ภายในห้องหนังสือบรรยากาศคุกรุ่นจนชวนให้อึดอัด บุรุษต่างวัยทั้งสองยืนเท้าสะเอวในท่าเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย แววตาคล้ายจะลุกเป็นไฟ
หนึ่งคือชายวัยกลางคนที่ใบหน้าดำคล้ำเคร่งขรึม อีกหนึ่งคือบุรุษใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม หากใบหน้าในยามนี้ของเขากลับแต้มรอยมึนตึงบูดบึ้งเอาไว้อย่างชัดเจน
คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กันไร้การแบ่งแยกตำแหน่งสูงต่ำ ต่างจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าตรงสวนหย่อม ผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้าง
สายลมพัดอ่อนๆ พาเสียงหัวเราะเบาๆ ของสตรีลอยมากระทบโสต ภาพของอวี้หลันยื่นมือไปรับของบางอย่างจากบุรุษผู้นั้นด้วยรอยยิ้มทำหลี่เหวินหลงหน้าตึงขึ้นมาทันที เขาขบกรามแน่น คล้ายจะข่มใจไม่ให้สบถออกมา
"ใต้เท้าอวี้ท่านเห็นหรือไม่ บุรุษเช่นนั้นหรือที่ท่านพึงใจอยากได้มาเป็นบุตรเขย"
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำลอดออกจากลำคออย่างเคร่งขรึม ราวกับกำลังสะกดกลั้นโทสะที่กำลังปะทุขึ้นทุกขณะ สายตาคมกริบไม่ละจากภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย
"เจ้าห้าหรือ... หึ"
เขาแค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน
"บุรุษจิตใจโลเล เจ้าลูกแหง่นั่นยังไม่หย่านมเลยด้วยซ้ำ"
หลี่เหวินหลงเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่นขณะมองน้องชายต่างมารดา ราวกับภาพตรงหน้านั้นช่างน่ารำคาญสายตานัก
"เชื่อฟังมารดาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ท่าทางอ่อนโยนนั่นน่ะ แค่ภาพลวงตาเท่านั้น"
"เจ้านั่นก็ใจดำอำมหิตไม่ต่างจากมารดานักหรอก"
อวี้จิ้งปรายตามามองอย่างเงียบๆ ไร้คำเอื้อนเอ่ย มีเพียงคิ้วหนาที่เลิกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่อีกฝ่ายยังพูดไม่หยุด
"หรือจะเป็นคุณชายเสเพลแซ่เซิ่งนั่น"
หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แค่นเสียงในลำคอ น้ำเสียงคล้ายดูแคลนยิ่งกว่าครั้งก่อน
"คนผู้นั้นน่ะหรือ เหอะ"
"ใต้เท้าอวี้ ท่านคงไม่ต้องให้ข้าสาธยายกระมังว่าเขามีชื่อเสียงกระฉ่อนถึงเพียงใด สุรานารีพนันขันต่อ ขาดแค่ไม่เดินท่องตรอกโคมแดงกลางวันแสกๆ เท่านั้น"
คำพูดเหล่านั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่คำกล่าวอ้าง
แต่ยังคงไม่มีคำใดหลุดออกจากปากว่าที่อัครเสนาบดี เขาปล่อยให้บุรุษหนุ่มข้างกายระบายความหงุดหงิดเสียให้พอใจ
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงจับจ้องเงาร่างบอบบางที่ยืนหัวเราะอยู่ในสวนนิ่ง แววตานั้นแน่วแน่ มั่นคง และเต็มไปด้วยความตั้งใจบางอย่าง
ก่อนจะปรายตามองคนที่ยืนอยู่ข้างกายทีหนึ่ง ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจริงจัง
"อวี้หลันงดงามสูงค่าดั่งอัญมณี นางคู่ควรกับบุรุษที่เก่งกาจ เข้มแข็ง มั่นคงในรัก ทะนุถนอมนางดั่งไข่มุกบนฝ่ามือ และสามารถปกป้องนางได้ไม่ว่าเมื่อใด"
หลี่เหวินหลงผินหน้ามามองผู้เป็นบิดาของสตรีในดวงใจอย่างเปิดเผย สายตาคมกริบสบกับอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง มุมปากยกยิ้มบางด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
"บุรุษเช่นนั้นจะไปหามาจากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้จิ้งตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์
อะแฮ่ม...
องค์ชายใหญ่กระแอมเบาๆ คราหนึ่ง แผ่นอกกว้างยืดขึ้นอย่างองอาจ พระวรกายตั้งตรงอย่างน่าเกรงขาม
"มองหาไปทั่วแคว้นก็เห็นจะ...ไม่มีใครกระมัง"
หลี่เหวินหลงขึงตามองอีกฝ่ายอย่างเหลืออดที่แสร้งตีหน้าซื่อ
ในเมื่อยามนี้ต้อง ‘หน้าหนา’ ถึงจะได้นางมาครอบครอง วันนี้เขาจะยอมกลายเป็นบุรุษหน้าหนาดูสักครั้ง จึงยืดอกขึ้น โพล่งออกไปโดยไม่ลังเล
"ยังจะมีผู้ใด… ที่คู่ควรกับนางได้มากไปกว่าข้าอีกเล่า"
คราวนี้ คิ้วทั้งสองของอวี้จิ้งขมวดเข้าหากันแน่น สายตาเยียบเย็นหรี่มองบุรุษไร้ยางอายที่เสนอตัวเองหน้าตาเฉย
"หรือท่านว่าไม่จริง"
หลี่เหวินหลวงเลิกคิ้วถาม ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ทั้งยังยิ้มมุมปากอย่างมั่นอกมั่นใจ
"ข้าทั้งหล่อเหลาเก่งกล้า นอกจากจะมีทัพใหญ่ในมือ ยังมากด้วยอำนาจบารมี ชื่อเสียงก็ใช่ว่าจะด้อย ย่อมต้องดูแลปกป้องนางได้เป็นอย่างดี หากนางแต่งให้ข้า ยังจะมีใครหน้าไหนกล้ารังแกนางได้อีก"
พระสุรเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น ใบหน้าคมคายแฝงความภาคภูมิ
"ที่สำคัญ ข้าไม่มีวันปล่อยให้นางต้องแบกรับสิ่งใดตามลำพัง และจะเป็นเกราะป้องกันให้นางในทุกเมื่อ"
สายตาหลี่เหวินหลงฉายแววจริงจังจนไม่อาจมองเป็นเพียงถ้อยคำโอ้อวดธรรมดา
"ผู้ใดคิดแตะต้องนาง ต้องผ่านดาบในมือข้าไปก่อน"
องค์ชายใหญ่ตั้งใจนำเสนอคุณงามความดีของตนต่อว่าที่พ่อตา ความแน่วแน่และความเชื่อมั่นฉายชัดอยู่ในทุกท่วงท่า ถ้อยคำหนักแน่นเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำไร้ความขัดเขิน
จิ๊...
อวี้จิ้งจิ๊ปากออกมาเบาๆ อย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะพ่นลมหายใจแผ่วด้วยท่าทีคล้ายระอาแต่ในแววตากลับซ่อนความเอ็นดูบางๆ ไว้อย่างมิดชิด
"แล้วพระองค์ยังจะยืนเฉยอยู่ทำไมอีก"
"รีบเสด็จไปหาหลันเอ๋อร์สิพ่ะย่ะค่ะ"
ถ้อยคำนั้นเรียบเฉย แต่ฟังแล้วชัดเจนว่ายอมรับเขาแล้วในที่สุด
หลี่เหวินหลงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็เปื้อนรอยยิ้มกว้างทันที ดวงตาสุกสว่างอย่างยินดีสุดประมาณ
"ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่"
เขากล่าวเสียงหนักแน่น ก่อนจะหมุนกายออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าหนักแน่นเร่งรีบอย่างไม่คิดปิดบังความกระตือรือร้น ทิ้งไว้เพียงอวี้จิ้งที่ยืนส่ายหน้าช้าๆ แต่ก็ยกยิ้มขึ้นจางๆ อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้ตัว
อวี้จิ้งมองตามเงาหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหน้าอย่างจนใจ แต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยแววอ่อนโยนก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา
"หึ เจ้าคนหน้าหนาเอ๊ย"
ห้องหนังสือกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหวิวลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดค้างไว้
อวี้จิ้งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง พลางทอดถอนใจเบาๆ
คิดแล้วก็อดขบขันไม่ได้ บนแผ่นดินนี้ยังจะมีผู้ใดบ้าบิ่น มุทะลุ และใจกล้าหน้าด้านเท่าองค์ชายผู้นี้อีก
และคงจะมีแค่เขาที่ได้เห็นมุมนี้ของอีกฝ่าย พูดไปใครจะเชื่อว่าองค์ชายใหญ่ผู้แสนเย็นชา สง่าผ่าเผย และน่าเกรงขาม จะเป็นบุรุษขี้อวดผู้หนึ่ง
อวี้จิ้งยกมือขึ้นไพล่หลัง ยืนเงียบๆ อยู่เช่นนั้น ความคิดในใจยังคงวนเวียน
หากหลันเอ๋อร์จะมอบใจให้ใครสักคน เขาก็อยากให้เป็นบุรุษผู้นี้
"นึกว่าคุณชายจากจวนใด"
เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นต้องหันกลับไปมอง
เงาร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมยาวสีเข้มปรากฏตัวขึ้นอย่างองอาจ
หลี่เหวินหลงองค์ชายใหญ่แห่งแคว้น ก้าวย่างมั่นคงมาหยุดยืนอยู่ข้างกายสตรีเนื้อหอมที่เหล่าบุรุษกำลังพากันรุมล้อม แผ่นอกกว้างผึ่งผาย ดวงเนตรดุจเหยี่ยวพาดผ่านทุกคน ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่บุรุษหน้าหยกผู้มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้
"ที่แท้ก็คุณชายเซิ่งนี่เอง"
เสียงเรียบเย็นนั้นทำให้บรรยากาศเหมือนถูกกดทับลงชั่วขณะ สายตาคมกริบของหลี่เหวินหลงกวาดสำรวจอีกฝ่าย มุมปากกระตุกยิ้มจาง... รอยยิ้มที่ไม่อาจบอกได้ว่ามีความหมายใดซ่อนอยู่
เพียงเสี้ยวขณะที่ได้สบตากับคนตรงหน้า หลี่เหวินหลงก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง คนผู้นี้มิใช่บุรุษธรรมดา ท่าทีเสเพล รอยยิ้มไร้พิษสงราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใดของอีกฝ่าย มันเป็นเพียงเปลือกที่ปิดซ่อนบางสิ่งไว้เบื้องหลัง ปกปิดใบหน้าที่แท้จริง
ยิ่งมองลึกเข้าไป เขายิ่งรู้สึกว่าใต้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั้นมีเงาลึกลับซ่อนอยู่ เงาที่เย็นยะเยือกพอจะทำให้สัญชาตญาณนักรบของเขาตื่นตัวขึ้นมาอย่างเงียบงัน
หลี่เหวินหลงแค่นหัวเราะในใจ นี่ไม่ใช่คนที่ประมาทได้ง่ายๆ ดูท่าเขาได้พบเสือหมอบมังกรซ่อนเข้าแล้ว
ท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัด เซิ่งกงซุนก้าวออกมาค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม ท่วงท่าดูสำรวม ทว่ารอยยิ้มกรุ้มกริ่มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน
"คารวะองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"
สองพี่น้องตระกูลอวี้เองก็ทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน
"คารวะองค์ชายใหญ่เพคะ"
หลี่เหวินหลงหาได้กล่าวสิ่งใด เพียงยืนนิ่งราวศิลา ทว่าความนิ่งนั้นกลับสร้างแรงกดทับมหาศาลโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดแม้สักคำ สายพระเนตรจับจ้องไปยังเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว...
อวี้หลัน
สตรีผู้นี้เล่า… นางรับรู้ได้อย่างที่เขารับรู้หรือเปล่า ถึงได้รับไมตรีจากอีกฝ่าย สนทนาอย่างสนิทสนมเช่นนี้ รอยยิ้มเรียบนิ่งของนางซ่อนความรู้สึกใดไว้กันแน่
เพียงครู่เดียว ความคิดพลันตีรวน ใบหน้าคมสันบึ้งตึงลงโดยไม่รู้ตัว ดวงเนตรมืดหม่นฉายประกายแง่งอนอย่างไม่เคยเป็น
อวี้หลันที่เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองมาจึงได้หันไปสบตากับเขาแล้วยิ้มให้ ทว่าผลที่ได้รับกลับมาคือถูกเขาเมินใส่ สะบัดหน้าหนีราวกับไม่ต้องการมองนางอีก คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างงุนงง แต่พอเห็นใบหน้างอง้ำของคนตัวโตแล้วก็แทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ดวงตากลมใสทอประกายขบขัน
หมดกัน...ท่าทางน่าเกรงขามที่เพียรสร้างมา
นางจะบอกเขาอย่างไรดี ว่าไอ้ท่าทางเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนที่เห็นภาพตรงหน้าพลันรู้สึกร้อนวูบในอก ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเห็นท่าทางสนิทสนมของคนทั้งสอง
มองสตรีที่ครั้งหนึ่งคอยเดินตามหลังเขาเสมอ ยืนเคียงข้างพี่ชายต่างมารดาที่เขาไม่เคยมีไมตรี
"คารวะเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ"
เสียงทุ้มต่ำของหลี่จื้อหยวนดังขึ้น ทำลายความเงียบรอบกาย
หลี่เหวินหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างยียวน ทักทายน้องชายต่างมารดาราวกับพึ่งจะเห็นเขา
"เจ้าห้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ"
มุมปากยกยิ้มบาง ยิ่งทำให้บรรยากาศระหว่างพี่น้องต่างมารดาเย็นยะเยือกลงอีกขั้น
"อ้อ ข้าลืมไป เจ้าคงมาหาคุณหนูใหญ่คู่หมั้นคู่หมายของเจ้าสินะ"
องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนคลี่ยิ้มเย็น รอยยิ้มที่ไร้ความรู้สึก ดวงตาสบกับพี่ชายต่างมารดาโดยไม่คิดหลบ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังคงทำราวกับเขาไม่มีตัวตน ไม่เคยอยู่ในสายตา
ภายในห้องหนังสือบรรยากาศคุกรุ่นจนชวนให้อึดอัด บุรุษต่างวัยทั้งสองยืนเท้าสะเอวในท่าเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย แววตาคล้ายจะลุกเป็นไฟหนึ่งคือชายวัยกลางคนที่ใบหน้าดำคล้ำเคร่งขรึม อีกหนึ่งคือบุรุษใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม หากใบหน้าในยามนี้ของเขากลับแต้มรอยมึนตึงบูดบึ้งเอาไว้อย่างชัดเจนคนทั้งสองยืนเคียงไหล่กันไร้การแบ่งแยกตำแหน่งสูงต่ำ ต่างจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าตรงสวนหย่อม ผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างสายลมพัดอ่อนๆ พาเสียงหัวเราะเบาๆ ของสตรีลอยมากระทบโสต ภาพของอวี้หลันยื่นมือไปรับของบางอย่างจากบุรุษผู้นั้นด้วยรอยยิ้มทำหลี่เหวินหลงหน้าตึงขึ้นมาทันที เขาขบกรามแน่น คล้ายจะข่มใจไม่ให้สบถออกมา"ใต้เท้าอวี้ท่านเห็นหรือไม่ บุรุษเช่นนั้นหรือที่ท่านพึงใจอยากได้มาเป็นบุตรเขย"องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำลอดออกจากลำคออย่างเคร่งขรึม ราวกับกำลังสะกดกลั้นโทสะที่กำลังปะทุขึ้นทุกขณะ สายตาคมกริบไม่ละจากภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย"เจ้าห้าหรือ... หึ"เขาแค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน "บุรุษจิตใจโลเล เจ้าลูกแหง่นั่นยังไม่หย่านมเลยด้วยซ้ำ"หลี่เหวินหลงเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่นขณะมองน้องชายต่างมารดา ราวกับภาพ
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ