LOGINหลังจากส่งบิดาของเจ้าของร่างกลับไปแล้ว ท่าทางอ่อนแรงที่แสดงออกก่อนหน้านี้ก็จางหายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง แม้ร่างกายนี้จะยังอ่อนแอจากการต้องพิษ แต่จิตใจของอวี้หลันใช่จะอ่อนแอตาม
นางพาตัวเองมานั่งเงียบอยู่ตรงโต๊ะชาข้างหน้าต่าง แผ่นหลังตั้งตรง แววตานิ่งลึก ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มือเรียวกุมถ้วยชาไว้แน่น น้ำชาในถ้วยเย็นชืดไปนานแล้ว แต่เรื่องราวที่ได้รับรู้ก่อนหน้านี้ยังคงวนเวียนในความคิด
อวี้หลันเจ้าของร่างเดิมเป็นหญิงสาวผู้แบกรับความโดดเดี่ยวมาตลอดชีวิต ช่างคล้ายคลึงกับตนเองอยู่ไม่น้อย
แม้อีกฝ่ายจะมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่นับตั้งแต่มารดาจากไป อำนาจในจวนก็ตกอยู่ในมือของเซิ่งซื่อ ฮูหยินรองผู้ฉลาดเป็นกรด
ไม่แน่ว่าผู้ที่วางยานางก็เป็นฝีมือของเซิ่งซื่อผู้นี้
ในจวนแห่งนี้ แม้รองเสนาบดีอวี้จะยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของตระกูล แต่เงาที่ทอดยาวใต้เสาเรือนนั้น เป็นของเซิ่งซื่อผู้นั้นต่างหาก
ชายผู้ทะนงตนว่าฉลาดหลักแหลม คิดแต่จะแสวงหาอำนาจ หลงคิดว่าตัวเองคือผู้วางหมากในกระดาน
แต่หารู้ไม่ ว่าเขาเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมของคนอื่นไม่ต่างกัน
การใช้ชีวิตในยุคที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ผู้หญิงคือเครื่องมือทางการเมือง บุตรีขุนนางคือหมากตัวหนึ่งในกระดานอำนาจ และตอนนี้ อวี้หลัน อดีตหญิงสาวยุคใหม่ที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลและวิทยาศาสตร์ ต้องเผชิญกับโลกที่คำว่า "อำนาจ" สำคัญยิ่งกว่าความถูกต้อง
หญิงสาวเอนกายพิงหมอนอิงพลางมองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านม่านโปร่งบาง สายลมอ่อนๆ ไล้ผ่านปลายผมของนาง ทว่าในแววตานั้นเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่งที่ไม่อาจเห็นได้จากหญิงสาววัยสิบห้าทั่วไป
โลกนี้ไม่ได้มีเพียงชนชั้นที่แบ่งแค่ คนรวย กับ คนจน อย่างในยุคที่นางจากมา แต่แบ่งแยกด้วยศักดินา ยิ่งสูง ยิ่งห่างไกลชีวิตธรรมดา
แม้เจ้าของร่างเดิมจะอ่อนแอ หัวอ่อน และไม่เคยมีความทะเยอทะยาน แต่ความจำในหัวกลับละเอียดลึกซึ้งพอจะบอกนางได้ว่า ที่นี่คือโลกที่กฎเกณฑ์สังคมคือทุกสิ่ง โลกที่ผู้คนไม่เท่ากันตั้งแต่เกิด
ฮ่องเต้ คือจุดสูงสุดของพีระมิด ไม่มีผู้ใดตั้งคำถาม
ถัดลงมา คือเชื้อพระวงศ์ ที่ถือสายเลือดสูงศักดิ์ องค์ชายทุกพระองค์แม้ไม่ได้เป็นรัชทายาท ก็ถือสิทธิ์สูงกว่าขุนนางทั้งหลาย
ขุนนางฝ่ายบุ๋น เช่น อัครเสนาบดี เจ้าเมือง และตำแหน่งในหกกรม ล้วนมีอำนาจในทางบริหารบ้านเมือง
ขุนนางฝ่ายบู๊ เช่น แม่ทัพใหญ่ หัวหน้ากองกำลัง รักษาพรมแดน หรือควบคุมราชองครักษ์
ต่ำลงมา คือ พ่อค้า นักวิชาการ ช่างฝีมือ และสามัญชน ซึ่งนับว่ามีค่าแค่เพียง จำนวน ไม่ใช่ สิทธิ
แม้นางจะเป็นธิดาของรองเสนาบดี แต่หากไร้การหนุนหลัง ไร้อำนาจต่อรอง สตรีเช่นนางก็ไม่ต่างอะไรกับหมากตัวหนึ่ง
อวี้หลันย้อนนึกถึงตนเองในอดีตที่เกิดในโลกซึ่งสิทธิ ความสามารถ และเหตุผล เป็นตัวกำหนดคุณค่าของชีวิต แต่ในโลกนี้ ชาติกำเนิดเพียงอย่างเดียว กลับมีอำนาจยิ่งกว่าสิ่งใด
จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม อวี้หลันได้เรียนรู้ว่า
ผู้หญิงไม่ได้มีสิทธิ์ครองทรัพย์สินของตนเอง ทั้งหมดตกอยู่ในมือสามี หรือผู้เป็นหัวหน้าตระกูล
การแต่งงานคือเครื่องมือทางการเมือง ตำแหน่งชายา พระสนม หรือแม้แต่ภรรยารองล้วนขึ้นอยู่กับสถานะและจุดยืนทางการเมืองของแต่ละฝ่าย
คำว่า คุณหนู หรือ ฮูหยิน แม้จะฟังดูสูงศักดิ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิเหนือชีวิตตนเอง
เพียงเพราะนางเกิดในตระกูลขุนนาง ใช่ว่าชีวิตจะปลอดภัยจากเงื้อมมือของเกมการเมือง
อวี้หลันรู้ดีว่าหากยังยอมผู้อื่นเหมือนเช่นเจ้าของร่างเดิม ก็คงไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าสู่สุสาน
ในเมื่อฟ้าส่งนางมายังยุคนี้ นางก็จะไม่ยอมถูกบีบให้เดินตามเส้นทางที่ใครวางไว้
บางทีการที่สวรรค์ส่งนางมาอยู่ที่นี่ ก็อาจจะให้นางทำความดีชดใช้บาปก็ได้
อวี้หลันเหลือบสายตาขึ้นมองเงาในกระจก แววตาของเจ้าของร่างเดิมที่เคยมีแต่ความหวาดกลัว บัดนี้กลับแน่วแน่ดั่งหินผา
นางไม่ใช่อวี้หลันที่แสนอ่อนแอผู้นั้นอีกต่อไป และในเมื่อฟ้าประทานโอกาสที่สองให้มาอยู่ในร่างนี้ นางก็จะใช้มันให้คุ้มค่า
และหากโลกนี้จะเล่นหมาก นางก็จักเป็นผู้วางหมากเอง
นับจากนี้ไป ตัวตนใหม่ของนางในโลกนี้คือ "อวี้หลัน" บุตรีของรองเสนาบดีกรมพิธีการ
มือเรียวที่กำถ้วยชาไว้แน่นค่อยๆ คลายออก อวี้หลันมองขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กที่วางอยู่ข้างมือ ภายในบรรจุยาถอนพิษเม็ดกลมสีดำที่ท่านหมอตู้มอบไว้ให้ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาเปิดฝา เทยาเข้าปากโดยไม่ลังเล รสขมฝาดแตะปลายลิ้น แต่ดวงตากลับนิ่งสงบ
ก่อนที่นางจะลงมือทำสิ่งใด สิ่งแรกที่ควรทำคือรักษาและฟื้นฟูร่างกายนี้ให้แข็งแรงเสียก่อน และนับว่านางยังพอมีโชคอยู่บ้าง ที่ได้พบกับหมอเทวดาผู้นี้เข้า ฝีมือการรักษาเช่นเขา หากไม่เรียกว่าเป็นหมอเทวดา ก็คงไม่มีคำใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
เรือนฮวาหงยามนี้เงียบสงบ เสียงลมยามค่ำคืนพัดผ่านแผ่วเบา อวี้หลันเหลือบสายตาไปยังเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่หลังช่องหน้าต่าง แม้จะเพียงพริบตาเดียว แต่ก็ไม่พ้นสายตาของนาง
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ลูบวนบนขอบถ้วยชาในมือแผ่วเบา ก่อนจะยกยิ้มบางอย่างเยือกเย็น แววตาปรากฏร่องรอยคล้ายเย้ยหยัน
"หนูสกปรกในเรือนนี้ดูท่าจะมากเกินไป"
อวี้หลันพึมพำออกมาเสียงเบา ก่อนที่นางจะวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นเดินไปยังเตียงอย่างเงียบงัน ท่วงท่าของนางดูเหนื่อยอ่อนราวไร้เรี่ยวแรง ร่างบางทรุดตัวลงนอนอย่างสงบ หลับตาลงช้าๆ ราวกับไม่สนใจอีกแล้วว่าเงานั้นจะยังอยู่หรือไม่
ปล่อยมันให้วิ่งเล่นไปก่อนก็แล้วกัน
รอให้นางฟื้นตัวเมื่อใด...
คงถึงเวลารื้อเรือนนี้ครั้งใหญ่
ในเวลาเดียวกันนั้นขณะที่อวี้หลันกำลังหลับใหลอย่างสงบ
ภายในเรือนเหมยเยี่ย เรือนของคุณหนูใหญ่อวี้เหมย กลับปั่นป่วนราวกับพายุพัดผ่าน เสียงข้าวของแตกกระจายดังลั่นเรือน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นของเจ้าของเรือน
อวี้เหมย คุณหนูใหญ่ผู้มีรูปร่างหน้าตางดงาม แต่เบื้องหลังความงามนั้นกลับแฝงไว้ด้วยนิสัยริษยาและจิตใจคับแคบ นางนั้นนิสัยต่างกันกับมารดาโดยสิ้นเชิง หากจะบอกว่าอวี้เหมยโง่งมก็ไม่ผิดนัก เพราะนางมักจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่เพียงแค่ถูกยั่วยุเล็กน้อย ในขณะที่มารดาเป็นสตรีร้ายลึก แต่บุตรสาวคิดสิ่งใดก็มักจะพูดออกมาแบบนั้น อารมณ์ร้อนและปากคอร้ายกาจ
อวี้เหมยเติบโตมาพร้อมกับอวี้หลัน ทว่าหาได้รักใคร่กลมเกลียวกันไม่ นางมักหาทางกลั่นแกล้งน้องสาวร่วมบิดามาตลอด ในทางตรงกันข้าม อวี้เหมยมองอวี้หลันเป็นดั่งหนามตำใจอยู่เสมอ นางไม่เคยยินดีแม้แต่น้อยที่ต้องเห็นอวี้หลันได้รับความรักและการยอมรับในฐานะบุตรีของฮูหยินเอก ไม่ยินดีที่อีกฝ่ายเหนือกว่าตน น้องสาวผู้นี้จึงเป็นดั่งศัตรูที่นางต้องกำจัด
"เหตุใดนางถึงยังไม่ตาย"
อวี้เหมยกรีดเสียงอย่างเดือดดาล แววตาเต็มไปด้วยโทสะและความหวาดหวั่น น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
"เจ้าใจเย็นลงก่อนเถิด เหมยเอ๋อร์"
เซิ่งซื่อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รีบเข้ามาประคองบุตรสาว
"เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าตอนนี้เจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกเช่นกัน"
นางเอ่ยอย่างใจเย็น พลางลูบหลังอวี้เหมยเบาๆ อย่างปลอบโยน แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียด นางรู้สึกได้ว่าเด็กคนนั้นไม่เหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่ามันแปลกไปตรงไหน
"ระหว่างบุตรสาวของฮูหยินที่ตายไปแล้ว ทั้งบ้านเดิมของมารดายังล่มสลาย กับเจ้า ผู้ที่เป็นบุตรสาวคนโตของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน อีกทั้งเจ้าก็มีท่านตาที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ เปี่ยมด้วยบารมี องค์ชายห้ายังจะเลือกใครได้อีกเล่า"
เสียงของเซิ่งซื่อฟังดูอ่อนโยน ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจ บ่งบอกชัดว่าทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุมของนาง
ถ้อยคำนั้นเปรียบเสมือนหยาดน้ำค้างยามเช้าที่หล่นลงบนเปลวเพลิงในอกของอวี้เหมย แม้ไม่อาจดับไฟได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยให้นางพอสงบใจลงได้บ้าง แววตาที่เคยวาวโรจน์ด้วยโทสะเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย
และคำพูดเหล่านั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเสมือนถ้อยคำปลอบใจตัวเองของเซิ่งซื่อเช่นกัน
ไม่ว่าอวี้หลันจะฟื้นขึ้นมาด้วยปาฏิหาริย์ใด หรือจะมีเจตนาใดซ่อนอยู่ในใจ ตอนนี้อีกฝ่ายยังจะทำอะไรได้อีก ฐานะของนางแม้จะเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ แต่ก็เป็นเพียงแค่ชื่อเสียงที่ถูกลืมเลือน ไม่มีบ้านเดิมของมารดาคอยหนุน ไม่มีผู้ใดยืนหยัดอยู่ข้างกาย
ต่างจากนาง นางคือฮูหยินเอกคนปัจจุบันของรองเสนาบดีอวี้จิ้ง เป็นนายหญิงโดยสมบูรณ์ของจวนรองเสนาบดี
ซ้ำยังมีตระกูลเซิ่ง บ้านเดิมที่ยิ่งใหญ่เป็นที่พึ่งพิง ท่านพ่อของนางคือแม่ทัพแห่งแผ่นดิน มีทหารใต้บัญชาหลายหมื่นนาย
ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายห้า เหตุใดนางจะไม่สามารถหยิบยื่นมันวางแทบเท้าบุตรสาวของตนได้
เป็นอย่างที่อวี้หลันคิด ผู้ที่ลงมือวางยานางไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเซิ่งซื่อและอวี้เหมย พวกนางวางแผนทุกอย่างมานานแล้ว หวังกำจัดอวี้หลันให้พ้นทาง แล้วผลักดันอวี้เหมยขึ้นแทนตำแหน่งคู่หมั้นขององค์ชายห้า บุรุษผู้ที่เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่มีอำนาจและเป็นที่หมายปองที่สุดในเมืองหลวง
ตามแผนเดิมแล้ว ทุกอย่างควรจะดำเนินไปตามแผนการ อวี้หลันควรจะสิ้นใจลงเงียบๆ ภายในเรือน
ไร้เสียงร้อง
ไร้คำถาม
ไร้ผู้สืบสาวราวเรื่อง สืบหาความจริง
ไร้ผู้แยแสสนใจ
เมื่อถึงเวลานั้นตำแหน่ง ธิดาผู้เกิดจากฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ก็จะถูกลบเลือนจากความทรงจำของทุกผู้คน ถูกแทนที่ด้วยนามของอวี้เหมย คุณหนูใหญ่ผู้เพียบพร้อมเพียงคนเดียวของตระกูลอวี้
หากแต่พวกนางไม่คาดคิดว่า อวี้หลันจะยังมีลมหายใจ
แต่ยังนับว่าสวรรค์มีเมตตาต่อพวกนาง ถึงแม้ว่าจะไม่อาจพรากลมหายใจของอวี้หลันได้ แต่ตระกูลเซิ่งกลับผงาดขึ้นอย่างไม่คาดคิด นั่นมิเท่ากับมอบแต้มต่อให้พวกนางหรอกหรือ
ภายในตำหนักรัชทายาท ประดับด้วยแพรไหมและโคมแดงงดงามตระการตา ขบวนขันทีและนางกำนัลขวักไขว่ไปมาด้วยใบหน้ารื่นเริง เสียงดนตรีอ่อนหวานดังคลอในอากาศ อันเป็นสัญญาณของวันมงคลที่ทั้งแผ่นดินรอคอยณ ประตูตำหนัก ขบวนราชรถทองคำค่อยเคลื่อนเข้ามาอย่างสง่างาม องค์ไท่จื่อหลี่เหวินหลงทรงฉลองพระองค์สีแดงปักดิ้นมังกรห้ากรงเล็บ พระพักตร์หล่อเหลาเปี่ยมด้วยสง่าราศีแต่แฝงความอ่อนโยนในแววเนตรส่วนอวี้หลันในชุดเจ้าสาวสีแดงชาด ผ้าแพรเนื้อดีปักลายหงส์ทองกางปีก ลวดลายละเมียดงามประหนึ่งจะโบยบินจากผืนผ้า ผมของนางถูกรวบขึ้นสูง สวมมงกุฎหงส์ทองคำประดับมุกอันล้ำค่า ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมบางเบานั้นเปล่งแสงราวบุปผาแรกแย้มในฤดูวสันต์เสียงฆ้องและพิณบรรเลงประสาน ดอกไม้สดโปรยปรายจากระเบียงสูง ขบวนมงคลเคลื่อนไปยังลานตำหนักหยก สถานที่จัดพิธีอภิเษกซึ่งเต็มไปด้วยม่านแพรแดงโบกสะบัด ภายในหอพิธี โคมทองพันดวงจุดสว่างส่องไปทั่ว"คารวะฟ้า คารวะแผ่นดิน คารวะบิดามารดา"ทั้งสองก้มศีรษะลงพร้อมกันด้วยความเคารพ"สามคำนับ เสร็จพิธีอภิเษก เจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายคำนับต่อกัน"หลี่เหวินหลงค่อยประคองมือนางขึ้นจากท่าคำนับ ดวงตาคมดุจมังกรทอดมองใบหน้างามภ
เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ
ชายหนุ่มมองออกไปยังขอบฟ้าที่เริ่มถูกกลืนด้วยแสงสนธยายามอาทิตย์ตก เสียงลมพัดผ่านยอดหญ้าแห้งดังแผ่วเบา ราวกับเสียงวิญญาณของผู้ล่วงลับยังล่องลอยอยู่ในสายลม"สงครามไม่มีสิ่งใดดีเลย"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆอวี้หลันที่อยู่ในชุดบุรุษเงยหน้ามองแสงสุดท้ายของวัน ลมพัดเส้นผมของนางปลิวตามจังหวะฝีเท้าม้า"ท่านพูดถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องเลือกระหว่างการสูญเสียกับการยอมให้บ้านเมืองล่มสลาย เป็นข้าก็ทำได้เพียงเลือกทางที่เจ็บปวดน้อยกว่า"นางตอบเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเข้าใจ เอ่ยกับเขาในแบบที่เขาเคยร้องขอ ไม่ใช่ในฐานะองค์ชาย แต่ในฐานะบุรุษของนางหลี่เหวินหลงหันมองนาง สายตาของทั้งสองสบกันในความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัว แววตาของเขาสั่นไหวอย่างไม่อาจห้าม ภายในอกแกร่งรู้สึกอุ่นวาบถ้อยคำต่อมาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"หลังสงคราม...สิ่งที่เราทำได้คือการเยียวยาให้พวกเขา" "และเราจะทำมัน...ไปด้วยกัน"เสียงของนางเบาแต่หนักแน่นหลี่เหวินหลงสบตานาง รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนริมฝีปาก พยักหน้าน้อยๆ แววตามั่นคง"เราจะทำมันด้วยกัน"ลมเย็นพัดผ่านกลีบดอกหญ้าที่เริ่มผลิใหม่ ท้องฟ้ายามเย็นคล้
บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ
หลี่เหวินหลงควบม้าเข้าสู่สมรภูมิทันที ดาบในมือกรีดกลางหมอกเลือด ฟาดฟันศัตรูร่วงลงทีละคน ดวงตาเขาสงบนิ่งแต่แฝงแรงอาฆาต"สังหารให้สิ้น อย่าให้เหลือ!"สิ้นคำสั่งสุดท้ายขององค์ชายใหญ่ เสียงโห่ร้องก็ดังสนั่นไปทั่วสมรภูมิ กลิ่นฝุ่นและโลหิตปะปนในลมหายใจ ขบวนทัพขององค์ชายใหญ่ทะยานเข้าสู่สนามรบราวคลื่นคำรามอันบ้าคลั่งโถมเข้าชนแนวศัตรูดุจคลื่นเหล็กแม้จำนวนจะด้อยกว่า หากแต่ธงสีชาดขอแคว้นเป่ยยังคงโบกสะบัดอย่างทรงอำนาจกลางฝุ่นควัน องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงอยู่แนวหน้าในชุดเกราะดำสนิท ดาบยาวในมือถูกฟาดฟันอย่างเฉียบคม สะบั้นโลหะและเลือดสาดกระเซ็นในทุกครั้งที่เหวี่ยงทหารใต้บังคับบัญชาต่างมององค์ชายของตนเป็นดั่งเพลิงศึกที่ไม่มีวันดับ การเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำ หนักแน่น และเด็ดขาด ทุกคำสั่งจากปากนั้นนำพากำลังใจของกองทัพให้พุ่งทะลวงเข้าไปได้ลึกขึ้นเรื่อยๆแต่ศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ พวกมันเตรียมการมาอย่างรัดกุม รู้จังหวะ รู้จุดอ่อน และบีบเข้ามาเป็นชั้นๆ ราวกับกับดักซ้อนกล ทหารแคว้นเป่ยเริ่มถูกแยกออกจากกัน เสียงเหล็กปะทะกันดังไม่ขาดสายขณะที่หลี่เหวินหลงกำลังฟาดฟันกับแม่ทัพศัตรูคนหนึ่งทางแนวซ้าย หา
แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ







