"หลันเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
อวี้จิ้งเอ่ยถามบุตรสาวน้ำเสียงเจือความร้อนใจ เมื่อเห็นว่านางนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำ
อวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองไปยังสตรีที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังของอวี้จิ้ง ก่อนจะถอนสายตากลับมา เอ่ยตอบเสียงแผ่วเจืออาการอ่อนแรง สายตานิ่งเรียบราวไม่มีอะไร ทว่าในความนิ่งนั้นกลับมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่
"ท่านหมอกำลังจะตรวจเจ้าค่ะ"
"อ้อ เช่นนั้นหรือ"
อวี้จิ้งพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปมองชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาสำรวจด้วยความสงสัยอยู่ชั่วครู่ แม้จะรู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายดูเป็นเพียงหมอชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เพียงบอกให้อีกฝ่ายเร่งตรวจดูอาการบุตรสาว
"เชิญท่านหมอ"
ท่านหมอตู้ที่ลุกขึ้นหลีกทางให้อวี้จิ้งตั้งแต่แรก พอได้ยินเช่นนั้นก็ค้อมศีรษะลงทำความเคารพเจ้าของจวน
เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมพอเข้าใจได้ว่าเหตุใดคุณหนูผู้นี้จึงตอบออกมาเช่นนั้น เมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด รีบก้าวเข้าไปนั่งลงตรงที่เดิมอย่างสงบ ยื่นมือไปจับชีพจรของนางอีกครั้ง ทำราวกับพึ่งจะตรวจรักษา
ปลายนิ้วของเขาวางลงบนข้อมืออย่างมั่นคง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม
"ชีพจรยังอ่อนอยู่ แต่ไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต ขอเพียงพักผ่อนให้เพียงพอและรับยาให้ครบตามตำรับ อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นขอรับ"
ขณะที่ท่านหมอตู้เอ่ยรายงาน อวี้หลันรับฟังเงียบๆ สายตามองผ่านอวี้จิ้งไปยังเงาร่างของสตรีที่ยืนอยู่ข้างหลัง หญิงผู้นั้นยังคงยืนอย่างสงบ กิริยาเรียบร้อยสมเป็นสตรีในจวนใหญ่ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาทางนางโดยตรง แต่ก็คล้ายจับจ้องทุกถ้อยคำทุกการกระทำไว้อย่างไม่พลาดสักอย่าง
หลังท่านหมอตู้บอกอาการ หัวคิ้วของอีกฝ่ายก็ขมวดมุ่น แม้จะเพียงครู่เดียวแต่ก็หาได้รอดจากสายตาของนาง และถึงแม้ตอนนี้ใบหน้านั้นจะกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม หากแต่แววตากลับเย็นชาเกินจะปกปิด
อวี้หลันหัวเราะในใจเบาๆ ดวงตายังคงว่างเปล่า ทว่าภายในกลับตื่นรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าเพียงแค่ได้พบกับคนที่เจ้าของร่างเคยรู้จัก ความทรงจำและเรื่องราวของคนผู้นั้นก็จะปรากฏขึ้นมาในหัวของนางเอง นับว่าสวรรค์ก็ไม่ได้ใจร้ายกับนางมากนัก ถึงได้มอบความพิเศษนี้ให้
หญิงผู้นี้ คือ เซิ่งซื่อ ฮูหยินรองที่อวี้จิ้งแต่งเข้าจวนด้วยเหตุผลทางการเมืองและปูเส้นทางสู่อำนาจ
นางเป็นบุตรีของสกุลเซิ่ง ตระกูลสายทหารที่แม้จะมิได้มีรากเหง้าสูงศักดิ์เทียบเท่าตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่ก็เริ่มมีหน้ามีตาในสายทหาร บิดาของนางดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพ และมีบทบาทไม่น้อยในแนวชายแดน ชื่อเสียงของเขากำลังเป็นที่จับตา และไม่อาจมองข้ามอิทธิพลในกองทัพได้โดยง่าย ทั้งความสามารถของตระกูลเซิ่งก็ไม่ด้อย ภายหน้าย่อมทะยานขึ้นสูงได้ไม่ยาก
ด้วยพื้นเพจากตระกูลทหาร เซิ่งซื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว นางเรียนรู้มาตั้งแต่ยังเยาว์ว่าในโลกของสตรี โดยเฉพาะใน "เรือนหลัง" ซึ่งเต็มไปด้วยกลอุบายและการชิงดีชิงเด่น ผู้ใดอ่อนแอ ย่อมถูกกลืนหายไปโดยไร้ร่องรอย นางจึงไม่ยอมให้ตนเองเป็นเช่นนั้น
นางมิใช่หญิงไร้สติ หากแต่ฉลาดหลักแหลม เยือกเย็น รู้จักอ่านสถานการณ์และเล่นบทอ่อนอย่างแยบคาย ความอ่อนน้อมของนางไม่ใช่เพราะไร้ทางสู้ แต่เป็นเพียงฉากหน้าที่พรางคมดาบในใจไว้ให้ลึกที่สุด
ไม่นานหลังจากแต่งเข้าสู่จวนรองเสนาบดีอวี้ นางก็ตั้งครรภ์ และนี่ถือเป็นชัยชนะก้าวแรกในเรือนหลังของนาง
แต่โชคชะตาก็ยังเล่นตลกไม่เลิก เพราะหลังจากที่เซิ่งซื่อตั้งครรภ์ ไป๋ซูเหยาที่ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์กลับตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ต่อมาเซิ่งซื่อก็ให้กำเนิดธิดาคนโตของจวนนามว่า อวี้เหมย
และสามเดือนถัดมา ไป๋ซูเหยาก็ให้กำเนิดทารกฝาแฝด แฝดผู้พี่นั้นเป็นบุตรสาวนามว่า อวี้หลัน
ส่วนแฝดน้องนั้นเป็นชาย และยังเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลนามว่า อวี้เฉิง
ถัดมาอีกหนึ่งปี เซิ่งซื่อก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิด อวี้คุน บุตรชายคนรอง
จึงนับว่าทั้งไป๋ซูเหยาและเซิ่งซื่อ ต่างมีบุตรธิดาเป็นหลักเป็นฐานมั่นคง
แต่โชคชะตากลับพลิกผันอย่างไม่คาดคิด...
ไม่กี่ปีต่อมาตระกูลไป๋ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับต่างแคว้น ผู้ถูกกล่าวหาคือ ไป๋เยี่ยนหรง พี่ชายแท้ๆ ของไป๋ซูเหยา และข้อกล่าวหาคือแอบขายข้อมูลภายในให้ต่างแคว้น
แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ตระกูลไป๋ก็ถูก "ปลดสถานะตระกูลขุนนางราชวงศ์" ทรัพย์สมบัติถูกยึด ราชโองการลงดาบ "เงียบ" อย่างไม่มีคำอธิบาย
เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของอวี้จิ้งผู้เป็นบุตรเขยของตระกูล หากแต่ยังกระทบถึงการหมั้นหมายของอวี้หลันกับองค์ชายห้าที่ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันไว้ก็จำต้องหยุดชะงัก
ในขณะเดียวกันตระกูลเซิ่งกลับยิ่งเปล่งประกาย สร้างผลงานจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง
วันวานที่เคยรุ่งเรืองของไป๋ซูเหยากลับหม่นมัวเกินกว่าฝันร้ายใดจะเทียบเคียง ในปีเดียวกันนางล้มป่วยหนักด้วย โรคปริศนา อาการทรุดหนักลงอย่างไม่มีสาเหตุ แม้จะเชิญหมอหลวงและหมอฝีมือดีจากทั่วทุกสารทิศมารักษาก็ยังไร้ผล หยกผกาที่เคยงามที่สุดในเมืองหลวงกลับโรยร่วงลงอย่างน่าใจหาย
ในคืนที่นางสิ้นใจ เด็กแฝดชายหญิงในวัยเพียงเจ็ดขวบนั่งกอดกันแน่น ซุกตัวอยู่ข้างเตียงรอให้มารดาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะรอนานเพียงใด ก็ไม่มีเสียงอ่อนโยนที่เคยปลอบโยนใจดังขึ้นจากริมฝีปากอันอบอุ่นนั้น
"ท่านแม่ ตื่นเถิดเจ้าคะ หลันเอ๋อร์กลัว"
ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา มองใบหน้าซีดเผือดของมารดาที่หลับใหลไร้เสียงตอบรับ
เสียงแผ่วเบาราวกระซิบถูกกลืนหายไปในความเงียบงันของค่ำคืน
ไม่มีเสียงตอบรับ
ไม่มีอ้อมกอดอันอบอุ่น
เหลือเพียงความเงียบเย็นชืด ที่โอบล้อมหัวใจน้อยๆ ไว้อย่างไร้ความปรานี
"พี่หญิงอย่าร้องไห้ เฉิงเฉิงจะดูแลและปกป้องพี่หญิงเอง"
เสียงปลอบโยนแผ่วเบาดังขึ้นจากเด็กชายตัวน้อย ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ทั้งยังไหลลงมาไม่หยุด แม้เจ้าตัวจะพยายามฝืนกลั้นไว้แค่ไหนก็ตาม
อวี้หลันกอดน้องชายแน่นขึ้น สะอื้นอยู่เงียบๆ ข้างเตียงของมารดา หัวใจที่ยังไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความสับสน หวาดกลัว และเจ็บปวด
แต่หลังจากพิธีศพของมารดาจบลง โลกของนางกลับยิ่งเงียบเหงา เมื่อน้องชายฝาแฝด ผู้ที่บอกว่าจะปกป้องนาง กลับถูกชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งอุ้มเขาจากไป
อวี้หลันไม่อาจขัดขืนหรือช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงยืนมองแผ่นหลังสูงใหญ่ตั้งตระหง่านของชายผู้นั้นที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป พร้อมกับน้องชายเพียงคนเดียวที่เป็นโลกทั้งใบของนาง
ใบหน้าเล็กๆ ของเฉิงเฉิงยังคงหันมามองนาง น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยคำสัญญาที่ไม่ต้องเปล่งเสียง
ว่าเขาจะกลับมาปกป้องนาง
แม้เขาจะไม่พูดออกมา แต่แววตานั้นก็ชัดเจนเกินกว่าคำพูด
นับแต่นั้น อวี้หลันก็ไม่เคยเห็นน้องชายฝาแฝดอีกเลย...
."หลันเอ๋อร์เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไมกัน บอกพ่อเร็วเข้า"
เสียงทุ้มของอวี้จิ้งดังขึ้นอย่างร้อนใจ และเต็มไปด้วยความกังวล ปลุกสติของนางให้กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน
อวี้หลันกะพริบตา มึนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกปลายนิ้วแตะไปที่แก้มอย่างเงียบงัน
ปลายนิ้วเปียกชื้นไปด้วยน้ำใสๆ
นาง... ร้องไห้
หญิงสาวมองหยดน้ำตาบนปลายนิ้วราวกับเป็นสิ่งประหลาด
น้ำตา สิ่งที่นางไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี จนแทบลืมไปแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร
หัวใจที่ด้านชามานานกลับสั่นสะเทือนเพียงเพราะความทรงจำของเจ้าของร่าง
ไม่คิดเลยว่า แค่ได้มาอยู่ในร่างนี้เพียงไม่นาน นางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้
อวี้หลันเบือนหน้าเล็กน้อย หยาดน้ำตาบนขนตายังคงไม่แห้งดี
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าคงเหนื่อยเกินไป"
เสียงของนางแผ่วเบา พยายามควบคุมให้นิ่งที่สุด
"หากเจ้าเหนื่อยเช่นนั้นก็พักผ่อนเสีย พ่อไม่รบกวนเจ้าแล้ว"
อวี้จิ้งไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงหันไปกำชับให้ท่านหมอตู้ดูแลนางให้ดี เขาอนุญาตให้อีกฝ่ายเป็นผู้รักษานาง
เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยนเสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่างเบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ พาให้บรรยากาศในเมืองหลวงชุ่มชื่นสดใส และภายในจวนรองเสนาบดีอวี้ ก็คล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นอายของความยินดีไม่แพ้กันช่วงนี้ภายในจวนมีแต่เรื่องมงคลถาโถมเข้ามาราวพรมแดนแห่งโชคชะตาเปิดทางเรียกได้ว่าในรอบหลายปีไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จวนรองเสนาบดีจะครึกครื้นและมีแต่ข่าวดีเช่นนี้บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมสิ่งของกันขวักไขว่ ขณะที่ขุนนางผู้เป็นเจ้าของจวนก็ยืดอกได้เต็มที่ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังโปรดปรานตระกูลอวี้ในช่วงเวลานี้โดยแท้เริ่มตั้งแต่บุตรสาวคนโตของจวน หมั้นหมายกับองค์ชายห้า ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกจวนฮือฮา บรรดาขุนนางใหญ่เล็กต่างก็พากันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี บางส่วนถึงกับแวะเวียนมาเยือนด้วยตนเองเพื่อสานไมตรีแต่นั่นยังไม่พอ ข่าวถัดมาก็เรียกความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตระกูล คุณชายใหญ่อวี้เฉิน ผู้ที่หายหน้าจากเมืองหลวงไปนานหลายปีเนื่องจากไปศึกษาต่างเมืองได้เดินทางกลับมา และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขากลับมาพร้อมกับขบวนทัพบุรุษที่เป็นผู้สนับสนุนเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น อง
เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียนสถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัดสายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวังพระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้นพระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่
สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตนส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีแต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเองเซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นาน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ