เสียงฝีเท้านั้นชัดเจน หนักแน่นจนน่าแปลกใจ ราวกับม้าศึกที่ถูกควบโดยยอดฝีมือ
กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้าแต่ละก้าวไม่เพียงแต่กระทบพื้นหิน ยังสั่นสะเทือนเข้าไปถึงก้อนเนื้อภายในอกของคนที่ยืนอยู่
ฝุ่นดินปลิวว่อน กลิ่นคาวเลือดยิ่งขับให้ความเงียบโดยรอบอึดอัดยิ่งขึ้น
เซิ่งกงซุนก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เงาของหน้ากากสีดำบดบังดวงหน้า ทำให้ไม่อาจเห็นแววตาได้ชัด แต่รอยยิ้มที่คลี่ขึ้นตรงมุมปากกลับยังคงอยู่ รอยยิ้มที่เคยเย้าหยอก ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นความระแวดระวัง
จ้องมองไปยังแนวป่าที่เสียงฝีเท้านั้นกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ เงามืดของบางสิ่ง บางคน กำลังเคลื่อนตัวออกจากม่านไม้ และสัญชาตญาณของนักล่าในตัวเขา ตะโกนขึ้นมาว่า ถึงเวลาต้องถอย ก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสให้ถอยอีก
"ถอย พวกเราถอยก่อน"
แต่เพียงชั่วพริบตา ยังไม่ทันที่ใครจะได้ขยับตัว ม้าศึกสีดำตัวเขื่องก็ทะยานปรากฏตรงปลายทางลาด ฝ่าหมอกฝุ่นท่ามกลางสายตาทุกคน ผู้ควบขี่สวมอาภรณ์สีเข้มปักดิ้นทองสง่างามดั่งเทพสงคราม ใบหน้าคมสันเยียบเย็น แววตานิ่งสงบแต่แฝงแววคมปลาบเฉียบขาด
องค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง
พระองค์ไม่ต้องเปล่งเสียงแม้ครึ่งคำ เพียงแค่กวาดสายพระเนตรลงมายังลานกว้างเบื้องล่าง ทุกสิ่งก็พลันชะงัก ทั้งเสียงดาบ เสียงฝีเท้า และแม้แต่ลมหายใจของทุกคนก็ราวกับชะงักค้าง
ความเกรี้ยวกราดในแววตาถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังบุรุษเพียงผู้เดียวบนหลังม้า
ดวงตาของเซิ่งกงซุนจับจ้องม้าศึกสีดำที่ยืนนิ่งสง่าอยู่เบื้องหน้า ร่างขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงสูงเด่นใต้แสงอาทิตย์ ประกายคมในดวงเนตรนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดจะประลองด้วยในเวลานี้
เขาแค่นยิ้มเยือกเย็น จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณ สะบัดข้อมืออย่างเฉียบขาด
นักฆ่าทุกคนพลันเคลื่อนไหวพร้อมกัน ไม่มีผู้ใดลังเลกับคำสั่ง ไม่มีแม้แววตาของความกลัวหรือหวาดหวั่น พวกมันพุ่งเข้าใส่องครักษ์ขององค์ชายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ทุกการเคลื่อนไหวของพวกมันมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือ
ถ่วงเวลา
บรรยากาศกลางลานหินกลายเป็นสนามสังหารในชั่วพริบตา กลิ่นโลหิตฟุ้งอบอวล เสียงดาบกระทบเสียงเนื้อฉีกขาดแทรกปะปน
อวี้หลันชะงักเพียงเสี้ยววินาทีเมื่อเห็นผู้มาใหม่ ก่อนจะเบี่ยงตัวอย่างพลิ้วไหว ประหนึ่งใบหลิวโอนตามแรงลม ปลายดาบในมือสะบัดออกเป็นแนวโค้งเฉียบคม เลือดแดงฉานสาดออกจากลำคอของมือสังหารที่กำลังพุ่งเข้าหาฉิงลิ่ว ร่างของมันทรุดลงโดยไม่ทันส่งเสียง
เซิ่งกงซุนอาศัยจังหวะที่กลุ่มนักฆ่าพลีชีพ หมุนกายถอยหลังเพื่อหลบหนี ก่อนจะฉวยคว้านักฆ่าที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามาบังหน้า ใช้ร่างนั้นเป็นโล่กำบังลูกธนูที่พุ่งวาบมาจากบุรุษบนหลังม้าอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
เขาหายวับราวกับภูตผี ลับหายไปกับแนวป่าลึก ไม่หันกลับ ไม่ลังเล
เสียงกรีดร้องสุดท้ายของนักฆ่าคนสุดท้าย ดับลงในห้วงสายลม และเมื่อฝุ่นตลบจางลง ทั่วทั้งลานกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ไม่มีนักฆ่าคนใดเหลือรอด มีเพียงร่างที่นอนแน่นิ่งบนกองเลือด แลกกับการหลบหนีของนายผู้ไร้หัวใจ
อวี้หลันยืนนิ่งอยู่กลางลาน ชุดงามของนางเปรอะคราบเลือดเล็กน้อย เส้นผมบางปอยหลุดจากมวยผมไหลแนบแก้ม ดาบยาวในมือเปรอะเปื้อนคราบเลือด และในดวงตาคู่นั้น... ไร้ร่องรอยความหวาดหวั่นใด
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงมองภาพตรงหน้านั้นอยู่นาน ก่อนจะควบม้าช้าๆ เข้ามาใกล้ หยุดลงเบื้องหน้าหญิงสาวในระยะพอดีสายตา
พระวรกายสูงใหญ่พลันขยับ พระองค์กระโดดลงจากหลังม้าอย่างองอาจ ท่วงท่าเปี่ยมอำนาจโดยไม่ต้องแสร้งเสริม
ฝีเท้ามั่นคงก้าวเข้ามาใกล้ จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของนาง
"คุณหนูรองบาดเจ็บหรือไม่"
เสียงขององค์ชายใหญ่ฟังดูเรียบง่าย แววตาที่อ่อนลงเปี่ยมด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง
ทว่าคำถามที่หลุดออกจากพระโอษฐ์ กลับทำให้หัวใจของอวี้หลันสั่นไหว
นี่นับเป็นครั้งแรกกระมังที่มีใครเอ่ยถามนางเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมา คำที่เคยได้ยินมีเพียง งานสำเร็จหรือไม่ มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า
ไม่มีใครเคยถาม…ว่านางเจ็บหรือไม่
อวี้หลันสบตากับเขาเพียงครู่ ดวงตาคู่นั้นยังคงนิ่งลึกเหมือนเดิม ทว่าในความนิ่งสงบกลับคล้ายซ่อนคลื่นอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายเอาไว้ นางจึงหลุบตาลงเล็กน้อย สูดลมหายใจช้าๆ เพื่อกลบเสียงสะท้านในอก
"หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ"
น้ำเสียงของนางเบา หากแต่เปี่ยมด้วยความมั่นคง ครั้นเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ในแววตากลับเหลือเพียงความว่างเปล่า
ท่าทางของสตรีใจแข็งตรงหน้า ทำให้หลี่เหวินหลงถอนลมหายใจแผ่วเบา เขากวาดสายตามองร่างนักฆ่าที่ล้มตายเรียงรายบนพื้น ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองอวี้หลันด้วยแววตาพินิจ ลึกลงไปในดวงตานั้นมีบางอย่างเคลื่อนไหว ทว่ายากจะคาดเดา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือแววเย้าหยอก
"ข้าคงคิดมากเกินไป สตรีเก่งกล้าเช่นคุณหนูรอง จะเพลี่ยงพล้ำได้อย่างไรเล่า"
อวี้หลันขึงตามองเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากแม้มเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าเล็กๆ เชิดขึ้นอย่างถือดี ก่อนจะเบือนสายตาไปยังศพของนักฆ่าที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะคงไม่อาจปิดบังอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
"เมื่อครู่... ข้าเผลอคิดว่าเจ้าจะกรีดร้องเรียกให้ข้ามาช่วยเสียอีก"
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบางนั้นไม่ใช่รอยยิ้มล้อเลียน แต่คล้ายกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
ตอนที่นางเห็นเขา เขาเห็นว่านางนิ่งงันไป คิดว่านางจะแสร้งอ่อนแอร้องไห้ แต่กลับตรงกันข้าม นางตวัดดาบปาดลำคอนักฆ่าเสียอย่างนั้น
"มิใช่ว่าเจ้าต้องวางตัวเป็นคุณหนูบอบบางอ่อนแอ แสร้งน้ำตาคลอเวลาตกใจกลัวหรอกหรือ"
น้ำเสียงยังราบเรียบ ทว่าสายตากลับเปล่งประกายแพรวพราว เย้าแหย่ให้คนงามขุ่นเคืองใจ
"เพคะ หม่อมฉันเองก็... คิดอยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน"
อวี้หลันเอ่ยตอบเสียงเรียบ พลางสบตาเขาแน่วนิ่ง แล้วกล่าวต่ออย่างไม่ใส่ใจ
"แต่คงไม่ทันแล้วกระมัง"
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในลำคอของชายหนุ่ม ก่อนที่ฝ่ามือแข็งแกร่งจะยื่นมาตรงหน้านางด้วยท่วงท่าสบายๆ ดวงตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องนางไม่วางตา
"มาเถอะ เจ้าจะขึ้นเขาไปขอพรไม่ใช่หรอกหรือ"
เขาหรี่ตาเล็กน้อย ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
"ขี่ม้าเล่นกับข้าสักหน่อย ข้าย่อมไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดแน่นอน"
อวี้หลันมองมือของเขานิ่งไปครู่หนึ่ง แสงแดดอ่อนยามสายทอดผ่านปลายนิ้วเรียวยาวของบุรุษตรงหน้า ทำให้ฝ่ามือคู่นั้นดูอบอุ่นและมั่นคงจนน่าประหลาด นางลังเลเพียงเสี้ยวลมหายใจ ก่อนจะยื่นมือของตนไปวางลงอย่างเงียบงัน
ปลายนิ้วสัมผัสกันแผ่วเบา ทว่าชวนให้หัวใจเต้นสะท้าน หลี่เหวินหลงกุมมือนางไว้แน่นพอประมาณ พลันออกแรงรั้งให้นางก้าวเข้ามาใกล้ ร่างสูงของเขายืนประจันหน้าในระยะกระชั้นชิดจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
จากนั้นเขาก็ประคองนางขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว ยกร่างของนางขึ้นไปนั่งด้านหน้าโดยไม่ออกแรงแม้เพียงน้อย ก่อนจะตวัดกายสูงใหญ่ขึ้นนั่งซ้อนหลัง ฝ่ามือใหญ่แตะที่เอวนางแผ่วเบา มั่นคงแต่ไม่ล่วงเกิน
อวี้หลันชะงักเล็กน้อย เมื่อต้องพิงแผ่นอกอุ่นร้อนของเขาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
"นั่งดีๆ ล่ะ"
เขากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู น้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนให้หัวใจสั่นสะเทือน
อวี้หลันไม่ตอบ เพียงปล่อยให้เขาขยับแขนแข็งแรงนั้นโอบรอบลำตัวเพื่อจับบังเหียนบังคับม้า
ลมหายใจอุ่นของเขาแผ่วรินอยู่ใกล้จนสัมผัสได้...ใกล้เสียจนหัวใจที่แข็งแกร่งมาตลอดของนางเริ่มไร้ซึ่งเกราะกำบัง
เสียงเกือกม้าดังแผ่วบนทางลาดขึ้นเขา คลอไปกับเสียงลมเย็นที่พัดโชยผ่านป่าไผ่และแนวสนสูงตระหง่าน พัดเส้นผมดำขลับและกลิ่นหอมบางเบาจากกายสตรีเบื้องหน้า แทรกซึมเข้ามาในลมหายใจของหลี่เหวินหลงเป็นระยะ อ่อนหวาน นุ่มนวล ละมุนละไม
เขายังคงเงียบงัน ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดกับคนในอ้อมแขน ปล่อยให้ความเงียบพูดแทนทุกความรู้สึก ลอบสูดกลิ่นหอมอ่อนจากเส้นผมนุ่มที่ละปลายจมูก
อ้อมแขนที่โอบรอบร่างนาง กระชับแน่นพอจะมอบความปลอดภัย แต่ก็หลวมพอให้นางรู้สึกว่ายังเป็นอิสระ
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก