Accueil / รักโบราณ / บุปผาหยกหวนคืนบ้าน / บทที่ 2: กรงทองที่จากมา (1/2)

Share

บทที่ 2: กรงทองที่จากมา (1/2)

last update Dernière mise à jour: 2025-08-29 08:47:31

แปดปีก่อน…

คฤหาสน์ตระกูลเหลียนตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำสายหลักของเมืองทางใต้ กำแพงสูงตระหง่านสีเทาเข้มโอบล้อมอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไว้ภายใน ประหนึ่งป้อมปราการที่มิอาจให้สิ่งใดเล็ดลอดผ่าน ทั้งลมหายใจของโลกภายนอกและความปรารถนาของคนภายใน สำหรับโลกภายนอก ที่นี่คือศูนย์กลางอำนาจและเกียรติยศ คือที่ตั้งของสำนักคุ้มภัยเหลียนซานอันเลื่องชื่อ แต่สำหรับเหลียนหยางเหว่ยในวัยสิบสี่ปี ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากกรงทองอันวิจิตร ที่ทุกตารางนิ้วถูกฉาบไว้ด้วยความคาดหวังของบิดา

เสียงตะโกนอันทรงพลังและเสียงกระทบกันของศาสตราวุธดังแว่วมาจากลานฝึกกว้างหน้าเรือนใหญ่ นั่นคือเสียงของเหลียนจื้อเซิน บิดาของเขา กำลังควบคุมการฝึกยุทธ์ของเหล่าครูฝึกและผู้คุ้มภัยในสังกัดด้วยตนเอง ทุกเช้าจะมีเสียงเหล่านั้นคือเสียงปลุกแรกของวัน เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงเส้นทางที่บิดาขีดเขียนไว้ให้เขาเดินตาม

แต่ในเรือนปีกตะวันออกอันเงียบสงบของหยางเหว่ย เขากลับหลบเร้นอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง ห้องหนังสือของเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นหมึกและกระดาษ บนโต๊ะไม้ชั้นดีมีตำราพิชัยสงครามและบัญชีการค้าของสำนักวางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบตามที่บิดาต้องการให้เป็น ทว่าในชั้นหนังสือลับหลังม่านปักลายมังกรซ่อนเร้นสมบัติที่แท้จริงของเขาไว้ บทละครอุปรากรจีน หรือที่เรียกกันว่างิ้ว เรื่อง "โบตั๋นในสวนร้าง" ที่ถูกคัดลอกด้วยลายมือของเขาเองอย่างบรรจง ข้างกันนั้นมีขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาๆ วางอยู่หนึ่งเลา มันคือของขวัญชิ้นเดียวที่มารดาแอบมอบให้โดยที่บิดาไม่ล่วงรู้

หยางเหว่ยยกขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก นิ้วเรียวยาวที่ควรจะจับกระบี่บัดนี้กลับพรมลงบนรูขลุ่ยอย่างแผ่วเบา ท่วงทำนองอ่อนหวานและโหยหวนของตัวนางในบทละครค่อยๆ ไหลรินออกมาจากริมฝีปากของเรือนร่างที่ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นทายาทเจ้าสำนักคุ้มภัย เขากำลังลืมเลือนทุกสิ่งรอบกาย ปล่อยให้จิตวิญญาณแหวกว่ายไปในโลกแห่งศิลปะที่เขารัก...

“แค่ก!”

เสียงกระแอมไอดังขึ้นที่หน้าประตู ทำให้ท่วงทำนองสะดุดหยุดลงทันที หยางเหว่ยสะดุ้งสุดตัว รีบซ่อนขลุ่ยไม้ไฝ่ไว้ในแขนเสื้อกว้างอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นของร้อน เหลียนจื้อเซินก้าวเข้ามาในห้อง ร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังแสงจากภายนอกจนห้องดูมืดครึ้มลงไปถนัดตา

“ข้าได้ยินเสียง คล้ายเสียงนก” บิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจกดดัน “คงจะเป็นนกจากสวนกระมัง”

“คง... คงเป็นเช่นนั้นขอรับ ท่านพ่อ” หยางเหว่ยตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา

เหลียนจื้อเซินเดินตรงไปยังโต๊ะหนังสือ กวาดตามองตำราต่างๆ ก่อนจะหยิบกระดาษที่บุตรชายเพิ่งคัดลอกอักษรเสร็จขึ้นมาพิจารณา

“ลายมือเจ้ามีพลังขึ้นมาก แต่ยังติดความอ่อนช้อยเกินไป พลังที่แท้จริงต้องมาจากความแข็งกร้าวด้วย ไม่ใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว” เขาวิจารณ์ ก่อนจะวางกระดาษลง “การฝึกกระบี่เมื่อเช้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านอาจารย์ชมว่าข้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นขอรับ”

“ดี” บิดาพยักหน้า “แต่อย่าได้ลำพองใจ พลังวัตรของเจ้ายังห่างไกลจากคำว่ายอดฝีมือยิ่งนัก เย็นนี้ไปที่ห้องบัญชีกับข้า ข้าจะสอนวิธีการอ่านฎีกาการค้าและเส้นทางการคุ้มภัยเส้นใหม่ เจ้าคือทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลเหลียน ทุกสิ่งในที่นี้จะเป็นของเจ้าในวันข้างหน้า เจ้าต้องแบกรับมันให้ได้”

ทุกถ้อยคำของบิดาราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ค่อยๆ พันธนาการรอบตัวเขาให้แน่นขึ้น หนาขึ้น หยางเหว่ยได้แต่ก้มหน้ารับคำอย่างนอบน้อม

“ขอรับ ท่านพ่อ”

เมื่อร่างสูงใหญ่ของบิดาเดินจากไปแล้ว หยางเหว่ยจึงทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เขารู้สึกราวกับอากาศทั้งหมดในห้องถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น เขามองดูกระบี่ประจำตระกูลที่วางอยู่บนชั้นอย่างเฉยชา ก่อนจะเหลือบมองขลุ่ยในแขนเสื้อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวด

หลังจากเสร็จธุระกับบิดา หยางเว่ยเดินไปมาอย่างเหม่อลอยในสวนของคฤหาสถ์ตระกูลเหลียน เขาตั้งคำถามกับตัวเองในใจส่วนลึกว่า สิ่งที่เขาจะทำกับสิ่งที่บิดาอยากให้ทำนั้น เหตุใดจึงไปด้วยกันไม่ได้เล่า แล้วชีวิตเขาควรจะเป็นอย่างไรต่อไป เดินตามเส้นทางที่บิดาเลือก หรือเดินไปตามเส้น ทางที่ใจตนเองเรียกร้องปรารถนา

มันจะมีวิธีการใดไหมนะ ที่ความปรารถนาของเขา กับความปรารถนาของบิดาจะไปด้วยกันได้ หรือบางทีเขาอาจจะลองเจรจากับบิดาดู เผื่อท่านอาจจะเข้าใจ...

“หยางเหว่ย! ทางนี้!”

เสียงสดใสที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หยางเหว่ยหลุดออกจากภวังค์ เขาหันไปมองยังศาลาริมสระบัว ที่นั่น เหลียนอี้เฉิน เพื่อนเล่นในวัยเด็กกำลังโบกมือให้เขาอยู่ อี้เฉินเป็นบุตรชายของสหายบิดาที่เสียชีวิตไปในหน้าที่คุ้มภัย ตระกูลเหลียนจึงรับเขามาเลี้ยงดูในคฤหาสน์แห่งนี้ แม้อายุจะน้อยกว่าหยางเหว่ยสองปี แต่เขากลับมีร่างกายกำยำแข็งแรงและหลงใหลในวิชายุทธ์เป็นอย่างยิ่ง

“วันนี้ท่านอาจารย์เพิ่งสอนเพลงกระบี่ชุดใหม่ให้ข้า เจ้ารอดูได้เลย อีกไม่นานข้าจะต้องเก่งกว่าเจ้าแน่!” อี้เฉินพูดอย่างกระตือรือร้นพลางทำท่ารำกระบี่ในอากาศ ขณะที่หยางเหว่ยยิ้มบางๆ

“ข้ายอมแพ้เจ้าตั้งนานแล้ว”

“ไม่ได้การ!” อี้เฉินขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นพี่ใหญ่นะ จะมายอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร ท่านพ่อบุญธรรมหวังในตัวเจ้าไว้มาก”

“ข้ารู้” หยางเหว่ยตอบเสียงแผ่ว เขานั่งลงที่ริมศาลา ทอดสายตามองปลาคาร์ปที่แหวกว่ายในสระ “อี้เฉิน...เจ้าเคยดูงิ้วหรือไม่”

“งิ้วรึ?” อี้เฉินทำหน้างง “เคยสิ ท่านแม่ของข้าชอบดูมาก แต่ข้าก็เคยไปดูนะ สนุกดี แต่ข้าชอบดูคนประลองยุทธ์มากกว่า สนุกกว่ากันเยอะ”

หยางเหว่ยถอนหายใจเบาๆ เขาพยายามจะอธิบาย

“มันไม่ใช่แค่การร้องรำ แต่คือบทกวีที่มีชีวิต คือเรื่องราวของความรัก ความพลัดพราก ความภักดี... โดยเฉพาะตัวนาง... ทุกท่วงท่าที่ร่ายรำ ทุกสายตาที่ทอดมอง มันช่าง...” เขาหยุดพูดไปเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทมองเขาด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจนัก แต่อี้เฉินก็ตบไหล่เขาเบาๆ

“ข้าว่าเจ้าคงจะอ่านหนังสือมากเกินไปแล้ว เรื่องพวกนั้นก็เป็นแค่การแสดงที่ไว้ดูยามสงบ พวกเราเป็นบุรุษ ต้องฝึกยุทธ์เพื่อปกป้องให้เกิดความสงบสิถึงจะถูก”

คำพูดของอี้เฉินเต็มไปด้วยความปรารถนาดีตามแบบฉบับของเด็กชายทั่วไป แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในใจของหยางเหว่ย เขารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดก็ยังไม่สามารถเข้าใจโลกของเขาได้เลย

ในช่วงเวลาที่อึดอัดเช่นนี้ มีเพียงอ้อมกอดของมารดาเท่านั้นที่เป็นที่พักพิงใจให้เขาได้ ท่านหญิงเหลียนเป็นสตรีที่อ่อนโยนและมีจิตใจงดงาม นางเป็นคนเดียวในคฤหาสน์ที่รับรู้ถึงความหลงใหลในศิลปะของบุตรชาย

“ลูกแม่ดูซูบไปนะ” นางเอ่ยขึ้นขณะลูบศีรษะของหยางเหว่ยเบาๆ ในห้องพักส่วนตัวของนางที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ “ท่านพ่อของเจ้าคงจะเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป”

“ข้าสบายดีขอรับ ท่านแม่”

“แม่ได้ยินเสียงขลุ่ยที่เจ้าเป่าเมื่อคืน... ไพเราะมากเหลือเกิน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “มันทำให้แม่นึกถึงตอนที่พ่อของเจ้ายังหนุ่มๆ เขาก็เคยเป่าขลุ่ยเกี้ยวแม่เช่นกัน”

“ท่านพ่อ...เคยเป่าขลุ่ยหรือขอรับ” หยางเหว่ยถามพลางเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความประหลาดใจ

“ใช่สิ แต่พอต้องรับช่วงต่อจากท่านปู่ ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เขาต้องทิ้งความอ่อนโยนทั้งหมดเพื่อสร้างความน่าเกรงขาม บางครั้งแม่ก็คิดว่าเขาสวมหน้ากากที่แข็งกระด้างไว้นานเกินไป จนลืมใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองไปแล้ว” ท่านหญิงยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่นางจะกระชับมือนุ่มของบุตรชายไว้ “หยางเหว่ย...ไม่ว่าเจ้าอยากจะเป็นอะไร แม่จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”

คำพูดของมารดาเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ แต่หยางเหว่ยรู้ดีว่าในบ้านหลังนี้ อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่บิดาเพียงผู้เดียว ความปรารถนาดีของมารดาเป็นเพียงสายลมอ่อนๆ ที่ไม่อาจต้านทานพายุที่กำลังจะพัดเข้ามาได้เลย

และพายุลูกนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่เขาคาดคิด...

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   ตอนพิเศษ: หงส์ผงาดอีกครั้ง (2/2)

    ณ คฤหาสน์ตระกูลเหลียนที่สงบสุข...จดหมายจากเหมยหลินถูกส่งมาถึงมือของไป๋อวี้ฮวา อี้เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่เมื่ออวี้ฮวาคลี่จดหมายออกอ่าน สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความรู้สึกทึ่งและตื้นตันใจเล็กๆนางยื่นจดหมายให้อี้เฉินอ่าน เนื้อความในนั้นเขียนไว้ว่า:“ถึง ไป๋อวี้ฮวา สหายและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้าชัยชนะของท่านเมื่อห้าปีก่อน ได้ทำลายความหยิ่งทนงของข้าจนหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้ปลุกจิตวิญญาณศิลปินที่หลับใหลของข้าให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านได้แสดงให้ข้าเห็นถึงเส้นทางที่ข้าได้หลงลืมไปบัดนี้ ข้าได้ผ่านการเดินทางและขัดเกลาปีกของตนเองแล้ว ข้าจึงอยากจะขอส่งสารนี้มาเพื่อท้าทายท่านอีกครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่การประชันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งอีกต่อไป แต่คือการท้าทายเพื่อให้พวกเราทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสรรค์การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แผ่นดินนี้เคยมีมาข้าขอเชิญท่านและคณะงิ้วของท่าน เดินทางมายังเมืองหลวง เพื่อเปิดการแสดงเคียงข้างกันบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่าศิลปะที่แท้จริงนั้นงดงามเพียงใดด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเหมย

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   ตอนพิเศษ: หงส์ผงาดอีกครั้ง (1/2)

    สองปีหลังจากการประชันงิ้ว...กาลเวลาได้พัดพาเรื่องราวการประชันอันเลื่องชื่อระหว่างหงส์ฟ้าแห่งเมืองหลวงและนางสวรรค์แห่งแดนใต้ให้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งที่ถูกเล่าขานในโรงน้ำชาและคณะละครทั่วหล้า สำหรับชาวเมืองทางใต้ มันคือเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว มันคือรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบของคณะงิ้วหลวง และคือความอัปยศที่นางพญาหงส์อย่างเหมยหลินต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงของเหมยหลินในครั้งนั้น ช่างแตกต่างจากการเดินทางมาเยือนแดนใต้อย่างสิ้นเชิง ขบวนรถม้าที่เคยยิ่งใหญ่บัดนี้กลับดูหม่นหมองไร้สง่าราศี บรรยากาศในคณะเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด ข่าวความพ่ายแพ้ ได้เดินทางล่วงหน้ามาถึงก่อนตัวนางเสียอีก สายตาของชาวเมืองหลวงที่เคยเปี่ยมด้วยความชื่นชมบูชา บัดนี้กลับเจือปนด้วยความผิดหวังและคำถามเหมยหลินเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนพักของนาง ปฏิเสธการเข้าพบจากทุกคน นางพยายามจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม พยายามจะกลับขึ้นไปบนเวทีที่เคยเป็นดั่งบัลลังก์ของนาง แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนางยังคงร่ายรำได้อย่างสมบูรณ์แบบ... แต่นางกลับรู้สึกถึงความว

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 15: บุปผาหยกหวนคืนบ้าน

    คำประกาศิตที่เกรี้ยวกราดของเหลียนจื้อเซินดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบงัน มันคือคำตัดสินที่เฉียบขาดและเย็นชาที่สุด คือการผลักไสสายเลือดของตนเองให้กลายเป็นคนอื่นอีกครั้ง ไป๋อวี้ฮวายังคงคุกเข่านิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายชาวาบไปทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง น้ำตาทุกหยดเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทว่าในครั้งนี้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง“หากท่านจะไล่เขาไป... ก็โปรดไล่ข้าไปด้วย”เสียงของเหลียนอี้เฉินดังขึ้นอย่างหนักแน่นและไม่เกรงกลัว เขาก้าวมายืนเคียงข้างร่างของอวี้ฮวา เผชิญหน้ากับบิดาบุญธรรมของตนเองอย่างไม่ยอมหลบสายตา“หากเขาไม่ใช่บุตรชาย หรือสะใภ้ของท่าน ข้าก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านอีกต่อไป หากที่นี่ไม่มีที่ให้เขายืน... ก็ย่อมไม่มีที่สำหรับข้าเช่นกัน พวกเราจะจากไปพร้อมกันเดี๋ยวนี้”คำพูดนั้นราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมากลางใจของเหลียนจื้อเซิน การสูญเสียลูกชายคนเดียวไปเมื่อแปดปีก่อนคือความเจ็บปวดที่เขาซ่อนไว้ใต้หน้ากากแห่งความแข็งกร้าวมาโดยตลอด การต้องมาสูญเสียลูกชายบุญธรรมที่เปรียบเสมือนแขน

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 14: ความลับที่ถูกเปิดเผย (2/2)

    พวกเขาเลือกรุ่งเช้าของวันต่อมา... ด้วยมันเป็นวันที่เหลียนจื้อเซินดูสดใสและมีกำลังวังชามากที่สุดนับตั้งแต่ฟื้นไข้อี้เฉินและอวี้ฮวาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวในห้องนอนของบิดา โดยมีท่านหญิงเหลียนนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยเช่นกัน บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยความสุขจากการฟื้นตัวของประมุขแห่งบ้านอี้เฉินเป็นผู้เริ่มต้น เขารู้ดีว่าในฐานะบุตรชายและสามี เขาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดเขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างเตียงของบิดา ทำให้ทุกคนในห้องตกใจไปตามๆ กัน“อี้เฉิน! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”“ท่านพ่อ ท่านแม่... ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรต่อไป ข้าขอให้ท่านทั้งสองโปรดจงรู้ไว้ว่า... ข้ารักอวี้ฮวา... รักอย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าความจริงที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นเช่นไร ความรักของข้าที่มีต่อนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราว... ตั้งแต่คืนส่งตัวที่เขาได้ล่วงรู้ความจริง... ความโกรธเกรี้ยว ความสับสน และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะยอมรับและปกป้องคนที่เขารักต่อไป เขาสารภาพว่าเขาร่วมมือกับนางในการหลอกลวงเรื่องการตั้งครรภ

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 14: ความลับที่ถูกเปิดเผย (1/2)

    ในห้องหนังสือที่เงียบสงบ มีเพียงอี้เฉินและอวี้ฮวาที่นั่งเผชิญหน้ากับหมอเทวดากู้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็นท่านหมอกู้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวหา แต่กลับเริ่มต้นด้วยการชื่นชม“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าได้เห็นความทุ่มเทของฮูหยินน้อยแล้ว นับเป็นลูกสะใภ้ที่กตัญญูและมีจิตใจเข้มแข็งอย่างหาได้ยากยิ่ง”“ท่านหมอชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบเสียงเบา ส่วนท่านหมอกู้ก็จิบชา ก่อนจะวางถ้วยลงและมองตรงมาที่นาง“แต่สิ่งที่ข้าชื่นชมนั้น...กลับยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ข้ามากขึ้นไปอีก”เขาประสานมือไว้บนตัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวี้ฮวา ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นางและอี้เฉินรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน“ชีพจรของฮูหยินน้อย... มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ... มันไม่เหมือนชีพจรสตรีเลย”ความเงียบที่โรยตัวลงในห้องหนังสือนั้นหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าหินผาพันชั่ง ไป๋อวี้ฮวาและเหลียนอี้เฉินนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปสลัก คำพูดของท่านหมอกู้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาราวกับเสียงระฆังที่ตีซ้ำแล้วซ้ำ

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 13: หมอเทวดา (2/2)

    ในที่สุด เช้าวันที่สาม ความหวังก็มาถึงชายชราร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีเทาธรรมดาๆ พร้อมกับกล่องยาไม้เก่าๆ ใบหนึ่ง ถูกนำทางเข้ามาในคฤหาสน์ เขาไม่มีท่าทีโอ่อ่าเหมือนหมอหลวง ไม่มีรัศมีน่าเกรงขามเหมือนจอมยุทธ์ แต่ดวงตาของเขานั้นกลับสุขุมและเปี่ยมด้วยปัญญาจนทำให้ทุกคนที่อยู่รายล้อมต้องรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด“คารวะท่านหมอกู้” อี้เฉินรีบเข้ามาประสานมือคารวะหมอเทวดากู้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ“อย่าได้มากพิธีเลย นำข้าไปดูคนไข้เถิด”เมื่อเข้ามาในห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ท่านหมอกู้ก็ไม่ได้สนใจผู้ใดอีก เขาวางกล่องยาลงและเดินตรงไปที่เตียงของผู้ป่วยทันที เขามองดูสีหน้า ตรวจดูเปลือกตาและลิ้นของเหลียนจื้อเซิน ก่อนจะทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด... การตรวจจับชีพจรนิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่กลับมั่นคงของเขาวางลงบนข้อมือของเหลียนจื้อเซินอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลง ใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อรับฟัง "เสียง" ของชีวิตที่กำลังจะดับสูญ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนทุกคนแทบจะหยุดหายใจ“ชีพจรแผ่วเบาและแตกซ่านราวกับเส้นด้ายที่กำลังจะขาด” ท่านหมอเอ่ย

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status