Home / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่6ศัตรูนำไปแล้วถึงสองก้าว

Share

ตอนที่6ศัตรูนำไปแล้วถึงสองก้าว

last update Last Updated: 2025-07-13 11:31:19

เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่

แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้

อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก

"ไม่เลว"

อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจ

การใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

ในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเอง

ทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหาร

นางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุกอย่างได้ นางก็อยากจะใช้มันให้คุ้มค่า

นางเองก็เป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ชื่นชอบความสวยงาม อาภรณ์งดงาม เครื่องประดับวิจิตร หรือแม้แต่การได้เห็นตัวเองในกระจก

เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ นางจะไม่ปล่อยให้ทุกอย่างสูญเปล่าอีกต่อไป นางจะใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองอยากใช้

หลังจากแต่งกายเสร็จเรียบร้อย และลิ้มรสอาหารเช้ารสเลิศจนอิ่มหนำ อวี้หลันก็เดินมาทอดกายลงบนตั่งนุ่มริมหน้าต่าง ตอนนี้นางยังไม่คิดจะก้าวเท้าออกไปไหน ปล่อยให้แสงแดดยามสายอาบไล้ร่างอย่างผ่อนคลาย

ชีวิตก่อนเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ชีวิตนี้ขอพักเหนื่อยอีกซักหน่อยเถอะ 

มือเรียวยกจอกชาที่บ่าวคนสนิทรินให้ขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบายๆ ท่าทางของนางดูเกียจคร้านอย่างมีเสน่ห์ คล้ายแมวขี้เกียจที่กำลังซึมซับแสงอุ่นสบายยามเช้า

อวี้หลันหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ แต่เปี่ยมด้วยความรู้ทัน

"หวานหว่าน เจ้ามีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาเถอะ"

ท่าทางของอีกฝ่าย นางสังเกตมาสักพักแล้วว่ามีเรื่องอยากจะพูด

ฉิงหว่านเหลือบตามองผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายยังไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่

ในสายตาของนาง ผู้เป็นนายดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคน

ท่าทางเรียบนิ่ง สงบ เยือกเย็น แววตาคมกริบที่เหมือนมองทะลุใจคนได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางเคยคุ้นชิน

ก่อนหน้านี้คุณหนูของนางคือหญิงสาวอ่อนโยนอ่อนหวาน ขี้เกรงใจ ไม่กล้าจะมองสบตาผู้ใด และมักเก็บงำความรู้สึกไว้ภายใน แม้จะถูกกลั่นแกล้งก็มักเลือกที่จะเงียบไว้ ไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยเรียกร้อง

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป

คุณหนูดูมั่นคง แข็งแกร่ง และเด็ดเดี่ยวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้เพียงแค่นั่งจิบชาเงียบๆ ก็ยังแผ่บรรยากาศน่าเกรงขามออกมาอย่างประหลาด

ฉิงหว่านรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไม่คุ้นชินนักกับคุณหนูที่เป็นแบบนี้ แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ลึกๆ แล้ว นางดีใจ

ดีใจมากที่คุณหนูของนางเข้มแข็งขึ้น ไม่ได้อ่อนแอและหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

"บะ...บ่าวแค่รู้สึกว่าคุณหนูดูเปลี่ยนไปเจ้าค่ะ"

เสียงของฉิงหว่านสั่นเล็กน้อย ขณะที่ช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นนาย

อวี้หลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาทอประกายเย้าแหย่

"เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นวิญญาณร้ายมาสิงร่างนี้กระมัง"

"ไม่เจ้าค่ะ! บ่าวไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย!"

ฉิงหว่านรีบปฏิเสธหน้าตาตื่น มือที่ประสานกันอยู่บีบเข้าหากันแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

อวี้หลันมองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือหยาบกร้านของอีกฝ่ายมากุมไว้ แล้วตบเบาๆ ที่หลังมือ

"หวานหว่านเอ๋ย  หวานหว่านของข้า"

เสียงของนางนุ่มนวลราวสายลมยามเช้า

"เมื่อคุณหนูของเจ้าผ่านพ้นความเป็นความตายมาแล้วคราหนึ่ง ก็ย่อมมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น"

นางเอ่ยช้าๆ สายตาเหม่อมองออกไปยังสวนด้านนอก ที่แสงแดดลอดใบไม้ตกกระทบพื้นอย่างแผ่วเบา

"หากข้ายังอ่อนแอเหมือนก่อน ครั้งนี้คงไม่แคล้วต้องตายจริงๆ แล้ว"

นางหยุดไปครู่หนึ่ง แววตาเงียบสงบแต่หนักแน่น หันมาสบตากับบ่าวตัวน้อย

"ไม่เพียงเท่านั้น การที่ข้าอ่อนแอก็ทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ไม่สามารถปกป้องใครได้เลย"

ฉิงหว่านเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตารื้นน้ำ 

"บ่าว บ่าวดีใจเจ้าค่ะ"

เสียงของนางสั่นพร่าด้วยอารมณ์ที่กดไว้ไม่อยู่ 

"ดีใจที่คุณหนูยังอยู่ตรงนี้"

ยอมรับว่าในตอนแรกนางกลัวมาก กลัวว่าคุณหนูจะจากไปจริงๆ

อวี้หลันใจอ่อนยวบ มือนุ่มบีบมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นเล็กน้อย

"ที่ผ่านมาต้องขอบใจเจ้ามาก"

ฉิงหว่านน้ำตาร่วงเงียบๆ นางส่ายหน้าช้าๆ พูดเสียงสะอื้น

"คุณหนูคือชีวิตของบ่าว ไม่ว่ายังไงบ่าวก็ไม่มีวันทอดทิ้งคุณหนูเจ้าค่ะ"

อวี้หลันหัวเราะเบาๆ พลางใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลของอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยน

"ข้ารู้ เลิกร้องไห้ได้แล้ว มาเถอะ เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าระหว่างที่ข้าหมดสติไปเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง"

สองสายตามองสบกัน แววตาหนึ่งเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง อีกสายหนึ่งอบอวลด้วยความจงรักภักดีที่มั่นคงไม่แปรเปลี่ยน

ยามนี้ดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้นสูง ลำแสงเจิดจ้าทอดผ่านช่องหน้าต่างของเรือนฮวาหง สาดความร้อนแรงทาบยาวลงบนพื้นหินเย็นเฉียบตามทางเดิน แม้ภายนอกจะสว่างไสวด้วยแสงแดด แต่ภายในห้องกลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด

เซิ่งเจี้ยน บิดาของเซิ่งซื่อ ผู้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีโอกาสสร้างผลงาน ได้รับชัยชนะจากศึกใหญ่ที่ชายแดนใต้อย่างงดงาม 

เพราะแม่ทัพผู้นำทัพเพลี่ยงพล้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส เซิ่งเจี้ยนจึงต้องออกนำทัพเอง ด้วยการบัญชาทัพอย่างเด็ดขาดของเขา ทำให้กองทัพฝ่ายศัตรูต้องล่าถอยจนหมดสิ้น ข่าวแห่งชัยชนะถูกกราบทูลขึ้นสู่ราชสำนัก และได้รับการกล่าวขวัญไปทั่ว ชื่อเสียงของตระกูลพุ่งทะยาน

ไม่นานนัก พระราชโองการแต่งตั้งแม่ทัพภาค ก็มาถึงมือ มอบตำแหน่งแม่ทัพประจำมณฑลชายแดนใต้ พร้อมอำนาจควบคุมกองทัพทั้งหมดในพื้นที่ตามพระราชบัญญัติการทหาร ถูกมอบให้กับบิดาของเซิ่งซื่อโดยสมบูรณ์

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้สถานะของตระกูลเซิ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งเดิมเป็นเพียงตระกูลทหารที่เริ่มเป็นที่รู้จัก กลายเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในกองทัพอย่างเต็มภาคภูมิ ชื่อเสียงของแม่ทัพเซิ่งดังกระหึ่มไปทั้งแผ่นดิน

และด้วยสถานะใหม่นี้เอง เซิ่งซื่อที่แต่งเข้ามาในฐานะ "เบี้ย" ทางการเมือง ก็เริ่มกลายเป็น "หมากสำคัญ" ที่ไม่มีผู้ใดมองข้ามได้อีกต่อไป นางไม่อาจรั้งอยู่แค่ตำแหน่งฮูหยินรองได้อีก และตอนนี้นางก็ได้รับการยกฐานะเป็นฮูหยินเอกเรียบร้อยแล้ว

อวี้หลันนิ่งฟัง ดวงตาทอแสงเย็นเยียบ ขณะปลายนิ้วไล้วนขอบจอกชาอย่างครุ่นคิด 

ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย

"คุณหนูเจ้าคะ บ่าวยังมีอีกเรื่องที่คุณหนูต้องรู้เจ้าค่ะ"

เสียงฉิงหว่านดังขึ้นเบาๆ 

อวี้หลันเลิกคิ้วเล็กน้อย 

"ยังมีเรื่องใดอีกหรือ"

นางวางจอกชาลงบนถาดหยก เสียงกระทบกันดังขึ้นแผ่วเบา ภายในห้องพลันเงียบสงัดลง 

ฉิงหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

"บ่าวได้ยินมาว่า"

นางหยุดไปครู่หนึ่งราวกับลังเล ก่อนจะตัดใจพูดออกมาในที่สุด

"ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายห้า อาจมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าค่ะ"

ทันใดนั้นบรรยากาศภายในเรือนฮวาหงก็พลันเงียบงันลงทันที

อวี้หลันขมวดคิ้วมุ่น แววตาฉายแววครุ่นคิดขณะทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะยกโค้งขึ้นเล็กน้อย

"พระชายาขององค์ชายห้าอย่างนั้นหรือ"

นางเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาฉายแววเยาะหยันนิดๆ

"หากข้าจำไม่ผิด คนผู้นั้นก็คือคู่หมายของข้านี่ ใช่หรือไม่"

ฉิงหว่านเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าตอบ ได้แต่ก้มหน้าราวกับกลัวว่าคำพูดของตนจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ผู้เป็นนาย

แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้บรรยากาศแปลกไปในทันที

"ฮึ อย่างนี้นี่เอง"

นางพึมพำกับตัวเอง แววตาไม่แสดงความตกใจหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเฉียบคมของคนที่กำลังมองหมากกระดานนี้ออกอย่างชัดเจน

อวี้หลันหัวเราะเบาๆ ในลำคอ นี่สินะ เหตุผลที่นางถูกวางยา

แต่เป็นเช่นนั้นก็ดีสิ ท่าทางเย็นชาเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง 

ไม่ว่าชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ นางก็ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานอยู่แล้ว บุรุษพวกนั้นมันน่ารำคาญจะตาย

อวี้หลันเอนกายลงพิงหมอนอิงอย่างสบายใจ ก่อนจะเหยียดยิ้มเยือกเย็น

นางไม่คิดจะขัดขวางวาสนาของใคร มีแต่จะส่งเสริมคู่ยวนยางก็เท่านั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาสีชาด   ตอนพิเศษ1-2

    ภายในตำหนักรัชทายาท ประดับด้วยแพรไหมและโคมแดงงดงามตระการตา ขบวนขันทีและนางกำนัลขวักไขว่ไปมาด้วยใบหน้ารื่นเริง เสียงดนตรีอ่อนหวานดังคลอในอากาศ อันเป็นสัญญาณของวันมงคลที่ทั้งแผ่นดินรอคอยณ ประตูตำหนัก ขบวนราชรถทองคำค่อยเคลื่อนเข้ามาอย่างสง่างาม องค์ไท่จื่อหลี่เหวินหลงทรงฉลองพระองค์สีแดงปักดิ้นมังกรห้ากรงเล็บ พระพักตร์หล่อเหลาเปี่ยมด้วยสง่าราศีแต่แฝงความอ่อนโยนในแววเนตรส่วนอวี้หลันในชุดเจ้าสาวสีแดงชาด ผ้าแพรเนื้อดีปักลายหงส์ทองกางปีก ลวดลายละเมียดงามประหนึ่งจะโบยบินจากผืนผ้า ผมของนางถูกรวบขึ้นสูง สวมมงกุฎหงส์ทองคำประดับมุกอันล้ำค่า ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมบางเบานั้นเปล่งแสงราวบุปผาแรกแย้มในฤดูวสันต์เสียงฆ้องและพิณบรรเลงประสาน ดอกไม้สดโปรยปรายจากระเบียงสูง ขบวนมงคลเคลื่อนไปยังลานตำหนักหยก สถานที่จัดพิธีอภิเษกซึ่งเต็มไปด้วยม่านแพรแดงโบกสะบัด ภายในหอพิธี โคมทองพันดวงจุดสว่างส่องไปทั่ว"คารวะฟ้า คารวะแผ่นดิน คารวะบิดามารดา"ทั้งสองก้มศีรษะลงพร้อมกันด้วยความเคารพ"สามคำนับ เสร็จพิธีอภิเษก เจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายคำนับต่อกัน"หลี่เหวินหลงค่อยประคองมือนางขึ้นจากท่าคำนับ ดวงตาคมดุจมังกรทอดมองใบหน้างามภ

  • บุปผาสีชาด   ตอนพิเศษ1-1

    เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่68-2 จบบริบูรณ์

    ชายหนุ่มมองออกไปยังขอบฟ้าที่เริ่มถูกกลืนด้วยแสงสนธยายามอาทิตย์ตก เสียงลมพัดผ่านยอดหญ้าแห้งดังแผ่วเบา ราวกับเสียงวิญญาณของผู้ล่วงลับยังล่องลอยอยู่ในสายลม"สงครามไม่มีสิ่งใดดีเลย"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆอวี้หลันที่อยู่ในชุดบุรุษเงยหน้ามองแสงสุดท้ายของวัน ลมพัดเส้นผมของนางปลิวตามจังหวะฝีเท้าม้า"ท่านพูดถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องเลือกระหว่างการสูญเสียกับการยอมให้บ้านเมืองล่มสลาย เป็นข้าก็ทำได้เพียงเลือกทางที่เจ็บปวดน้อยกว่า"นางตอบเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเข้าใจ เอ่ยกับเขาในแบบที่เขาเคยร้องขอ ไม่ใช่ในฐานะองค์ชาย แต่ในฐานะบุรุษของนางหลี่เหวินหลงหันมองนาง สายตาของทั้งสองสบกันในความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัว แววตาของเขาสั่นไหวอย่างไม่อาจห้าม ภายในอกแกร่งรู้สึกอุ่นวาบถ้อยคำต่อมาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"หลังสงคราม...สิ่งที่เราทำได้คือการเยียวยาให้พวกเขา" "และเราจะทำมัน...ไปด้วยกัน"เสียงของนางเบาแต่หนักแน่นหลี่เหวินหลงสบตานาง รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนริมฝีปาก พยักหน้าน้อยๆ แววตามั่นคง"เราจะทำมันด้วยกัน"ลมเย็นพัดผ่านกลีบดอกหญ้าที่เริ่มผลิใหม่ ท้องฟ้ายามเย็นคล้

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่68-1 จบบริบูรณ์

    บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่67-2 ทวงคืนแผ่นดิน ปกป้องดวงใจ

    หลี่เหวินหลงควบม้าเข้าสู่สมรภูมิทันที ดาบในมือกรีดกลางหมอกเลือด ฟาดฟันศัตรูร่วงลงทีละคน ดวงตาเขาสงบนิ่งแต่แฝงแรงอาฆาต"สังหารให้สิ้น อย่าให้เหลือ!"สิ้นคำสั่งสุดท้ายขององค์ชายใหญ่ เสียงโห่ร้องก็ดังสนั่นไปทั่วสมรภูมิ กลิ่นฝุ่นและโลหิตปะปนในลมหายใจ ขบวนทัพขององค์ชายใหญ่ทะยานเข้าสู่สนามรบราวคลื่นคำรามอันบ้าคลั่งโถมเข้าชนแนวศัตรูดุจคลื่นเหล็กแม้จำนวนจะด้อยกว่า หากแต่ธงสีชาดขอแคว้นเป่ยยังคงโบกสะบัดอย่างทรงอำนาจกลางฝุ่นควัน องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงอยู่แนวหน้าในชุดเกราะดำสนิท ดาบยาวในมือถูกฟาดฟันอย่างเฉียบคม สะบั้นโลหะและเลือดสาดกระเซ็นในทุกครั้งที่เหวี่ยงทหารใต้บังคับบัญชาต่างมององค์ชายของตนเป็นดั่งเพลิงศึกที่ไม่มีวันดับ การเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำ หนักแน่น และเด็ดขาด ทุกคำสั่งจากปากนั้นนำพากำลังใจของกองทัพให้พุ่งทะลวงเข้าไปได้ลึกขึ้นเรื่อยๆแต่ศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ พวกมันเตรียมการมาอย่างรัดกุม รู้จังหวะ รู้จุดอ่อน และบีบเข้ามาเป็นชั้นๆ ราวกับกับดักซ้อนกล ทหารแคว้นเป่ยเริ่มถูกแยกออกจากกัน เสียงเหล็กปะทะกันดังไม่ขาดสายขณะที่หลี่เหวินหลงกำลังฟาดฟันกับแม่ทัพศัตรูคนหนึ่งทางแนวซ้าย หา

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่67-1 ทวงคืนแผ่นดิน ปกป้องดวงใจ

    แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status