"หลันเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
อวี้จิ้งเอ่ยถามบุตรสาวน้ำเสียงเจือความร้อนใจ เมื่อเห็นว่านางนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำ
อวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองไปยังสตรีที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังของอวี้จิ้ง ก่อนจะถอนสายตากลับมา เอ่ยตอบเสียงแผ่วเจืออาการอ่อนแรง สายตานิ่งเรียบราวไม่มีอะไร ทว่าในความนิ่งนั้นกลับมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่
"ท่านหมอกำลังจะตรวจเจ้าค่ะ"
"อ้อ เช่นนั้นหรือ"
อวี้จิ้งพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปมองชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาสำรวจด้วยความสงสัยอยู่ชั่วครู่ แม้จะรู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายดูเป็นเพียงหมอชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เพียงบอกให้อีกฝ่ายเร่งตรวจดูอาการบุตรสาว
"เชิญท่านหมอ"
ท่านหมอตู้ที่ลุกขึ้นหลีกทางให้อวี้จิ้งตั้งแต่แรก พอได้ยินเช่นนั้นก็ค้อมศีรษะลงทำความเคารพเจ้าของจวน
เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมพอเข้าใจได้ว่าเหตุใดคุณหนูผู้นี้จึงตอบออกมาเช่นนั้น เมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด รีบก้าวเข้าไปนั่งลงตรงที่เดิมอย่างสงบ ยื่นมือไปจับชีพจรของนางอีกครั้ง ทำราวกับพึ่งจะตรวจรักษา
ปลายนิ้วของเขาวางลงบนข้อมืออย่างมั่นคง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม
"ชีพจรยังอ่อนอยู่ แต่ไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต ขอเพียงพักผ่อนให้เพียงพอและรับยาให้ครบตามตำรับ อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นขอรับ"
ขณะที่ท่านหมอตู้เอ่ยรายงาน อวี้หลันรับฟังเงียบๆ สายตามองผ่านอวี้จิ้งไปยังเงาร่างของสตรีที่ยืนอยู่ข้างหลัง หญิงผู้นั้นยังคงยืนอย่างสงบ กิริยาเรียบร้อยสมเป็นสตรีในจวนใหญ่ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาทางนางโดยตรง แต่ก็คล้ายจับจ้องทุกถ้อยคำทุกการกระทำไว้อย่างไม่พลาดสักอย่าง
หลังท่านหมอตู้บอกอาการ หัวคิ้วของอีกฝ่ายก็ขมวดมุ่น แม้จะเพียงครู่เดียวแต่ก็หาได้รอดจากสายตาของนาง และถึงแม้ตอนนี้ใบหน้านั้นจะกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม หากแต่แววตากลับเย็นชาเกินจะปกปิด
อวี้หลันหัวเราะในใจเบาๆ ดวงตายังคงว่างเปล่า ทว่าภายในกลับตื่นรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าเพียงแค่ได้พบกับคนที่เจ้าของร่างเคยรู้จัก ความทรงจำและเรื่องราวของคนผู้นั้นก็จะปรากฏขึ้นมาในหัวของนางเอง นับว่าสวรรค์ก็ไม่ได้ใจร้ายกับนางมากนัก ถึงได้มอบความพิเศษนี้ให้
หญิงผู้นี้ คือ เซิ่งซื่อ ฮูหยินรองที่อวี้จิ้งแต่งเข้าจวนด้วยเหตุผลทางการเมืองและปูเส้นทางสู่อำนาจ
นางเป็นบุตรีของสกุลเซิ่ง ตระกูลสายทหารที่แม้จะมิได้มีรากเหง้าสูงศักดิ์เทียบเท่าตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่ก็เริ่มมีหน้ามีตาในสายทหาร บิดาของนางดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพ และมีบทบาทไม่น้อยในแนวชายแดน ชื่อเสียงของเขากำลังเป็นที่จับตา และไม่อาจมองข้ามอิทธิพลในกองทัพได้โดยง่าย ทั้งความสามารถของตระกูลเซิ่งก็ไม่ด้อย ภายหน้าย่อมทะยานขึ้นสูงได้ไม่ยาก
ด้วยพื้นเพจากตระกูลทหาร เซิ่งซื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว นางเรียนรู้มาตั้งแต่ยังเยาว์ว่าในโลกของสตรี โดยเฉพาะใน "เรือนหลัง" ซึ่งเต็มไปด้วยกลอุบายและการชิงดีชิงเด่น ผู้ใดอ่อนแอ ย่อมถูกกลืนหายไปโดยไร้ร่องรอย นางจึงไม่ยอมให้ตนเองเป็นเช่นนั้น
นางมิใช่หญิงไร้สติ หากแต่ฉลาดหลักแหลม เยือกเย็น รู้จักอ่านสถานการณ์และเล่นบทอ่อนอย่างแยบคาย ความอ่อนน้อมของนางไม่ใช่เพราะไร้ทางสู้ แต่เป็นเพียงฉากหน้าที่พรางคมดาบในใจไว้ให้ลึกที่สุด
ไม่นานหลังจากแต่งเข้าสู่จวนรองเสนาบดีอวี้ นางก็ตั้งครรภ์ และนี่ถือเป็นชัยชนะก้าวแรกในเรือนหลังของนาง
แต่โชคชะตาก็ยังเล่นตลกไม่เลิก เพราะหลังจากที่เซิ่งซื่อตั้งครรภ์ ไป๋ซูเหยาที่ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์กลับตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ต่อมาเซิ่งซื่อก็ให้กำเนิดธิดาคนโตของจวนนามว่า อวี้เหมย
และสามเดือนถัดมา ไป๋ซูเหยาก็ให้กำเนิดทารกฝาแฝด แฝดผู้พี่นั้นเป็นบุตรสาวนามว่า อวี้หลัน
ส่วนแฝดน้องนั้นเป็นชาย และยังเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลนามว่า อวี้เฉิง
ถัดมาอีกหนึ่งปี เซิ่งซื่อก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิด อวี้คุน บุตรชายคนรอง
จึงนับว่าทั้งไป๋ซูเหยาและเซิ่งซื่อ ต่างมีบุตรธิดาเป็นหลักเป็นฐานมั่นคง
แต่โชคชะตากลับพลิกผันอย่างไม่คาดคิด...
ไม่กี่ปีต่อมาตระกูลไป๋ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับต่างแคว้น ผู้ถูกกล่าวหาคือ ไป๋เยี่ยนหรง พี่ชายแท้ๆ ของไป๋ซูเหยา และข้อกล่าวหาคือแอบขายข้อมูลภายในให้ต่างแคว้น
แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ตระกูลไป๋ก็ถูก "ปลดสถานะตระกูลขุนนางราชวงศ์" ทรัพย์สมบัติถูกยึด ราชโองการลงดาบ "เงียบ" อย่างไม่มีคำอธิบาย
เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของอวี้จิ้งผู้เป็นบุตรเขยของตระกูล หากแต่ยังกระทบถึงการหมั้นหมายของอวี้หลันกับองค์ชายห้าที่ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันไว้ก็จำต้องหยุดชะงัก
ในขณะเดียวกันตระกูลเซิ่งกลับยิ่งเปล่งประกาย สร้างผลงานจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง
วันวานที่เคยรุ่งเรืองของไป๋ซูเหยากลับหม่นมัวเกินกว่าฝันร้ายใดจะเทียบเคียง ในปีเดียวกันนางล้มป่วยหนักด้วย โรคปริศนา อาการทรุดหนักลงอย่างไม่มีสาเหตุ แม้จะเชิญหมอหลวงและหมอฝีมือดีจากทั่วทุกสารทิศมารักษาก็ยังไร้ผล หยกผกาที่เคยงามที่สุดในเมืองหลวงกลับโรยร่วงลงอย่างน่าใจหาย
ในคืนที่นางสิ้นใจ เด็กแฝดชายหญิงในวัยเพียงเจ็ดขวบนั่งกอดกันแน่น ซุกตัวอยู่ข้างเตียงรอให้มารดาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะรอนานเพียงใด ก็ไม่มีเสียงอ่อนโยนที่เคยปลอบโยนใจดังขึ้นจากริมฝีปากอันอบอุ่นนั้น
"ท่านแม่ ตื่นเถิดเจ้าคะ หลันเอ๋อร์กลัว"
ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา มองใบหน้าซีดเผือดของมารดาที่หลับใหลไร้เสียงตอบรับ
เสียงแผ่วเบาราวกระซิบถูกกลืนหายไปในความเงียบงันของค่ำคืน
ไม่มีเสียงตอบรับ
ไม่มีอ้อมกอดอันอบอุ่น
เหลือเพียงความเงียบเย็นชืด ที่โอบล้อมหัวใจน้อยๆ ไว้อย่างไร้ความปรานี
"พี่หญิงอย่าร้องไห้ เฉิงเฉิงจะดูแลและปกป้องพี่หญิงเอง"
เสียงปลอบโยนแผ่วเบาดังขึ้นจากเด็กชายตัวน้อย ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ทั้งยังไหลลงมาไม่หยุด แม้เจ้าตัวจะพยายามฝืนกลั้นไว้แค่ไหนก็ตาม
อวี้หลันกอดน้องชายแน่นขึ้น สะอื้นอยู่เงียบๆ ข้างเตียงของมารดา หัวใจที่ยังไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความสับสน หวาดกลัว และเจ็บปวด
แต่หลังจากพิธีศพของมารดาจบลง โลกของนางกลับยิ่งเงียบเหงา เมื่อน้องชายฝาแฝด ผู้ที่บอกว่าจะปกป้องนาง กลับถูกชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งอุ้มเขาจากไป
อวี้หลันไม่อาจขัดขืนหรือช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงยืนมองแผ่นหลังสูงใหญ่ตั้งตระหง่านของชายผู้นั้นที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป พร้อมกับน้องชายเพียงคนเดียวที่เป็นโลกทั้งใบของนาง
ใบหน้าเล็กๆ ของเฉิงเฉิงยังคงหันมามองนาง น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยคำสัญญาที่ไม่ต้องเปล่งเสียง
ว่าเขาจะกลับมาปกป้องนาง
แม้เขาจะไม่พูดออกมา แต่แววตานั้นก็ชัดเจนเกินกว่าคำพูด
นับแต่นั้น อวี้หลันก็ไม่เคยเห็นน้องชายฝาแฝดอีกเลย...
."หลันเอ๋อร์เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไมกัน บอกพ่อเร็วเข้า"
เสียงทุ้มของอวี้จิ้งดังขึ้นอย่างร้อนใจ และเต็มไปด้วยความกังวล ปลุกสติของนางให้กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน
อวี้หลันกะพริบตา มึนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกปลายนิ้วแตะไปที่แก้มอย่างเงียบงัน
ปลายนิ้วเปียกชื้นไปด้วยน้ำใสๆ
นาง... ร้องไห้
หญิงสาวมองหยดน้ำตาบนปลายนิ้วราวกับเป็นสิ่งประหลาด
น้ำตา สิ่งที่นางไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี จนแทบลืมไปแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร
หัวใจที่ด้านชามานานกลับสั่นสะเทือนเพียงเพราะความทรงจำของเจ้าของร่าง
ไม่คิดเลยว่า แค่ได้มาอยู่ในร่างนี้เพียงไม่นาน นางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้
อวี้หลันเบือนหน้าเล็กน้อย หยาดน้ำตาบนขนตายังคงไม่แห้งดี
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าคงเหนื่อยเกินไป"
เสียงของนางแผ่วเบา พยายามควบคุมให้นิ่งที่สุด
"หากเจ้าเหนื่อยเช่นนั้นก็พักผ่อนเสีย พ่อไม่รบกวนเจ้าแล้ว"
อวี้จิ้งไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงหันไปกำชับให้ท่านหมอตู้ดูแลนางให้ดี เขาอนุญาตให้อีกฝ่ายเป็นผู้รักษานาง
"หลันเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"อวี้จิ้งเอ่ยถามบุตรสาวน้ำเสียงเจือความร้อนใจ เมื่อเห็นว่านางนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองไปยังสตรีที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังของอวี้จิ้ง ก่อนจะถอนสายตากลับมา เอ่ยตอบเสียงแผ่วเจืออาการอ่อนแรง สายตานิ่งเรียบราวไม่มีอะไร ทว่าในความนิ่งนั้นกลับมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่"ท่านหมอกำลังจะตรวจเจ้าค่ะ""อ้อ เช่นนั้นหรือ"อวี้จิ้งพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปมองชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาสำรวจด้วยความสงสัยอยู่ชั่วครู่ แม้จะรู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายดูเป็นเพียงหมอชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เพียงบอกให้อีกฝ่ายเร่งตรวจดูอาการบุตรสาว"เชิญท่านหมอ"ท่านหมอตู้ที่ลุกขึ้นหลีกทางให้อวี้จิ้งตั้งแต่แรก พอได้ยินเช่นนั้นก็ค้อมศีรษะลงทำความเคารพเจ้าของจวน เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมพอเข้าใจได้ว่าเหตุใดคุณหนูผู้นี้จึงตอบออกมาเช่นนั้น เมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด รีบก้าวเข้าไปนั่งลงตรงที่เดิมอย่างสงบ ยื่นมือไปจับชีพจรของนางอีกครั้ง ทำราวกับพึ่งจะตรวจรักษาปลายนิ้วของเขาวางลงบนข้อมืออย่างมั่นคง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม"ชีพจรย
หมอชรายื่นมือออกไปจับชีพจรบนข้อมือบอบบาง ปลายนิ้วจับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย คุณหนูผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆสีหน้าของท่านหมอตู้ไม่ได้มีความประหลาดใจมากนัก เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าถึงอาการจากสาวใช้ เทียบยาที่มอบให้ไปในครั้งนั้นจึงเป็นยาล้างพิษตามหลักการที่ควรจะเป็นเพียงแค่คิดว่า ใครกันที่อำมหิตถึงกับต้องการเอาชีวิตดรุณีน้อยนางหนึ่งชีวิตของผู้คนในวังวนชนชั้นสูง ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนต้องคิดให้รอบคอบ เพราะอาจหมายถึงความเป็นหรือตายเพียงชั่วพริบตาเดียว คำพูดหนึ่งคำ สายตาหนึ่งคู่ หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก็อาจเป็นดาบที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องแลกมาด้วยการระแวดระวังและความอดทนช่างแตกต่างกับชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงว่าจะถูกลอบทำร้ายจากคนที่ดูเหมือนหวังดี ไม่ต้องวางแผนรับมือกับผู้คนรอบตัว ที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นแต่ละวัน แค่ได้กินอิ่มท้อง ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แม้จะยากจนสักเพียงใดก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นต่างกับโลก
เสียงระฆังของศาลเจ้าเล็กๆ ด้านท้ายเมืองดังแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางสายลมเย็นของปลายฤดูใบไม้ผลิ ภายในเรือนที่ล้อมรอบด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ใบหน้าของนางซีดเซียวราวกับไร้ชีวิต "นี่เราตายไปแล้ว หรือว่ายังมีชีวิตอยู่กันแน่"เสียงเอ่ยแผ่วเบาดังขึ้น ราวกับพึมพำกับตนเองก่อนจะหมดสติ นางยังเป็น อวี้หลัน สตรีในยุคปัจจุบัน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที กลับมาอยู่ในร่างของหญิงสาวในยุคโบราณผู้มีชื่อแซ่เดียวกัน ทั้งใบหน้ายังมีเค้าโครงเดียวกัน ผิดแต่ตอนนี้ใบหน้าที่เห็นนั้นอ่อนเยาว์กว่า รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวี้หลัน นางชั่งสมกับเป็นคนบาปหนาเสียจริง ตายแล้วก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสงบ กลับมาโผล่ในยุคที่ไม่คุ้นเคยนี้ ไม่รู้ว่าสวรรค์ส่งนางมาให้ชดใช้กรรม กับการที่นางคร่าชีวิตผู้อื่นไปมากมายหรืออย่างไร ถึงได้ส่งนางมาอยู่ในร่างที่ถูกวางยาพิษเช่นนี้ใช่แล้ว เจ้าของร่างเดิมนี้ถูกวางยาพิษจนทำให้ถึงแก่ความตาย และดูเหมือนจะถูกวางยามาเป็นเวลานาน ร่างกายถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าคนที่ถูกวางยาเช่นนี้ ชีวิตคงไม่ได้สงบราบรื่นนักอวี้หลันถอนหายใ
ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ใต้เงามืดของตึกสูง หญิงสาวร่างบางในชุดแนบเนื้อสีดำสนิทกลมกลืนไปกับความมืด เคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าเบาราวกับแมว เธอย่างเท้าผ่านตึกสูงกลางเมืองเหมือนสายลม ในมือถือปืนเก็บเสียงกระบอกเล็กเรียบลื่นมันวาว ที่ยังคงอุ่นจากการลั่นไกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กระสุนนัดเดียว ปิดฉากชีวิตของเป้าหมายอย่างแม่นยำ เงียบสนิทเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีใครได้ยินก่อนที่หญิงสาวจะหายลับไปท่ามกลางสายฝน ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในค่ำคืนนี้...เธอคือ อวี้หลัน หรือที่วงการนักฆ่ารู้จักกันดีในนาม "เงาสีชาด" นักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ลงมือเมื่อใด ไม่มีเป้าหมายใดรอดชีวิตแต่ก่อนจะกลายเป็นเงามรณะในโลกมืด เธอเคยเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุแค่เก้าขวบ มีพ่อขี้ยาที่นิสัยโหดร้าย ชอบทำร้ายร่างกายแม่กับเธออย่างทารุณเป็นประจำจนกระทั่งคืนหนึ่งเกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ เมื่อคนเป็นพ่อบังคับให้แม่ขายตัวแลกยาแม่ของเธอถูกกรอกยา ทำร้ายร่างกายจนตายในคืนนั้นเด็กหญิงที่ถูกความโกรธ ความเกลียด ครอบงำจนขาดสติ แทงมีดใส่คนเป็นพ่อจนทะลุอก เธอ...ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ก็ไม่มีทางย้อนคื