เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืม
ในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียน
สถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัด
สายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวัง
พระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้น
พระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่อนจะออกแรงดึงสุดตัว ดึงร่างของพระองค์ให้โผล่พ้นสระบัวอย่างยากลำบาก
น้ำไหลพรากลงจากชายผ้าของทั้งสอง ร่างเล็กกระอักน้ำพลางหอบหายใจติดขัด ดวงเนตรพร่ามัวมองเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่ก้มลงถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกปนห่วงใย
"เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่"
น้ำเสียงหวานที่แผ่วเบาราวสายลมกระซิบข้างหู มือที่อบอุ่นราวแสงแดดอ่อนในฤดูใบไม้ผลิ และดวงหน้างดงามที่พระองค์ไม่มีวันลืม
นาง...คือผู้มีพระคุณ ผู้พาพระองค์รอดพ้นจากวาระสุดท้ายของชีวิต
ภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พระองค์จึงได้รู้ว่า สตรีน้อยผู้มีพระคุณช่วยชีวิต คือคุณหนูจากตระกูลไป๋ นามว่า ไป๋ซูเหยา
นางเดินทางเข้าสู่พระราชวังเพื่อเรียนรู้มารยาทสตรีชั้นสูงตามธรรมเนียมสกุลขุนนางตระกูลใหญ่ แต่ในวันเกิดเหตุ นางแอบเดินเล่นจนพลัดหลงเข้าไปในเขตพระราชฐาน และนั่นเองที่ทำให้นางได้พบเห็นเหตุการณ์ในสระบัว และตัดสินใจกระโจนเข้าช่วย โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตอนนั้น นางอายุเพียงสิบสี่ยังไม่ปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ...แต่กลับกล้าหาญยิ่งนัก กล้าหาญเหนือกว่าสตรีใดที่พระองค์เคยพบเจอ
นับแต่นั้นมา สำหรับองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงแล้ว นางไม่ใช่เพียงคุณหนูตระกูลขุนนางคนหนึ่ง แต่เป็น พี่สาวใจดี ที่พระองค์ให้ความเคารพและผูกพันในวัยเยาว์
เด็กชายตัวน้อยในวัยเก้าขวบ ผู้รอดพ้นจากความตายอย่างหวุดหวิด กล่าวกับแม่นางน้อยด้วยแววตาจริงจังว่า
"พี่สาวคนงามต่อไปเมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านแน่"
เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามในวัยเพียงสิบสี่ปี หัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะย่อตัวลงลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของนางอบอุ่นเหมือนแสงแดดเช้าในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า
"หากเจ้าอยากตอบแทนบุญคุณของข้า"
เสียงใสเอ่ยกลั้วหัวเราะ
"เช่นนั้นหากวันหนึ่งข้ามีบุตรสาว ข้าจะยกให้นางแต่งกับเจ้า เจ้าจะได้ดูแลนางแทนข้า ดีหรือไม่"
เสียงหัวเราะสดใสของเด็กทั้งสองพลันดังก้องลานสวนเบื้องหลังตำหนัก ต้นบัวในสระพลิ้วไหวตามสายลม เหมือนกำลังหัวเราะไปกับพวกเขาด้วย....
ยามเมื่อภาพในอดีตย้อนคืน มุมปากหยักของหลี่เหวินหลงก็พลันยกยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา แววตาคมกริบที่เคยเย็นชาอยู่เป็นนิจ กลับดูอ่อนโยนลง
แสงสว่างอ่อนบางจากโคมไฟที่ถูกจุดเรียงรายตลอดทางเดิน สาดทาบผ่านระเบียง ทอดลงบนใบหน้าคมคายของเขา ราวกับจะตอกย้ำความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจ
ไม่รู้ว่าในวันนั้นนางล้อเล่นหรือไม่ แต่ในวันนี้... เขากลับอยากจะยึดเอาคำกล่าวนั้น เป็นจริงเป็นจัง
สายพระเนตรคมกล้าทอดผ่านไปยังสระบัวเบื้องหน้า ผืนน้ำเรียบสงบไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อน แต่ในใจของหลี่เหวินหลง กลับปั่นป่วนอย่างยากที่จะสงบ
ลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดโชยปลายชายผ้าคลุมเบาๆ กลีบบัวสีจางพลิ้วไหวเหนือผิวน้ำ สะท้อนเงาไหวระริกใต้แสงจันทร์นวลผ่อง พระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นกลางฟ้า ทอดเงาลงบนสระเบื้องล่างอย่างเงียบงัน งดงามจนแทบลืมหายใจ
ทว่าในความงามนั้น กลับแฝงไว้ด้วยร่องรอยบางเบาของความโศกเศร้า ราวกับเงาสะท้อนของอดีตที่ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของผู้ที่ยังคงระลึกถึง
เสียงหยาดน้ำหยดแผ่วเบา ดั่งเสียงหัวใจที่ยังเต้นในความเงียบงันของความทรงจำ เงาจันทร์ยังคงทอดสะท้อนบนผิวน้ำ เช่นเดียวกับความทรงจำที่ไม่เคยหายไป
ภายหลังจากนั้นสองปีคุณหนูตระกูลไป๋ก็ได้เข้าพิธีมงคลสมรสกับบุรุษที่นางรัก แม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่านางนับสิบปี แต่ก็นับว่าเป็นชายหนุ่มมีความสามารถผู้หนึ่ง ข่าวนั้นทำให้พระองค์รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้ร่วมพิธีด้วยตนเอง แต่ก็ทรงเลือกของขวัญล้ำค่าด้วยพระองค์เอง ส่งไปเพื่อแสดงความยินดีจากใจจริง
และในวันที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงตัดสินใจออกจากเมืองหลวงเข้าร่วมกองทัพแดนเหนือ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พี่สาวใจดีของพระองค์ให้กำเนิด ทายาทหงส์มังกร บุตรชายและบุตรสาวฝาแฝด แม้จะอยู่ห่างไกลถึงแดนเหนือ พระองค์ก็ยังส่งของขวัญชุดใหญ่มาถึงเมืองหลวง ให้เด็กน้อยทั้งสอง
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คือเพียงไม่กี่ปีให้หลัง เรื่องร้ายก็เริ่มคืบคลาน ข่าวการล่มสลายของตระกูลไป๋ในคดีใหญ่หลวงดังสะท้านทั่วเมืองหลวง และดังไกลมาถึงแดนเหนือ ตระกูลไป๋ต้องโทษ แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อผู้มีพระคุณของพระองค์
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงที่ประจำการอยู่ชายแดนเหนือ ห่างไกลจากวังหลวงและเงาเงียบของราชสำนักนับพันลี้ ไม่อาจรับรู้ข่าวร้ายได้ทันเวลา กว่าที่พระองค์จะทรงทราบเรื่องราว ตระกูลไป๋ก็ถูกลงดาบไปแล้ว
แม้จะทรงเร่งกลับมาเพื่อช่วยเหลือผู้มีพระคุณ ทว่าสิ่งที่ได้พบมีเพียงหลุมศพเย็นเยียบ นางได้สิ้นใจไปเสียแล้ว
"พี่สาว ข้า...กลับมาไม่ทัน..."
ถ้อยคำที่หลุดจากริมฝีปากนั้นแผ่วเบา ทว่าในพระทัยกลับหนักอึ้งอย่างยากจะบรรยาย
เรื่องดังกล่าวไม่เพียงสะเทือนพระทัย พระองค์ยังรู้สึกผิด จึงทำได้เพียงชดเชยให้อีกฝ่าย
ทรัพย์สมบัติของตระกูลไป๋ซึ่งควรยึดเข้าคลังหลวง จึงถูกพระองค์ส่งมอบให้กับทายาทของนางอย่างเงียบงัน
และด้วยประสบการณ์ในสนามรบ ทั้งเล่ห์กลในวังหลัง ทำให้พระองค์คิดว่าการตายของผู้มีพระคุณนั้นมีเงื่อนงำ ไม่มีทางเป็นแค่การตรอมใจหรือล้มป่วยธรรมดา
ไป๋ซูเหยา ที่พระองค์รู้จัก หาใช่สตรีที่อ่อนแอเปราะบางถึงเพียงนั้น นางคือหญิงกล้าหาญที่เคยยื่นมือช่วยชีวิตเด็กชายแปลกหน้าโดยไม่คิดชีวิต ไม่มีทางที่นางจะทอดทิ้งลูกของตนแล้วจากไปอย่างสิ้นหวัง
แผนการมากมายในเรือนหลังเช่นนี้ใช่ว่าพระองค์จะไม่เคยพบเจอ พระองค์คุ้นเคยกับมันดีเลยทีเดียว จึงพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับผู้มีพระคุณ
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงเลือกพาตัว อวี้เฉิน บุตรชายของนาง ซึ่งเด็กคนนี้คือทายาทคนสำคัญ ต่อไปจะต้องขึ้นเป็นผู้นำตระกูลออกจากตระกูลอวี้ และการที่พระองค์ถูกลอบสังหารระหว่างทางก็ยิ่งเป็นหลักฐานตอกย้ำว่ามีใครบางคนไม่ต้องการให้เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่
แม้พระองค์จะรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่เพราะการศึกติดพันจึงไม่อาจกลับมาชำระความกับอีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงรอเวลาเท่านั้น
สำหรับบุตรสาวของนาง พระองค์ไม่อาจพาเด็กหญิงผู้นั้นเข้ากองทัพด้วยได้ จึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับผู้เป็นบิดาและคู่หมายของนาง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะเข้มแข็ง สามารถปกป้องตัวเองได้
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือ...
น้องชายของพระองค์ผู้นั้น กลับ ใจดำอำมหิต ไม่ต่างจากมารดาผู้ให้กำเนิด...
อวี้หลันเอนกายพิงกรอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์สีนวลส่องลอดผ่านผ้าม่านบางเบา ทาบไล้ลงบนผิวแก้มขาวเนียนของนางอย่างอ่อนโยน
ท้องฟ้ายามราตรีในคืนนี้เงียบสงบไร้เมฆบดบัง พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางนภา งดงามดุจภาพวาดที่จิตรกรบรรจงสร้าง ทว่าในดวงตาของนางกลับไร้แววชื่นชม
เรื่องราวขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ที่ได้รับฟังจากปากของน้องชาย ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงความคิด
ใครจะไปคาดคิดว่า...ชายผู้หนึ่งซึ่งตนเคยประมือด้วยในเงามืด และไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกเห็น จะมีด้านที่อ่อนโยน ซื่อตรง และซื่อสัตย์กับตัวเองเช่นนั้น
นางยอมรับ...ว่าความรู้สึกบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป รู้สึกชื่นชมในตัวเขาไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น คนเช่นเขาก็ไม่ควรที่จะเข้าใกล้เลยสักนิด
เขาดูอันตรายเกินไป อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด การฆ่าฟัน อำนาจ และเพลิงแค้น
สิ่งเหล่านั้นคือโลกอีกใบที่นางไม่อยากแม้แต่จะเฉียดกราย
นางเคยเดินอยู่บนเส้นทางเช่นนั้น และรู้ดียิ่งว่ามันเต็มไปด้วยหนามแหลมและกลิ่นคาวเลือด
นางเหนื่อยแล้ว...เหนื่อยเกินกว่าจะเดินซ้ำอีกครั้ง
หลังจากนี้หวังเพียงทวงความยุติธรรมให้เจ้าของร่าง แล้วจากนั้นนางก็จะหยุดทุกอย่าง และใช้ชีวิตอย่างสงบ
ส่วนเขา เพียงแค่ได้ชื่นชมอยู่ห่างๆ ไม่ต้องข้องเกี่ยว ไม่ต้องมีความรู้สึกใดไปมากกว่านี้ เท่านี้ก็พอแล้ว
แต่จะทำได้หรือไม่ นั่นต่างหาก...ที่นางไม่กล้าตอบตัวเอง
เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยนเสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่างเบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ พาให้บรรยากาศในเมืองหลวงชุ่มชื่นสดใส และภายในจวนรองเสนาบดีอวี้ ก็คล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นอายของความยินดีไม่แพ้กันช่วงนี้ภายในจวนมีแต่เรื่องมงคลถาโถมเข้ามาราวพรมแดนแห่งโชคชะตาเปิดทางเรียกได้ว่าในรอบหลายปีไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จวนรองเสนาบดีจะครึกครื้นและมีแต่ข่าวดีเช่นนี้บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมสิ่งของกันขวักไขว่ ขณะที่ขุนนางผู้เป็นเจ้าของจวนก็ยืดอกได้เต็มที่ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังโปรดปรานตระกูลอวี้ในช่วงเวลานี้โดยแท้เริ่มตั้งแต่บุตรสาวคนโตของจวน หมั้นหมายกับองค์ชายห้า ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกจวนฮือฮา บรรดาขุนนางใหญ่เล็กต่างก็พากันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี บางส่วนถึงกับแวะเวียนมาเยือนด้วยตนเองเพื่อสานไมตรีแต่นั่นยังไม่พอ ข่าวถัดมาก็เรียกความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตระกูล คุณชายใหญ่อวี้เฉิน ผู้ที่หายหน้าจากเมืองหลวงไปนานหลายปีเนื่องจากไปศึกษาต่างเมืองได้เดินทางกลับมา และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขากลับมาพร้อมกับขบวนทัพบุรุษที่เป็นผู้สนับสนุนเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น อง
เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียนสถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัดสายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวังพระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้นพระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่
สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตนส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีแต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเองเซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นาน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ