Home / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่37ของแทนใจ

Share

ตอนที่37ของแทนใจ

last update Last Updated: 2025-08-30 14:28:43

เมื่อมาถึงวัดบนยอดเขา เสียงระฆังยามสายก็ดังแว่วรับกับสายลมเย็นพัดเอื่อย กลิ่นธูปหอมลอยคลุ้งในอากาศ ประสานกับกลิ่นไม้เก่าของวิหารและใบสนที่ทอดเงาทาบพื้นหิน 

ภายในวัดสงบเงียบ แม้มีผู้คนมาสักการะและฟังธรรมสวดมนต์ แต่ไร้ซึ่งเสียงอึกทึก เหล่าไต้ซือต่างสำรวมกาย วางตนเงียบขรึม มิเอื้อนเอ่ยถามไถ่ประการใด ราวกับรู้โดยไม่ต้องเอ่ยว่า ผู้มาเยือนล้วนปรารถนาเพียงความสงบเงียบชั่วครู่หนึ่ง

หลี่เหวินหลงหันไปสั่งการด้วยเสียงทุ้มมั่นคง ให้เหล่าองครักษ์นำผู้บาดเจ็บไปพักรักษาบาดแผลยังเรือนพักด้านหลัง ขณะที่ตัวเขาเอง ยังคงติดตามหญิงงามไปไม่ห่าง สายพระเนตรจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังบอบบางตลอดทาง

อวี้หลันก้าวเข้าไปด้านในของวิหารอันเงียบสงบ แสงเทียนวูบไหวอยู่ตามมุมห้อง เสียงภายนอกคล้ายเลือนหายไปหมดสิ้น นางจุดธูปหอมที่ทางวัดจัดเตรียมเอาไว้ ปลายควันบางเบาลอยวนขึ้นสู่เพดานสูง กลิ่นหอมลอยคลุ้ง ท่ามกลางความเงียบงัน 

จากนั้นจึงทรุดกายลง คุกเข่าเบื้องหน้าพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน หลับตาลงอย่างช้าๆ สองมือประสานแนบแน่นตรงอก 

ในชีวิตก่อน คนบาปอย่างนางไม่เคยเข้าวัดฟังธรรม ไม่เคยแม้แต่จะย่างเท้าเข้าวัด ไม่เคยรู้จักคำว่า ปล่อยวาง หรือแม้แต่ การให้อภัย

ส่วนในชีวิตนี้...

มันก็คงจะเป็นเช่นเดิมต่อไป

นางไม่เคยคิดที่จะปล่อยวาง และยิ่งไม่เคยคิดที่จะให้อภัยใครหน้าไหนทั้งนั้น

พระพุทธองค์มักพร่ำสอนว่า…

การให้อภัย จะทำให้ชีวิตของเราเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งปวง

แต่นางกลับคิดตรงกันข้าม เพราะหากมัวแต่ให้อภัย…แล้วเมื่อไหร่เล่า เมื่อไหร่...ถึงจะได้ล้างแค้น หากนางยังไม่ได้ชำระความคงจะยิ่งทุกข์กว่าเดิมจนแทบกระอักเลือด เช่นนี้แล้วคงไม่ต้องถามหาอิสระ

คำว่า ให้อภัย นั้นช่างอ่อนโยนเกินไป มันคล้ายม่านบางที่ปิดบังความโหดร้ายในใจผู้คน แล้วสุดท้าย...ก็มีแต่ผู้แบกรับความเสียหาย ความเจ็บช้ำ ที่ต้อง ยิ้ม ทั้งที่ใจยังเปื้อนเลือด

การให้อภัยจึงใช้ไม่ได้สำหรับทุกคน

ไม่ใช่เพราะนางโหดเหี้ยม แต่เพราะบางคน...รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการทำร้ายกัน แล้วยังเลือกจะทำ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสู้ ยังเหยียบย่ำซ้ำเติม

สำหรับคนเหล่านั้น คำว่า "ให้อภัย" คือของฟุ่มเฟือย คือความเมตตาที่ไม่ควรมีตั้งแต่ต้น

นางไม่ใช่เทพธิดา และไม่มีเจตนาจะสวมหน้ากากของผู้มีเมตตาธรรมค้ำจุนโลก

บางบาดแผล...ไม่มีวันสมานด้วยคำว่าอโหสิ และบางคน...ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอความเมตตา

หลี่เหวินหลงยืนเงียบอยู่ด้านหลังของหญิงสาว สายพระเนตรจับจ้องไปยังแผ่นหลังบอบบางที่เหยียดตรงอย่างสง่างามเบื้องหน้า 

ทว่ายิ่งมอง เขายิ่งรู้สึกว่านางดูโดดเดี่ยว

คล้ายคนที่จมลึกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง เงียบขรึม สงบเยือกเย็น เย็นชาเกินกว่าจะเป็นเพียงดรุณีน้อยนางหนึ่ง

เขารู้ว่านางต้องเผชิญกับเรื่องราวมากมาย โศกเศร้าเสียใจกับความสูญเสีย ความผิดหวัง ถึงได้ฝังความรู้สึกไว้หลังดวงตานิ่งเฉยเช่นนั้น 

และในชั่วขณะนั้นเอง เขาอยากเอื้อมมือไปโอบกอดนางไว้ อยากซ่อนนางไว้ในอ้อมแขน ให้พ้นจากความโหดร้ายที่นางเคยสัมผัสและเผชิญ

เขาไม่อาจล่วงรู้ว่านางจะพบเจอสิ่งใดในวันข้างหน้า แต่เขารู้แน่เพียงอย่างเดียว

ว่าต่อจากนี้ไป ไม่ว่านางจะต้องเผชิญกับสิ่งใด เขาจะเป็นคนยืนอยู่เบื้องหน้า เพื่อปกป้องนาง…ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ

ธูปหอมค่อยๆ มอดลงในกระถางหิน ควันเส้นสุดท้ายลอยสูงขึ้น แตกตัวกลางอากาศ

อวี้หลันลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตายังคล้ายมีหมอกบางปกคลุม ก่อนจะหันไปมองคนด้านหลัง เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา 

แล้วนางก็เห็นเขา องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง เขายังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และไม่ได้จากไปไหน

ในแววตา...มีความรู้สึกหนึ่งฉายชัดอยู่ในนั้น ชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพัน

มันหนักแน่น มั่นคง และอ่อนโยนอย่างที่นางไม่คุ้นเคย

อวี้หลันชะงักงัน หัวใจเย็นชาพลันไหววูบ เหมือนลมหายใจสะดุดเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

ดวงตาของทั้งสองสบกันท่ามกลางแสงเทียนส่องสว่างตรงหน้าพระพุทธรูป เงาของเปลวไฟพลิ้วไหว ทาบลงบนดวงหน้าเรียบสงบของนาง และสะท้อนประกายในดวงตาแน่วแน่ของเขา

อวี้หลันเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน เพียงแค่สบตาเขา แล้วค่อยๆ หันกลับมาเงียบๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ในใจนั้น กลับคล้ายมีบางสิ่งสั่นสะเทือน

ไม่มีถ้อยคำใดถูกเอ่ยออกมา แต่บางสิ่งบางอย่าง...ได้เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว.....

รถม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดสนิทหน้าจวนอวี้อย่างเงียบงัน ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เริ่มคลายความร้อน เหล่าข้ารับใช้ที่เฝ้าหน้าจวนรีบเปิดประตูต้อนรับผู้เป็นนาย ก่อนจะมองอย่างสงสัย เพราะหาได้มีเพียงแค่รถม้าของคุณรองเท่านั้น แต่ยังมีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงควบม้าติดตามผู้เป็นคุณหนูของตนเข้ามาในจวน

 แต่แล้วพวกเขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสภาพของคนที่ก้าวลงมาจากรถม้า

"คุณหนู!"

เสียงหนึ่งเปล่งออกมาอย่างตกใจ ตามด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบของเหล่าบ่าวไพร่ที่พากันตรงเข้ามารับเจ้านายของตนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

อวี้หลันกลับมาถึงจวนแล้ว ทว่ากลับมาในสภาพที่มีร่องรอยคราบเลือดติดชายผ้า 

ฉิงหว่าน บ่าวคนสนิทดูจะเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงมีสภาพปกติ มีเพียงความอ่อนล้าเล็กน้อย ส่วนฉิงอีกสามคน ต่างอยู่ในสภาพน่าเวทนา ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แม้จะได้รับการทำแผลแล้วแต่ก็ยังไม่อาจซ่อนร่องรอยความโหดร้ายที่ประสบมาได้

ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามสิ่งใดออกมาแม้เพียงคำเดียว ทว่าความสงสัย ความหวาดหวั่น และความประหลาดใจกลับแล่นวาบผ่านสายตาของทุกคนไปพร้อมกันว่า เกิดอะไรขึ้น

"ให้คนไปตามหมอมาดูอาการพวกเขา"

อวี้หลันหันไปสั่งบ่าวรับใช้ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการรักษาบาดแผลแล้ว แต่นางก็ยังอยากให้หมอตรวจดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"ข้าให้คนไปแจ้งบิดาของเจ้าแล้ว"

พระสุรเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างตัว

อวี้หลันเหลือบมองเขาเพียงนิด แล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายเดินนำเขาเข้าไปด้านในห้องโถงของจวนโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใด 

หลี่เหวินหลงมองตามแผ่นหลังนางไปเงียบๆ แล้วจึงก้าวตามเข้าไปอย่างสงบ

บรรยากาศภายในห้องโถงเงียบงัน มีเพียงเสียงลมเอื่อยๆ ที่ลอดผ่านบานหน้าต่าง และแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดทาบลงบนพื้นหินขาว เรียบเย็นและงดงาม

หลี่เหวินหลงยืนนิ่ง กอดอกพิงขอบหน้าต่าง สายพระเนตรทอดมองสตรีที่นั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะน้ำชา ใบหน้าของทั้งสองเคร่งเครียดเล็กน้อย เมื่อองครักษ์ของเขากลับมารายงานว่า ไม่พบร่องรอยของชายสวมหน้ากาก อีกฝ่ายราวกับล่องหนหายไป

"ไม่มีใครหายไปได้ โดยไม่ทิ้งร่องรอย ข้าให้พวกเขาค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้งแล้ว เจ้าอย่ากังวลเลย"

สุรเสียงราบเรียบ แฝงความมั่นคงแน่วแน่ เป็นเสียงที่ตั้งใจจะปลอบโยน แม้เจ้าตัวจะไม่พูดคำปลอบใจตรงๆ ก็ตาม

อวี้หลันเลื่อนสายตาขึ้นสบกับเขา เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แทนคำขอบคุณ แม้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่แววตากลับบอกชัดว่านางก็คิดเช่นเดียวกัน

ศัตรูในเงามืดน่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธใด โดยเฉพาะเมื่อมันแฝงตัวอยู่ใกล้และรู้จักทุกย่างก้าวของพวกเขาเป็นอย่างดี

หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ยามนี้ ต่อให้คิดมากเพียงใด…ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางจึงปล่อยวางความคิดลงชั่วครู่ หยิบกาน้ำชาที่บ่าวเพิ่งยกเข้ามา เทชาร้อนลงในถ้วย ปล่อยให้กลิ่นหอมจางของใบชาลอยอบอวลในอากาศอันเงียบสงบ

มือเรียวเลื่อนถ้วยชาอีกใบไปเบื้องหน้า แล้วช้อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังจ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะหลุบตาลง

อวี่หลันเม้มริมฝีปากน้อยๆ วันนี้นางรู้สึกขัดใจตัวเองยิ่งนักที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หัวใจของนางเต้นเร็วเกินควบคุมเพียงแค่สบตากับบุรุษตรงหน้า แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ก็ไม่อาจซ่อนความวูบไหวในดวงตา นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่มีคำใดหลุดจากริมฝีปาก ไม่มีคำเชื้อเชิญใดๆ เอื้อนเอ่ย แต่กลับคล้ายเป็นการเชื้อเชิญที่อบอุ่นที่สุด

หลี่เหวินหลงเห็นท่าทางน่าเอ็นดูนั้นก็ยกยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มจางๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งลงตรงข้ามนางอย่างเงียบๆ ยื่นมือหยิบถ้วยชาที่นางรินให้ขึ้นจิบ

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ รสชาติชาถ้วยนี้ช่างนุ่มลึก กลมกล่อมกว่าที่เคย รสชาติพิเศษยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยดื่มมา

บางที…อาจเพราะผู้รินให้

"คุณหนูรอง ข้ามีเรื่องหนึ่ง อยากรบกวนเจ้า"

หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างทั้งสอง เสียงของเขาทุ้มต่ำ หากไม่เร่งร้อน

อวี้หลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบอย่างจริงจัง

"เชิญองค์ชายใหญ่ตรัสมาเพคะ"

หลี่เหวินหลงไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงจ้องมองนางอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง สายพระเนตรนั้นนิ่งลึกอ่อนเชื่อม จนคนถูกมองคล้ายจะทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

"ข้าอยากขอ 'ยันคุ้มภัย' จากเจ้า"

เขาเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดนั้นฟังดูธรรมดา แต่ในน้ำเสียงกลับมีความตั้งใจที่หนักแน่น

อวี้หลันชะงักเล็กน้อย นางไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ ปลายนิ้วเลื่อนไปแตะถุงผ้าที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเบาๆ 

ภายในนั้น มียันคุ้มภัยสีแดงเข้ม ขลิบดิ้นทองอย่างประณีตอยู่สามชิ้น เป็นของที่ทางวัดมอบให้ก่อนจะลงเขา ตอนนั้นนางรับไว้เพียงเพราะเห็นว่าไม่ควรกลับมามือเปล่า หนึ่งตั้งใจมอบให้บิดา หนึ่งสำหรับน้องชาย

ส่วนอีกชิ้น...นางคิดจะเก็บเอาไว้เอง

นางเงยหน้าขึ้น สบตาเขานิ่งๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ

"เหตุใดพระองค์ถึงไม่เอาจากวัดตั้งแต่แรก"

นางเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ ก่อนจะหยิบยันคุ้มภัยชิ้นหนึ่งออกมา นิ้วเรียววางยันผืนนั้นลงบนโต๊ะ แล้วค่อยๆ เลื่อนมันไปตรงหน้าเขา

"หม่อมฉันคิดว่ามันดูสวยดี"

นางเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ

 "จึงคิดว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก เผื่อจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้บ้าง"

หลี่เหวินหลงรับยันผืนนั้นขึ้นมา ปลายนิ้วแตะเบาๆ ราวกับของล้ำค่า

ดวงตานิ่งลึกคู่นั้นสบตานาง เอ่ยถ้อยคำช้าๆ แต่หนักแน่น...กระทบเข้าที่ใจโดยไม่ต้องเปล่งเสียงดัง

"เพราะข้า...อยากได้จากเจ้า"

คำพูดเรียบง่ายนั้นดังก้องในห้วงอารมณ์ 

สายลมบางเบาพัดผ่านม่านหน้าต่าง ผืนผ้าสีอ่อนพลิ้วไหวเงียบงัน ล้อเล่นกับแสงแดดยามเย็นที่ส่องลอดเข้ามา เงาแดดสะท้อนแผ่วบนโต๊ะน้ำชา และตกกระทบบนใบหน้าของคนทั้งสอง ราวจะแต่งแต้มช่วงเวลาให้ละมุนขึ้นอีกนิด

อวี้หลันเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นยังคงนิ่ง...แต่วูบไหว ปลายนิ้วที่เคยวางสงบบนโต๊ะชา บัดนี้กระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

นางมองเขาในความเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดตอบกลับ แต่แววตาที่สบนั้น…กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจกลบซ่อนได้

บางสิ่งที่ไม่อาจพูดออกมาเป็นถ้อยคำ แต่กลับถูกถักทอขึ้นช้าๆ 

"หลันเอ๋อร์ ความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องพกยันคุ้มภัยก็ได้"

หลี่เหวินหลงเอ่ยเสียงนุ่ม สายพระเนตรจ้องมองนางไม่กะพริบ ถ้อยคำนั้นดูเรียบง่าย…แต่กลับทิ้งน้ำหนักไว้ในใจอีกฝ่าย

"เพราะข้าจะปกป้องคุ้มครองเจ้าเอง"

น้ำเสียงแน่วแน่ ไม่หวือหวา ไม่หวานล้น แต่กลับมั่นคงจนทำให้หัวใจของใครบางคนสั่นไหว

ศักดิ์สิทธิ์กว่ายันวัดดัง ก็เขานี่แหละ 

มิสู้นางมอบมันให้เขาเป็นของแทนใจเสียดีกว่า

หลี่เหวินหลงเก็บยันผืนน้อยไว้แนบอกทันที ราวกับกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ ขอคืน

คำพูดของบุรุษตรงหน้านุ่มทุ้ม ไม่ดังมาก แต่กลับดังก้องอยู่ในใจอวี้หลันอย่างประหลาด 

นางชะงักวูบ หัวใจเต้นแผ่วหนักในอก ไม่ใช่เพราะคำพูดอวดดี แต่เพราะถ้อยคำนั้น…ไม่ได้เป็นเพียงคำสัญญา หากแฝงไว้ด้วยบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น

ห้องทั้งห้องเงียบลงในทันที เหมือนแม้แต่ลมหายใจก็ไม่กล้าแทรกบทสนทนานั้น

ดวงตาของอวี้หลันสั่นไหววูบหนึ่ง แต่เพียงเสี้ยวเดียวก่อนจะกลับมาเรียบสงบดังเดิม นางมองเขาแน่วแน่ มิใช่ในฐานะคนที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเท่านั้น แต่ในฐานะ "ใครบางคน" ที่นางเริ่มอยากเชื่อใจอย่างแท้จริง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่43ผู้มาเยือน

    "หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่42คนว่างงาน

    มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่41สนทนาพาที

    เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่40ศึกชิงนาง

    หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่39วันปักปิ่น

    แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่38ความจริงเริ่มกระจ่าง

    เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status