เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่
แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้
อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก
"ไม่เลว"
อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจ
การใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
ในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเอง
ทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหาร
นางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุกอย่างได้ นางก็อยากจะใช้มันให้คุ้มค่า
นางเองก็เป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ชื่นชอบความสวยงาม อาภรณ์งดงาม เครื่องประดับวิจิตร หรือแม้แต่การได้เห็นตัวเองในกระจก
เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ นางจะไม่ปล่อยให้ทุกอย่างสูญเปล่าอีกต่อไป นางจะใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองอยากใช้
หลังจากแต่งกายเสร็จเรียบร้อย และลิ้มรสอาหารเช้ารสเลิศจนอิ่มหนำ อวี้หลันก็เดินมาทอดกายลงบนตั่งนุ่มริมหน้าต่าง ตอนนี้นางยังไม่คิดจะก้าวเท้าออกไปไหน ปล่อยให้แสงแดดยามสายอาบไล้ร่างอย่างผ่อนคลาย
ชีวิตก่อนเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ชีวิตนี้ขอพักเหนื่อยอีกซักหน่อยเถอะ
มือเรียวยกจอกชาที่บ่าวคนสนิทรินให้ขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบายๆ ท่าทางของนางดูเกียจคร้านอย่างมีเสน่ห์ คล้ายแมวขี้เกียจที่กำลังซึมซับแสงอุ่นสบายยามเช้า
อวี้หลันหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ แต่เปี่ยมด้วยความรู้ทัน
"หวานหว่าน เจ้ามีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาเถอะ"
ท่าทางของอีกฝ่าย นางสังเกตมาสักพักแล้วว่ามีเรื่องอยากจะพูด
ฉิงหว่านเหลือบตามองผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายยังไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่
ในสายตาของนาง ผู้เป็นนายดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
ท่าทางเรียบนิ่ง สงบ เยือกเย็น แววตาคมกริบที่เหมือนมองทะลุใจคนได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางเคยคุ้นชิน
ก่อนหน้านี้คุณหนูของนางคือหญิงสาวอ่อนโยนอ่อนหวาน ขี้เกรงใจ ไม่กล้าจะมองสบตาผู้ใด และมักเก็บงำความรู้สึกไว้ภายใน แม้จะถูกกลั่นแกล้งก็มักเลือกที่จะเงียบไว้ ไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยเรียกร้อง
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป
คุณหนูดูมั่นคง แข็งแกร่ง และเด็ดเดี่ยวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้เพียงแค่นั่งจิบชาเงียบๆ ก็ยังแผ่บรรยากาศน่าเกรงขามออกมาอย่างประหลาด
ฉิงหว่านรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไม่คุ้นชินนักกับคุณหนูที่เป็นแบบนี้ แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ลึกๆ แล้ว นางดีใจ
ดีใจมากที่คุณหนูของนางเข้มแข็งขึ้น ไม่ได้อ่อนแอและหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
"บะ...บ่าวแค่รู้สึกว่าคุณหนูดูเปลี่ยนไปเจ้าค่ะ"
เสียงของฉิงหว่านสั่นเล็กน้อย ขณะที่ช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นนาย
อวี้หลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาทอประกายเย้าแหย่
"เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นวิญญาณร้ายมาสิงร่างนี้กระมัง"
"ไม่เจ้าค่ะ! บ่าวไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย!"
ฉิงหว่านรีบปฏิเสธหน้าตาตื่น มือที่ประสานกันอยู่บีบเข้าหากันแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
อวี้หลันมองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือหยาบกร้านของอีกฝ่ายมากุมไว้ แล้วตบเบาๆ ที่หลังมือ
"หวานหว่านเอ๋ย หวานหว่านของข้า"
เสียงของนางนุ่มนวลราวสายลมยามเช้า
"เมื่อคุณหนูของเจ้าผ่านพ้นความเป็นความตายมาแล้วคราหนึ่ง ก็ย่อมมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น"
นางเอ่ยช้าๆ สายตาเหม่อมองออกไปยังสวนด้านนอก ที่แสงแดดลอดใบไม้ตกกระทบพื้นอย่างแผ่วเบา
"หากข้ายังอ่อนแอเหมือนก่อน ครั้งนี้คงไม่แคล้วต้องตายจริงๆ แล้ว"
นางหยุดไปครู่หนึ่ง แววตาเงียบสงบแต่หนักแน่น หันมาสบตากับบ่าวตัวน้อย
"ไม่เพียงเท่านั้น การที่ข้าอ่อนแอก็ทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ไม่สามารถปกป้องใครได้เลย"
ฉิงหว่านเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตารื้นน้ำ
"บ่าว บ่าวดีใจเจ้าค่ะ"
เสียงของนางสั่นพร่าด้วยอารมณ์ที่กดไว้ไม่อยู่
"ดีใจที่คุณหนูยังอยู่ตรงนี้"
ยอมรับว่าในตอนแรกนางกลัวมาก กลัวว่าคุณหนูจะจากไปจริงๆ
อวี้หลันใจอ่อนยวบ มือนุ่มบีบมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นเล็กน้อย
"ที่ผ่านมาต้องขอบใจเจ้ามาก"
ฉิงหว่านน้ำตาร่วงเงียบๆ นางส่ายหน้าช้าๆ พูดเสียงสะอื้น
"คุณหนูคือชีวิตของบ่าว ไม่ว่ายังไงบ่าวก็ไม่มีวันทอดทิ้งคุณหนูเจ้าค่ะ"
อวี้หลันหัวเราะเบาๆ พลางใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลของอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยน
"ข้ารู้ เลิกร้องไห้ได้แล้ว มาเถอะ เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าระหว่างที่ข้าหมดสติไปเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง"
สองสายตามองสบกัน แววตาหนึ่งเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง อีกสายหนึ่งอบอวลด้วยความจงรักภักดีที่มั่นคงไม่แปรเปลี่ยน
ยามนี้ดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้นสูง ลำแสงเจิดจ้าทอดผ่านช่องหน้าต่างของเรือนฮวาหง สาดความร้อนแรงทาบยาวลงบนพื้นหินเย็นเฉียบตามทางเดิน แม้ภายนอกจะสว่างไสวด้วยแสงแดด แต่ภายในห้องกลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด
เซิ่งเจี้ยน บิดาของเซิ่งซื่อ ผู้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีโอกาสสร้างผลงาน ได้รับชัยชนะจากศึกใหญ่ที่ชายแดนใต้อย่างงดงาม
เพราะแม่ทัพผู้นำทัพเพลี่ยงพล้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส เซิ่งเจี้ยนจึงต้องออกนำทัพเอง ด้วยการบัญชาทัพอย่างเด็ดขาดของเขา ทำให้กองทัพฝ่ายศัตรูต้องล่าถอยจนหมดสิ้น ข่าวแห่งชัยชนะถูกกราบทูลขึ้นสู่ราชสำนัก และได้รับการกล่าวขวัญไปทั่ว ชื่อเสียงของตระกูลพุ่งทะยาน
ไม่นานนัก พระราชโองการแต่งตั้งแม่ทัพภาค ก็มาถึงมือ มอบตำแหน่งแม่ทัพประจำมณฑลชายแดนใต้ พร้อมอำนาจควบคุมกองทัพทั้งหมดในพื้นที่ตามพระราชบัญญัติการทหาร ถูกมอบให้กับบิดาของเซิ่งซื่อโดยสมบูรณ์
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้สถานะของตระกูลเซิ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งเดิมเป็นเพียงตระกูลทหารที่เริ่มเป็นที่รู้จัก กลายเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในกองทัพอย่างเต็มภาคภูมิ ชื่อเสียงของแม่ทัพเซิ่งดังกระหึ่มไปทั้งแผ่นดิน
และด้วยสถานะใหม่นี้เอง เซิ่งซื่อที่แต่งเข้ามาในฐานะ "เบี้ย" ทางการเมือง ก็เริ่มกลายเป็น "หมากสำคัญ" ที่ไม่มีผู้ใดมองข้ามได้อีกต่อไป นางไม่อาจรั้งอยู่แค่ตำแหน่งฮูหยินรองได้อีก และตอนนี้นางก็ได้รับการยกฐานะเป็นฮูหยินเอกเรียบร้อยแล้ว
อวี้หลันนิ่งฟัง ดวงตาทอแสงเย็นเยียบ ขณะปลายนิ้วไล้วนขอบจอกชาอย่างครุ่นคิด
ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
"คุณหนูเจ้าคะ บ่าวยังมีอีกเรื่องที่คุณหนูต้องรู้เจ้าค่ะ"
เสียงฉิงหว่านดังขึ้นเบาๆ
อวี้หลันเลิกคิ้วเล็กน้อย
"ยังมีเรื่องใดอีกหรือ"
นางวางจอกชาลงบนถาดหยก เสียงกระทบกันดังขึ้นแผ่วเบา ภายในห้องพลันเงียบสงัดลง
ฉิงหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
"บ่าวได้ยินมาว่า"
นางหยุดไปครู่หนึ่งราวกับลังเล ก่อนจะตัดใจพูดออกมาในที่สุด
"ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายห้า อาจมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าค่ะ"
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในเรือนฮวาหงก็พลันเงียบงันลงทันที
อวี้หลันขมวดคิ้วมุ่น แววตาฉายแววครุ่นคิดขณะทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
"พระชายาขององค์ชายห้าอย่างนั้นหรือ"
นางเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาฉายแววเยาะหยันนิดๆ
"หากข้าจำไม่ผิด คนผู้นั้นก็คือคู่หมายของข้านี่ ใช่หรือไม่"
ฉิงหว่านเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าตอบ ได้แต่ก้มหน้าราวกับกลัวว่าคำพูดของตนจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ผู้เป็นนาย
แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้บรรยากาศแปลกไปในทันที
"ฮึ อย่างนี้นี่เอง"
นางพึมพำกับตัวเอง แววตาไม่แสดงความตกใจหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเฉียบคมของคนที่กำลังมองหมากกระดานนี้ออกอย่างชัดเจน
อวี้หลันหัวเราะเบาๆ ในลำคอ นี่สินะ เหตุผลที่นางถูกวางยา
แต่เป็นเช่นนั้นก็ดีสิ ท่าทางเย็นชาเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง
ไม่ว่าชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ นางก็ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานอยู่แล้ว บุรุษพวกนั้นมันน่ารำคาญจะตาย
อวี้หลันเอนกายลงพิงหมอนอิงอย่างสบายใจ ก่อนจะเหยียดยิ้มเยือกเย็น
นางไม่คิดจะขัดขวางวาสนาของใคร มีแต่จะส่งเสริมคู่ยวนยางก็เท่านั้น
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานอวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรีอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณาหัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิดในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปย
ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้าตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพคุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้วคุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่งแต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปีอวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี คุณหนูรองผู้นี้ แม
แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อยอวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆหยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนร
"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ "นั่งลงเถิด"พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก
ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกันเสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆเสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียง
เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก"ไม่เลว"อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเองทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหารนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุ