เข้าสู่ระบบอวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ
เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน
อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้ว
ไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะ
รองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคย
เมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม
"ท่านพ่อ"
เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปี
ความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูด
เมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ บุตรชายของเขา...ยังเหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหน แม้จะผ่านไปแปดปีเต็ม แต่ความผูกพันในสายเลือดยังคงแน่นแฟ้นไม่เปลี่ยน
อวี้จิ้งมองสบดวงตาคู่นั้น ดวงตาของบุตรชายที่สะท้อนภาพของเขากลับมา ทั้งมั่นคง อ่อนโยน และเต็มไปด้วยความเข้าใจ
เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือที่สั่นน้อยๆ ออกไปอย่างเงียบงัน มือทั้งสองแตะไหล่ของอวี้เฉิน แล้วออกแรงรั้งเบาๆ ให้เขาลุกขึ้นยืน
เมื่อร่างของบุตรชายยืนตรงต่อหน้า ความเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งชัดเจน
อวี้เฉินในวันนี้สูงไล่เลี่ยกับเขาแล้ว ไหล่กว้าง รูปร่างสูงโปร่ง และแววตาที่เคยไร้เดียงสาในวันวาน...กลับดูสุขุมไม่แพ้ผู้เป็นพ่อเลย
อวี้จิ้งสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ แล้วตบมือลงบนบ่าของบุตรชายเบาๆ
"อาเฉิน...กลับมาก็ดีแล้ว"
คำพูดนั้นเบานัก แต่ในหูของอวี้เฉินกลับชัดเจนจนแน่นในอก
เพียงคำพูดสั้นๆ เท่านั้น แต่มันกลับดังชัดในใจของอวี้เฉิน อบอุ่น หนักแน่น และเต็มไปด้วยความหมาย หัวใจที่เงียบเหงามานานของเขา ราวกับถูกปลุกให้เต้นขึ้นอีกครั้ง
หลี่เหวินหลงมองภาพพ่อลูกตรงหน้าอย่างเงียบงัน ไม่ได้เร่งเร้าหรือเอ่ยคำใด ปล่อยให้ทั้งสองทักทายกันจนพอใจ เมื่อเห็นว่าเวลานั้นเหมาะสมแล้ว เขาจึงกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าห้าวหาญ ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่สาดกระทบชุดเกราะดำสนิทจนเกิดประกายเย็นเยียบ
"ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ทรงกรุณาเสด็จมาส่งอาเฉินด้วยพระองค์เอง ลำบากพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้จิ้งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ขณะก้าวเข้าไปคำนับเต็มพิธี สมกับตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการที่ยึดมั่นในระเบียบ
น้ำเสียงนั้นเรียบสงบ สุภาพ เปี่ยมด้วยมารยาท แต่ภายในใจนั้นกลับมีคำตำหนิอีกฝ่ายนานัปการ และมีความขุ่นข้องใจบางเบาซ่อนอยู่ ซึ่งถูกกลบไว้อย่างแนบเนียนด้วยความนิ่งขรึมตามนิสัยของอวี้จิ้ง
หลี่เหวินหลงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ แล้วตอบกลับเสียงเรียบ
"ข้ามีหน้าที่ส่งคนของข้ากลับถึงจวน ไม่อาจปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากลับมาคนเดียวหลังจากห่างหายไปถึงแปดปีได้"
คำพูดนั้นเรียบง่าย ฟังดูสมเหตุสมผล และเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบในฐานะนายเหนือหัว หากแต่คนทั้งสองที่ยืนฟังอยู่ กลับไม่มีใครเชื่อแม้แต่น้อย จุดประสงค์ของอีกฝ่ายยังมีมากกว่าที่กล่าวออกมาแน่
อวี้เฉินที่ยืนอยู่เงียบๆ ข้างพระวรกายสูงกว่าแปดฉื่อ ใบหน้านิ่งสงบ แต่นัยน์ตากลับเปล่งประกายคล้ายอ่านทะลุถึงเจตนา เขารู้ดีว่านายของตนมีจุดประสงค์แอบแฝง และยิ่งไม่ใช่คนที่จะลงแรง "ใส่ใจ" ใครถึงขั้นนี้
คนที่เคยแม้กระทั่งทิ้งเขา ที่ในตอนนั้นอายุแค่สิบสองเอาไว้กลางหุบเขาลึกถึงหนึ่งวันเต็ม อ้างว่าเพื่อทดสอบ จิตใจ และ ความอดทน จะใส่ใจห่วงใยเขากับเรื่องแค่นี้น่ะหรือ
หึ องค์ชาย ท่านช่างกล้าพูด
ส่วนผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้มีความคิดแตกต่างจากบุตรชายมากนัก ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำนั้น เขาก็ขมวดคิ้วแทบจะทันที
ตั้งแต่เมื่อใดกัน...ที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงผู้นี้กลายเป็นบุรุษที่ทั้งใจกว้าง มีเหตุผล และเอาใจใส่เช่นนี้
ในใจผุดคำถามขึ้นมามากมาย แต่กลับไม่เอ่ยคำใดออกมา มีเพียงดวงตาที่ทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ คล้ายจะอ่านให้ชัดว่า ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งเย็นชานั้น บุรุษผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
ทางด้านในเรือน เมื่อบ่าวเข้ามาแจ้งว่าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเสด็จมาส่งคุณชายใหญ่ถึงหน้าจวน แววตาของเซิ่งซื่อที่กำลังจิบน้ำชาอย่างสงบอยู่ถึงกับแข็งค้างในเสี้ยววินาที ก่อนร่างทั้งร่างจะสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นพรวดพราดอย่างลืมตัว
จอกชาที่เคยถือมั่นคงในมือหลุดร่วงกระทบพื้น กลิ้งหมุนก่อนจะหยุดลงอย่างน่าสังเวช แต่นางกลับไม่แม้แต่จะก้มลงมอง
"อะไรนะ! เมื่อครู่นี้ เจ้า…เจ้า พูดว่าอะไรนะ"
เซิ่งซื่อตวาดเสียงกร้าวอย่างลืมตัว ดวงตาเบิกกว้างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
บ่าวที่มาแจ้งสะดุ้งเฮือก หน้าซีดเผือด รีบก้มหน้าตอบซ้ำด้วยเสียงสั่นเทา
"นะ นายท่านให้บ่าวมาแจ้งฮูหยินเจ้าค่ะ ว่าให้ท่านออกไปรับเสด็จองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง พระองค์เสด็จมาส่งคุณชายใหญ่อวี้เฉินเจ้าค่ะฮูหยิน"
หัวใจของเซิ่งซื่อพลันหล่นวูบ มือทั้งสองเย็นเฉียบ สั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่
อวี้เฉิน กลับมาอย่างนั้นหรือ…ทั้งยังกลับมาพร้อมกับองค์ชายใหญ่
นางก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนร่างทั้งร่างจะซวนเซ ทรุดกายนั่งลงตามเดิมอย่างไร้เรี่ยวแรง ในอกเหมือนมีบางอย่างจุกแน่นจนหายใจไม่ออก ศีรษะมึนงง ภาพตรงหน้าไหววูบราวกับแผ่นฟ้ากำลังสั่นคลอน
นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!
นางเพิ่งจะเบาใจ เมื่อคิดหาทางออกเรื่องของนังเด็กอวี้หลันได้ ยังไม่ได้ดำเนินตามแผนการสักอย่าง อวี้เฉินกลับโผล่หัวกลับมา
เด็กนั่นที่ควรจะหายไปตลอดกาล กลับยังรอดกลับมาได้
และที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือเขากลับมาพร้อมกับคนที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ลมหายใจของเซิ่งซื่อเริ่มถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้จะพยายามเก็บสีหน้าไว้ แต่มือที่กำแน่นอยู่บนตักจนข้อนิ้วซีดขาว เผยให้เห็นความหวาดหวั่นที่ยากจะซ่อนเร้น
ไม่ใช่ว่าอวี้จิ้งตัดขาดจากเด็กคนนั้นไปแล้วหรอกหรือ
ในวันนั้น…นางยังจำได้แม่นยำ
หลังการตายของไป๋ซูเหยา สามีของนางก็มิได้รั้งรอ เขาส่งอวี้เฉินออกจากจวนไปในทันที แม้ปากจะอ้างว่าเพื่อให้อีกฝ่ายไปศึกษาวิชาหาความรู้ ทว่าความเป็นจริงกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เขาเพียงโยนเด็กคนนั้นให้ชายแปลกหน้าท่าทางกักขฬะหยาบกร้านคนหนึ่ง แล้วปล่อยให้ถูกพาออกไปอย่างไร้เยื่อใย
นางเชื่อมาโดยตลอดว่า ชายที่กระหายอำนาจและยอมทำทุกอย่างเพื่อมันเช่นเขา ย่อมไม่มีวันยอมรับบุตรชายจากหญิงที่ตระกูลต้องโทษให้เป็นผู้สืบทอดสายตระกูล เขาจึงรีบกำจัดสิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามแต่เนิ่นๆ
และเพื่อมิให้มีสิ่งใดผิดพลาด นางเองก็แจ้งแก่พี่ชายให้ลงมือสังหารเด็กคนนั้นเสียตั้งแต่ต้น
เซิ่งซื่อจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่า อวี้เฉินจะไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก
เพราะพี่ชายของนางไม่เคยทำงานพลาด
เขายืนยันหนักแน่นว่า เห็นเด็กคนนั้นถูกลูกธนูปักกลางอก ก่อนจะพลัดตกหน้าผาลงไปกับตา
เด็กคนหนึ่งจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร
ทว่าในวันนี้ เด็กนั่นกลับมาปรากฏตัวอยู่ในจวนแล้ว และเขามิได้กลับมาผู้เดียว หากแต่ปรากฏกายพร้อมกับองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง
ความหวาดหวั่นกัดกินภายในอกของเซิ่งซื่อ หากสิ่งที่นางปกปิดไว้ถูกขุดขึ้นมา ถ้าความจริงที่นางซ่อนมาตลอดแปดปีถูกเปิดเผย…
ทุกอย่างที่นางสร้างมา อาจพังทลายลงในพริบตาเดียว แม้แต่ชีวิตคงไม่อาจที่จะรักษาเอาไว้ได้
เนื้อตัวของเซิ่งซื่อพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม บ่าวคนสนิทยื่นมือหมายจะช่วยพยุงด้วยความเป็นห่วง ทว่าเซิ่งซื่อกลับสะบัดออกอย่างร้อนรน ราวกับมือของอีกฝ่ายร้อนดั่งเปลวเพลิง
"ไป! ไปส่งข่าวบอกพี่ชายข้าเรื่องนี้"
นางกดเสียงต่ำ คล้ายพยายามตรึงสติตนเองไว้สุดกำลัง
"แล้วแจ้งเขา ให้เร่งดำเนินตามแผนการ"
แม้น้ำเสียงจะสั่นเทา หากความหวาดกลัวก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักให้นางต้อง รีบไปดูสถานการณ์ด้วยตาตนเอง
เซิ่งซื่อรู้ดีว่า ตนไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้ จึงรวบรวมสติลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างสงบ แม้ภายในจะปั่นป่วนเพียงใดก็ตาม
นางหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้ไปแจ้งเจ้านายในเรือนทุกคนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม







