ในเย็นวันหนึ่ง ระหว่างมื้ออาหารค่ำที่สมาชิกครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จสิ้น เหลียนจื้อเซินก็วางตะเกียบลงและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจที่ทำให้ทุกคนต้องนิ่งฟัง
“ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ” เขากวาดตามองทุกคน ก่อนจะหยุดลงที่บุตรชาย “หยางเหว่ย เจ้าอายุสิบสี่ปีแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวเป็นหลักเป็นฐานเสียที ข้าได้จัดการเรื่องหมั้นหมายของเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว”
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของหยางเหว่ย โลกทั้งใบของเขาหยุดหมุน
“ท่าน...ท่านพ่อ...”
“เจ้าจะเข้าพิธีหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลเว่ย บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองเว่ยซิน การเกี่ยวดองครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างบารมีและอำนาจให้ตระกูลของเรามั่นคงยิ่งขึ้นไปอีกหลายชั่วอายุคน อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีพิธีมอบของหมั้นอย่างเป็นทางการ เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อม”
“ท่านพ่อ! ข้ายังเด็กนัก! ข้ายังไม่พร้อม!” หยางเหว่ยเผลอขึ้นเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ไร้สาระ!” เหลียนจื้อเซินตวาดกลับเสียงดังลั่นจนถ้วยชากระทบกันกริ๊ง “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาต่อรอง มันคือหน้าที่! คือเกียรติยศ! คืออนาคตของวงศ์ตระกูล!”
“แต่ข้าไม่ต้องการ!”
“เหลียนหยางเหว่ย!!!”
“ท่านพี่ ใจเย็นๆ ก่อนเถิดค่ะ” ท่านหญิงเหลียนพยายามจะห้ามปรามสามี แต่ก็ไม่เป็นผล
“เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาต้องการหรือไม่ต้องการ!” บิดาชี้หน้าบุตรชาย “ชีวิตของเจ้าเป็นของตระกูลเหลียน หน้าที่ของเจ้าคือทำตามที่ข้าสั่ง! เรื่องนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด!”
สิ้นคำประกาศิตนั้น เหลียนจื้อเซินก็ลุกขึ้นและเดินจากไป ทิ้งให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง หยางเหว่ยตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ความอัปยศ และความสิ้นหวัง เขาไม่ได้กำลังจะถูกจับแต่งงาน... เขากำลังจะถูกลบตัวตนให้หายไปอย่างสมบูรณ์
คืนนั้นเอง หยางเหว่ยบุกเข้าไปในห้องหนังสือของบิดาเป็นครั้งแรกโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ท่านพ่อ ข้าขอคุยกับท่าน”
เหลียนจื้อเซินเงยหน้าจากเอกสารการค้า แววตาของเขาเย็นชา
“ข้าคิดว่าเราพูดกันรู้เรื่องแล้ว”
“ไม่! ท่านไม่เคยฟังข้าเลย!” หยางเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ท่านไม่เคยถามเลยสักครั้งว่าข้าต้องการอะไร ท่านเอาแต่ยัดเยียดสิ่งที่ท่านต้องการให้ข้า! ข้าไม่อยากเป็นเจ้าสำนักคุ้มภัย! ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ข้าไม่รู้จัก!”
“แล้วเจ้าอยากจะเป็นอะไร?!” บิดาถามเสียงหยัน “บอกข้ามาสิ ว่าความฝันอันสูงส่งของเจ้ามันคืออะไร!”
“ข้า...ข้าอยากเป็นศิลปิน!” หยางเหว่ยตะโกนออกมาในที่สุด ความลับที่เก็บงำไว้ในใจมานานหลายปีได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะ เหลียนจื้อเซินจ้องมองบุตรชายราวกับเห็นตัวประหลาด ก่อนที่เขาจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“นี่น่ะหรือความฝันของทายาทตระกูลเหลียน?!”
ความอับอายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหยางเหว่ย แต่เขาก็ยังยืนหยัด
“ศิลปะไม่ใช่เรื่องตลก!”
“สำหรับคนชั้นต่ำน่ะใช่!” บิดาตวาดลั่น เขาเดินตรงเข้ามาคว้าขลุ่ยไม้ไผ่ที่หยางเหว่ยเหน็บไว้ที่เอวออกมา “เพราะของเล่นไร้สาระชิ้นนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้ความคิดเจ้าวิปลาสไป!”
“ท่านพ่อ อย่า!”
แกร๊บ!
เหลียนจื้อเซินหักขลุ่ยเลานั้นออกเป็นสองท่อนด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย เศษไม้ไผ่ร่วงหล่นลงบนพื้นราวกับหยดน้ำตาที่แห้งเหือด บิดาของเขาโยนเศษซากนั้นทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะชี้หน้าบุตรชายเป็นครั้งสุดท้าย
“จงไปสำนึกผิดในห้องของเจ้าเสีย! ลืมเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปให้หมด และเตรียมตัวเข้าพิธีหมั้นหมายตามที่ข้าสั่ง หากเจ้ายังคิดจะทำตัวเป็นที่น่าอับอายเช่นนี้อีก ก็จงอย่าเรียกข้าว่าพ่อ!”
หยางเหว่ยยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ เขาก้มลงมองเศษขลุ่ยที่แตกหักบนพื้น มันไม่ใช่แค่ขลุ่ยที่ถูกทำลาย แต่เป็นหัวใจของเขา... เป็นความผูกพันสุดท้ายระหว่างเขากับบิดาที่แหลกสลายลงไปพร้อมกัน
เขากลับมาที่ห้องของตนเอง แต่ไม่ได้สำนึกผิด ในใจของเขามีแต่ความว่างเปล่าที่เยียบเย็น ความรัก ความผูกพัน ความเป็นพ่อลูก... มันได้ตายไปแล้วในคืนนี้ เมื่อบิดาทำลายสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาจนหมดสิ้น ในเมื่อที่นี่ไม่มีที่ให้เขาหยัดยืนอีกต่อไป... เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกเช่นกัน...
ภายใต้แสงจันทร์ที่ริบหรี่ในคืนเดือนมืด หยางเหว่ยเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เรียบง่ายที่สุด เขารวบรวมเงินและของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะหยิบฉวยได้ใส่ห่อผ้า เขาเหลือบมองกระบี่ประจำตระกูลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างไม่ไยดี เขาเขียนจดหมายสั้นๆ ถึงมารดาด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรักและขออภัย วางมันไว้บนหมอนอย่างแผ่วเบา
ด้วยวิชาตัวเบาที่บิดาเคยบังคับให้เขาเรียนรู้อย่างเกลียดชัง บัดนี้มันได้กลายเป็นเครื่องมือแห่งอิสรภาพ เขาลอบออกจากเรือนของตนเองอย่างเงียบเชียบ หลบหลีกยามรักษาการณ์ที่ลาดตระเวนอยู่เป็นระยะ ก่อนจะมาหยุดลงที่กำแพงสูงใหญ่หลังคฤหาสน์
เขามองย้อนกลับไปยังเรือนใหญ่ที่มืดมิดและเงียบสงบ ที่นั่นคือบ้านที่เขาเกิด คือครอบครัวที่เขาเคยรัก คืออดีตที่เขาต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้ม ก่อนที่เขาจะเช็ดมันออกอย่างรวดเร็วด้วยหลังมือ
ไม่มีความลังเลอีกต่อไปแล้ว
เหลียนหยางเหว่ยทะยานร่างขึ้นสู่ยอดกำแพง ก่อนจะทิ้งตัวลงสู่โลกภายนอกที่มืดมิดและกว้างใหญ่ หายลับไปในความมืดของค่ำคืน ทิ้งไว้เพียงกรงทองที่ว่างเปล่าเบื้องหลัง
ณ คฤหาสน์ตระกูลเหลียนที่สงบสุข...จดหมายจากเหมยหลินถูกส่งมาถึงมือของไป๋อวี้ฮวา อี้เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่เมื่ออวี้ฮวาคลี่จดหมายออกอ่าน สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความรู้สึกทึ่งและตื้นตันใจเล็กๆนางยื่นจดหมายให้อี้เฉินอ่าน เนื้อความในนั้นเขียนไว้ว่า:“ถึง ไป๋อวี้ฮวา สหายและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้าชัยชนะของท่านเมื่อห้าปีก่อน ได้ทำลายความหยิ่งทนงของข้าจนหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้ปลุกจิตวิญญาณศิลปินที่หลับใหลของข้าให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านได้แสดงให้ข้าเห็นถึงเส้นทางที่ข้าได้หลงลืมไปบัดนี้ ข้าได้ผ่านการเดินทางและขัดเกลาปีกของตนเองแล้ว ข้าจึงอยากจะขอส่งสารนี้มาเพื่อท้าทายท่านอีกครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่การประชันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งอีกต่อไป แต่คือการท้าทายเพื่อให้พวกเราทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสรรค์การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แผ่นดินนี้เคยมีมาข้าขอเชิญท่านและคณะงิ้วของท่าน เดินทางมายังเมืองหลวง เพื่อเปิดการแสดงเคียงข้างกันบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่าศิลปะที่แท้จริงนั้นงดงามเพียงใดด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเหมย
สองปีหลังจากการประชันงิ้ว...กาลเวลาได้พัดพาเรื่องราวการประชันอันเลื่องชื่อระหว่างหงส์ฟ้าแห่งเมืองหลวงและนางสวรรค์แห่งแดนใต้ให้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งที่ถูกเล่าขานในโรงน้ำชาและคณะละครทั่วหล้า สำหรับชาวเมืองทางใต้ มันคือเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว มันคือรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบของคณะงิ้วหลวง และคือความอัปยศที่นางพญาหงส์อย่างเหมยหลินต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงของเหมยหลินในครั้งนั้น ช่างแตกต่างจากการเดินทางมาเยือนแดนใต้อย่างสิ้นเชิง ขบวนรถม้าที่เคยยิ่งใหญ่บัดนี้กลับดูหม่นหมองไร้สง่าราศี บรรยากาศในคณะเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด ข่าวความพ่ายแพ้ ได้เดินทางล่วงหน้ามาถึงก่อนตัวนางเสียอีก สายตาของชาวเมืองหลวงที่เคยเปี่ยมด้วยความชื่นชมบูชา บัดนี้กลับเจือปนด้วยความผิดหวังและคำถามเหมยหลินเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนพักของนาง ปฏิเสธการเข้าพบจากทุกคน นางพยายามจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม พยายามจะกลับขึ้นไปบนเวทีที่เคยเป็นดั่งบัลลังก์ของนาง แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนางยังคงร่ายรำได้อย่างสมบูรณ์แบบ... แต่นางกลับรู้สึกถึงความว
คำประกาศิตที่เกรี้ยวกราดของเหลียนจื้อเซินดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบงัน มันคือคำตัดสินที่เฉียบขาดและเย็นชาที่สุด คือการผลักไสสายเลือดของตนเองให้กลายเป็นคนอื่นอีกครั้ง ไป๋อวี้ฮวายังคงคุกเข่านิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายชาวาบไปทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง น้ำตาทุกหยดเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทว่าในครั้งนี้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง“หากท่านจะไล่เขาไป... ก็โปรดไล่ข้าไปด้วย”เสียงของเหลียนอี้เฉินดังขึ้นอย่างหนักแน่นและไม่เกรงกลัว เขาก้าวมายืนเคียงข้างร่างของอวี้ฮวา เผชิญหน้ากับบิดาบุญธรรมของตนเองอย่างไม่ยอมหลบสายตา“หากเขาไม่ใช่บุตรชาย หรือสะใภ้ของท่าน ข้าก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านอีกต่อไป หากที่นี่ไม่มีที่ให้เขายืน... ก็ย่อมไม่มีที่สำหรับข้าเช่นกัน พวกเราจะจากไปพร้อมกันเดี๋ยวนี้”คำพูดนั้นราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมากลางใจของเหลียนจื้อเซิน การสูญเสียลูกชายคนเดียวไปเมื่อแปดปีก่อนคือความเจ็บปวดที่เขาซ่อนไว้ใต้หน้ากากแห่งความแข็งกร้าวมาโดยตลอด การต้องมาสูญเสียลูกชายบุญธรรมที่เปรียบเสมือนแขน
พวกเขาเลือกรุ่งเช้าของวันต่อมา... ด้วยมันเป็นวันที่เหลียนจื้อเซินดูสดใสและมีกำลังวังชามากที่สุดนับตั้งแต่ฟื้นไข้อี้เฉินและอวี้ฮวาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวในห้องนอนของบิดา โดยมีท่านหญิงเหลียนนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยเช่นกัน บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยความสุขจากการฟื้นตัวของประมุขแห่งบ้านอี้เฉินเป็นผู้เริ่มต้น เขารู้ดีว่าในฐานะบุตรชายและสามี เขาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดเขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างเตียงของบิดา ทำให้ทุกคนในห้องตกใจไปตามๆ กัน“อี้เฉิน! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”“ท่านพ่อ ท่านแม่... ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรต่อไป ข้าขอให้ท่านทั้งสองโปรดจงรู้ไว้ว่า... ข้ารักอวี้ฮวา... รักอย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าความจริงที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นเช่นไร ความรักของข้าที่มีต่อนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราว... ตั้งแต่คืนส่งตัวที่เขาได้ล่วงรู้ความจริง... ความโกรธเกรี้ยว ความสับสน และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะยอมรับและปกป้องคนที่เขารักต่อไป เขาสารภาพว่าเขาร่วมมือกับนางในการหลอกลวงเรื่องการตั้งครรภ
ในห้องหนังสือที่เงียบสงบ มีเพียงอี้เฉินและอวี้ฮวาที่นั่งเผชิญหน้ากับหมอเทวดากู้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็นท่านหมอกู้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวหา แต่กลับเริ่มต้นด้วยการชื่นชม“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าได้เห็นความทุ่มเทของฮูหยินน้อยแล้ว นับเป็นลูกสะใภ้ที่กตัญญูและมีจิตใจเข้มแข็งอย่างหาได้ยากยิ่ง”“ท่านหมอชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบเสียงเบา ส่วนท่านหมอกู้ก็จิบชา ก่อนจะวางถ้วยลงและมองตรงมาที่นาง“แต่สิ่งที่ข้าชื่นชมนั้น...กลับยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ข้ามากขึ้นไปอีก”เขาประสานมือไว้บนตัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวี้ฮวา ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นางและอี้เฉินรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน“ชีพจรของฮูหยินน้อย... มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ... มันไม่เหมือนชีพจรสตรีเลย”ความเงียบที่โรยตัวลงในห้องหนังสือนั้นหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าหินผาพันชั่ง ไป๋อวี้ฮวาและเหลียนอี้เฉินนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปสลัก คำพูดของท่านหมอกู้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาราวกับเสียงระฆังที่ตีซ้ำแล้วซ้ำ
ในที่สุด เช้าวันที่สาม ความหวังก็มาถึงชายชราร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีเทาธรรมดาๆ พร้อมกับกล่องยาไม้เก่าๆ ใบหนึ่ง ถูกนำทางเข้ามาในคฤหาสน์ เขาไม่มีท่าทีโอ่อ่าเหมือนหมอหลวง ไม่มีรัศมีน่าเกรงขามเหมือนจอมยุทธ์ แต่ดวงตาของเขานั้นกลับสุขุมและเปี่ยมด้วยปัญญาจนทำให้ทุกคนที่อยู่รายล้อมต้องรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด“คารวะท่านหมอกู้” อี้เฉินรีบเข้ามาประสานมือคารวะหมอเทวดากู้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ“อย่าได้มากพิธีเลย นำข้าไปดูคนไข้เถิด”เมื่อเข้ามาในห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ท่านหมอกู้ก็ไม่ได้สนใจผู้ใดอีก เขาวางกล่องยาลงและเดินตรงไปที่เตียงของผู้ป่วยทันที เขามองดูสีหน้า ตรวจดูเปลือกตาและลิ้นของเหลียนจื้อเซิน ก่อนจะทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด... การตรวจจับชีพจรนิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่กลับมั่นคงของเขาวางลงบนข้อมือของเหลียนจื้อเซินอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลง ใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อรับฟัง "เสียง" ของชีวิตที่กำลังจะดับสูญ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนทุกคนแทบจะหยุดหายใจ“ชีพจรแผ่วเบาและแตกซ่านราวกับเส้นด้ายที่กำลังจะขาด” ท่านหมอเอ่ย