
อวี้จิ้งที่ไปรอรับเสด็จองค์ชายใหญ่อยู่ในวังหลวงเช่นขุนนางคนอื่น เพิ่งได้รับแจ้งข่าวว่าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเสด็จไปยังจวนของเขา
ทั้งยังนำคนกลับมาคืน
เขาก็รีบรุดออกจากวังหลวง เร่งเดินทางกลับจวนในทันที
อวี้จิ้งไม่คาดคิดเลยว่า การกลับมาครั้งนี้ของอีกฝ่าย พระองค์จะพาบุตรชายของเขา อวี้เฉิน กลับมาด้วย บนใบหน้าที่ผ่านกาลเวลาจนเริ่มมีร่องรอยแห่งวัย ปรากฏแววปีติวูบหนึ่ง
คนผู้นี้…ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงกระทำการเอาแต่ใจตัวเองอย่างที่สุด
นึกจะเอาคนไปก็บุกเข้ามาถึงจวนโดยไม่สนพิธีการ
พอจะคืนคนกลับมา ก็ไม่แม้แต่จะส่งสารกลับมาล่วงหน้าให้ทันได้ตั้งตัว
อวี้จิ้งขบกรามแน่น ครุ่นคิดอย่างขุ่นเคืองใจอยู่ในอก แต่สุดท้ายก็ได้เพียงฮึดฮัดเงียบๆ เท่านั้น ไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
เมื่อรถม้าหรูหราเคลื่อนมาหยุดลงเบื้องหน้าประตูจวน รองเสนาบดีผู้มากด้วยบารมีรีบก้าวลงมาทันที โดยมีมือขวาคู่ใจตามประกบ
พร้อมกับสั่งเปิดประตูจวนรอต้อนรับขบวนเล็กๆ ที่ตามมาจ่อหลังแทบจะทันทีเช่นกัน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม