Home / รักโบราณ / บุปผาหยกหวนคืนบ้าน / บทที่ 2: กรงทองที่จากมา (1/2)

Share

บทที่ 2: กรงทองที่จากมา (1/2)

last update Last Updated: 2025-08-29 08:47:31

แปดปีก่อน…

คฤหาสน์ตระกูลเหลียนตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำสายหลักของเมืองทางใต้ กำแพงสูงตระหง่านสีเทาเข้มโอบล้อมอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไว้ภายใน ประหนึ่งป้อมปราการที่มิอาจให้สิ่งใดเล็ดลอดผ่าน ทั้งลมหายใจของโลกภายนอกและความปรารถนาของคนภายใน สำหรับโลกภายนอก ที่นี่คือศูนย์กลางอำนาจและเกียรติยศ คือที่ตั้งของสำนักคุ้มภัยเหลียนซานอันเลื่องชื่อ แต่สำหรับเหลียนหยางเหว่ยในวัยสิบสี่ปี ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากกรงทองอันวิจิตร ที่ทุกตารางนิ้วถูกฉาบไว้ด้วยความคาดหวังของบิดา

เสียงตะโกนอันทรงพลังและเสียงกระทบกันของศาสตราวุธดังแว่วมาจากลานฝึกกว้างหน้าเรือนใหญ่ นั่นคือเสียงของเหลียนจื้อเซิน บิดาของเขา กำลังควบคุมการฝึกยุทธ์ของเหล่าครูฝึกและผู้คุ้มภัยในสังกัดด้วยตนเอง ทุกเช้าจะมีเสียงเหล่านั้นคือเสียงปลุกแรกของวัน เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงเส้นทางที่บิดาขีดเขียนไว้ให้เขาเดินตาม

แต่ในเรือนปีกตะวันออกอันเงียบสงบของหยางเหว่ย เขากลับหลบเร้นอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง ห้องหนังสือของเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นหมึกและกระดาษ บนโต๊ะไม้ชั้นดีมีตำราพิชัยสงครามและบัญชีการค้าของสำนักวางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบตามที่บิดาต้องการให้เป็น ทว่าในชั้นหนังสือลับหลังม่านปักลายมังกรซ่อนเร้นสมบัติที่แท้จริงของเขาไว้ บทละครอุปรากรจีน หรือที่เรียกกันว่างิ้ว เรื่อง "โบตั๋นในสวนร้าง" ที่ถูกคัดลอกด้วยลายมือของเขาเองอย่างบรรจง ข้างกันนั้นมีขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาๆ วางอยู่หนึ่งเลา มันคือของขวัญชิ้นเดียวที่มารดาแอบมอบให้โดยที่บิดาไม่ล่วงรู้

หยางเหว่ยยกขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก นิ้วเรียวยาวที่ควรจะจับกระบี่บัดนี้กลับพรมลงบนรูขลุ่ยอย่างแผ่วเบา ท่วงทำนองอ่อนหวานและโหยหวนของตัวนางในบทละครค่อยๆ ไหลรินออกมาจากริมฝีปากของเรือนร่างที่ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นทายาทเจ้าสำนักคุ้มภัย เขากำลังลืมเลือนทุกสิ่งรอบกาย ปล่อยให้จิตวิญญาณแหวกว่ายไปในโลกแห่งศิลปะที่เขารัก...

“แค่ก!”

เสียงกระแอมไอดังขึ้นที่หน้าประตู ทำให้ท่วงทำนองสะดุดหยุดลงทันที หยางเหว่ยสะดุ้งสุดตัว รีบซ่อนขลุ่ยไม้ไฝ่ไว้ในแขนเสื้อกว้างอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นของร้อน เหลียนจื้อเซินก้าวเข้ามาในห้อง ร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังแสงจากภายนอกจนห้องดูมืดครึ้มลงไปถนัดตา

“ข้าได้ยินเสียง คล้ายเสียงนก” บิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจกดดัน “คงจะเป็นนกจากสวนกระมัง”

“คง... คงเป็นเช่นนั้นขอรับ ท่านพ่อ” หยางเหว่ยตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา

เหลียนจื้อเซินเดินตรงไปยังโต๊ะหนังสือ กวาดตามองตำราต่างๆ ก่อนจะหยิบกระดาษที่บุตรชายเพิ่งคัดลอกอักษรเสร็จขึ้นมาพิจารณา

“ลายมือเจ้ามีพลังขึ้นมาก แต่ยังติดความอ่อนช้อยเกินไป พลังที่แท้จริงต้องมาจากความแข็งกร้าวด้วย ไม่ใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว” เขาวิจารณ์ ก่อนจะวางกระดาษลง “การฝึกกระบี่เมื่อเช้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านอาจารย์ชมว่าข้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นขอรับ”

“ดี” บิดาพยักหน้า “แต่อย่าได้ลำพองใจ พลังวัตรของเจ้ายังห่างไกลจากคำว่ายอดฝีมือยิ่งนัก เย็นนี้ไปที่ห้องบัญชีกับข้า ข้าจะสอนวิธีการอ่านฎีกาการค้าและเส้นทางการคุ้มภัยเส้นใหม่ เจ้าคือทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลเหลียน ทุกสิ่งในที่นี้จะเป็นของเจ้าในวันข้างหน้า เจ้าต้องแบกรับมันให้ได้”

ทุกถ้อยคำของบิดาราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ค่อยๆ พันธนาการรอบตัวเขาให้แน่นขึ้น หนาขึ้น หยางเหว่ยได้แต่ก้มหน้ารับคำอย่างนอบน้อม

“ขอรับ ท่านพ่อ”

เมื่อร่างสูงใหญ่ของบิดาเดินจากไปแล้ว หยางเหว่ยจึงทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เขารู้สึกราวกับอากาศทั้งหมดในห้องถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น เขามองดูกระบี่ประจำตระกูลที่วางอยู่บนชั้นอย่างเฉยชา ก่อนจะเหลือบมองขลุ่ยในแขนเสื้อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวด

หลังจากเสร็จธุระกับบิดา หยางเว่ยเดินไปมาอย่างเหม่อลอยในสวนของคฤหาสถ์ตระกูลเหลียน เขาตั้งคำถามกับตัวเองในใจส่วนลึกว่า สิ่งที่เขาจะทำกับสิ่งที่บิดาอยากให้ทำนั้น เหตุใดจึงไปด้วยกันไม่ได้เล่า แล้วชีวิตเขาควรจะเป็นอย่างไรต่อไป เดินตามเส้นทางที่บิดาเลือก หรือเดินไปตามเส้น ทางที่ใจตนเองเรียกร้องปรารถนา

มันจะมีวิธีการใดไหมนะ ที่ความปรารถนาของเขา กับความปรารถนาของบิดาจะไปด้วยกันได้ หรือบางทีเขาอาจจะลองเจรจากับบิดาดู เผื่อท่านอาจจะเข้าใจ...

“หยางเหว่ย! ทางนี้!”

เสียงสดใสที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หยางเหว่ยหลุดออกจากภวังค์ เขาหันไปมองยังศาลาริมสระบัว ที่นั่น เหลียนอี้เฉิน เพื่อนเล่นในวัยเด็กกำลังโบกมือให้เขาอยู่ อี้เฉินเป็นบุตรชายของสหายบิดาที่เสียชีวิตไปในหน้าที่คุ้มภัย ตระกูลเหลียนจึงรับเขามาเลี้ยงดูในคฤหาสน์แห่งนี้ แม้อายุจะน้อยกว่าหยางเหว่ยสองปี แต่เขากลับมีร่างกายกำยำแข็งแรงและหลงใหลในวิชายุทธ์เป็นอย่างยิ่ง

“วันนี้ท่านอาจารย์เพิ่งสอนเพลงกระบี่ชุดใหม่ให้ข้า เจ้ารอดูได้เลย อีกไม่นานข้าจะต้องเก่งกว่าเจ้าแน่!” อี้เฉินพูดอย่างกระตือรือร้นพลางทำท่ารำกระบี่ในอากาศ ขณะที่หยางเหว่ยยิ้มบางๆ

“ข้ายอมแพ้เจ้าตั้งนานแล้ว”

“ไม่ได้การ!” อี้เฉินขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นพี่ใหญ่นะ จะมายอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร ท่านพ่อบุญธรรมหวังในตัวเจ้าไว้มาก”

“ข้ารู้” หยางเหว่ยตอบเสียงแผ่ว เขานั่งลงที่ริมศาลา ทอดสายตามองปลาคาร์ปที่แหวกว่ายในสระ “อี้เฉิน...เจ้าเคยดูงิ้วหรือไม่”

“งิ้วรึ?” อี้เฉินทำหน้างง “เคยสิ ท่านแม่ของข้าชอบดูมาก แต่ข้าก็เคยไปดูนะ สนุกดี แต่ข้าชอบดูคนประลองยุทธ์มากกว่า สนุกกว่ากันเยอะ”

หยางเหว่ยถอนหายใจเบาๆ เขาพยายามจะอธิบาย

“มันไม่ใช่แค่การร้องรำ แต่คือบทกวีที่มีชีวิต คือเรื่องราวของความรัก ความพลัดพราก ความภักดี... โดยเฉพาะตัวนาง... ทุกท่วงท่าที่ร่ายรำ ทุกสายตาที่ทอดมอง มันช่าง...” เขาหยุดพูดไปเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทมองเขาด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจนัก แต่อี้เฉินก็ตบไหล่เขาเบาๆ

“ข้าว่าเจ้าคงจะอ่านหนังสือมากเกินไปแล้ว เรื่องพวกนั้นก็เป็นแค่การแสดงที่ไว้ดูยามสงบ พวกเราเป็นบุรุษ ต้องฝึกยุทธ์เพื่อปกป้องให้เกิดความสงบสิถึงจะถูก”

คำพูดของอี้เฉินเต็มไปด้วยความปรารถนาดีตามแบบฉบับของเด็กชายทั่วไป แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในใจของหยางเหว่ย เขารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดก็ยังไม่สามารถเข้าใจโลกของเขาได้เลย

ในช่วงเวลาที่อึดอัดเช่นนี้ มีเพียงอ้อมกอดของมารดาเท่านั้นที่เป็นที่พักพิงใจให้เขาได้ ท่านหญิงเหลียนเป็นสตรีที่อ่อนโยนและมีจิตใจงดงาม นางเป็นคนเดียวในคฤหาสน์ที่รับรู้ถึงความหลงใหลในศิลปะของบุตรชาย

“ลูกแม่ดูซูบไปนะ” นางเอ่ยขึ้นขณะลูบศีรษะของหยางเหว่ยเบาๆ ในห้องพักส่วนตัวของนางที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ “ท่านพ่อของเจ้าคงจะเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป”

“ข้าสบายดีขอรับ ท่านแม่”

“แม่ได้ยินเสียงขลุ่ยที่เจ้าเป่าเมื่อคืน... ไพเราะมากเหลือเกิน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “มันทำให้แม่นึกถึงตอนที่พ่อของเจ้ายังหนุ่มๆ เขาก็เคยเป่าขลุ่ยเกี้ยวแม่เช่นกัน”

“ท่านพ่อ...เคยเป่าขลุ่ยหรือขอรับ” หยางเหว่ยถามพลางเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความประหลาดใจ

“ใช่สิ แต่พอต้องรับช่วงต่อจากท่านปู่ ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เขาต้องทิ้งความอ่อนโยนทั้งหมดเพื่อสร้างความน่าเกรงขาม บางครั้งแม่ก็คิดว่าเขาสวมหน้ากากที่แข็งกระด้างไว้นานเกินไป จนลืมใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองไปแล้ว” ท่านหญิงยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่นางจะกระชับมือนุ่มของบุตรชายไว้ “หยางเหว่ย...ไม่ว่าเจ้าอยากจะเป็นอะไร แม่จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”

คำพูดของมารดาเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ แต่หยางเหว่ยรู้ดีว่าในบ้านหลังนี้ อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่บิดาเพียงผู้เดียว ความปรารถนาดีของมารดาเป็นเพียงสายลมอ่อนๆ ที่ไม่อาจต้านทานพายุที่กำลังจะพัดเข้ามาได้เลย

และพายุลูกนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่เขาคาดคิด...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 5: วิวาห์ในกรงทอง (1/2)

    สิบวันก่อนพิธีวิวาห์ ไป๋อวี้ฮวาได้ย้ายเข้ามาพำนักในเรือนรับรองปีกตะวันออกของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนตามธรรมเนียม เรือนจันทราสีม่วงแห่งนี้ คือเรือนที่งดงามและเงียบสงบที่สุดในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ มันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับนางโดยเฉพาะ ตามคำสั่งของท่านหญิงเหลียนที่ต้องการให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้ปรับตัวและเตรียมตัวอย่างสบายที่สุดทว่าสำหรับอวี้ฮวาแล้ว ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นกระเบื้องหยกขัดมัน คือการย้อนกลับสู่กรงทองที่นางเคยจากมา มันคือเรือนเดียวกับที่ ‘เหลียนหยางเหว่ย’ เคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อแปดปีก่อน แม้จะถูกตกแต่งใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่กลิ่นอายของต้นกุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) ที่โชยมาจากสวนด้านนอกยังคงเป็นกลิ่นเดิมไม่เปลี่ยน มันคือกลิ่นของอดีต กลิ่นของความทรงจำที่นางพยายามหลีกหนีมาตลอดชีวิต“อาจารย์พี่หญิงเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ ท่านหญิงเหลียนทรงเมตตาพวกเรามากจริงๆ” อาเจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็นประกายขณะลูบไล้ผ้าปูเต

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 4 : บุปผาต้องใจ (3/3)

    การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง อี้เฉินได้ขออนุญาตท่านลุงไป๋อย่างเป็นทางการ เพื่อจะพาอวี้ฮวาไปเดินเล่นที่ตลาดโคมไฟริมแม่น้ำซึ่งเป็นงานเทศกาลประจำปีของเมือง ไป๋จิ้งหยวนปฏิเสธไม่ได้เพราะนั่นจะดูเป็นการไร้มารยาทอย่างยิ่ง เขาจึงได้แต่ส่งอาเจินให้ติดตามไปด้วยในฐานะพี่เลี้ยงตลาดโคมไฟยามค่ำคืนนั้นงดงามราวกับความฝัน โคมไฟกระดาษหลากสีสันส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของผู้คนดังจอแจ แต่สำหรับอวี้ฮวาแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในฉากละครฉากหนึ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเขียนบท“ที่นี่งดงามจริงๆ” อี้เฉินเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกัน โดยมีอาเจินเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างสำรวม“เจ้าค่ะ... งดงามมาก” อวี้ฮวาตอบรับ นางดึงผ้าคลุมหน้าให้ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อปิดบังใบหน้าจากสายตาของผู้คน“ข้ารู้ว่าท่านอาจจะยังไม่ค

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 4 : บุปผาต้องใจ (2/3)

    การเกี้ยวพาราสีของเหลียนอี้เฉินเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในวันต่อๆ มา เขาไม่ใช่บุรุษประเภทที่จะใช้คำพูดหวานเลี่ยนหรือส่งของกำนัลฟุ่มเฟือยเพื่อเอาใจสตรี แต่ทุกการกระทำของเขานั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจและความให้เกียรติอย่างแท้จริง มันคือการรุกคืบที่นุ่มนวลแต่ละมุนละไม ทว่ากลับรัดรึงหัวใจของอวี้ฮวาให้แน่นขึ้นทุกขณะเขาไม่ได้มามือเปล่าอีกต่อไป แต่ของที่เขานำมาฝากนั้นไม่ใช่เครื่องประดับหรือแพรพรรณราคาแพง แต่เป็นเทียบยาบำรุงเส้นเสียงชั้นเลิศที่สั่งตรงมาจากหมอหลวงในเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นซุปไก่ตุ๋นโสมที่เขาอ้างว่ามารดาเป็นผู้ปรุงด้วยตนเองเพื่อบำรุงร่างกายให้นักแสดงคนโปรดของนางทุกครั้งที่เขายื่นของเหล่านี้ให้ อวี้ฮวาจะรู้สึกราวกับมีเหล็กร้อนๆ นาบลงกลางใจ นางทำได้เพียงกล่าวขอบคุณและรับมันไว้ด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อน ขณะที่ในใจนั้นกรีดร้องด้วยความรู้สึกผิดอี้เฉินมาชมการแสดงทุกคืนไม่เคยขาด ที่นั่งแถวหน้าสุดตำแหน่งเดิมของเขาไม่

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 4 : บุปผาต้องใจ (1/3)

    กลับสู่ปัจจุบัน...ค่ำคืนแห่งการตัดสินใจอันน่าหวาดหวั่นผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและคำถามที่ไร้คำตอบแขวนอยู่ในอากาศ เช้าวันต่อมา แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านผ้าใบเก่าๆ ของกระโจมที่พักชั่วคราวของคณะงิ้วไป๋จิ้งหยวน กลิ่นดินชื้นหลังฝนพรำเมื่อคืนและกลิ่นควันไฟจากครัวกลางลอยปะปนกัน สร้างบรรยากาศที่คุ้นเคยของการใช้ชีวิตร่อนเร่ แต่สำหรับไป๋อวี้ฮวาแล้ว เช้านี้ทุกอย่างกลับดูแปลกตาไปหมดนางนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานเล็ก อาเจินกำลังบรรจงสางผมยาวสลวยของนางอย่างแผ่วเบา แต่สติของอวี้ฮวากลับล่องลอยไปไกล ภาพของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอันโอ่อ่า คำพูดทาบทามที่อ่อนโยนแต่หนักแน่นของท่านเหลียนและภรรยา และเหนือสิ่งอื่นใด... แววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังอันร้อนแรงของเหลียนอี้เฉิน ยังคงฉายซ้ำไปมาในหัวของนางราวกับภาพติดตา“อาจารย์พี่หญิง... ท่านดูซีดเซียวเหลือเกินเจ้าค่ะ” อาเจินเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำลายความเงียบ “เมื่อคืนคงจะเหนื่อยจากการแสดงมากไปใช่หรือไม่ ให้ข้าไปต้มยาบำรุงให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”อวี้ฮวาเหลือบมองภาพสะท้อนของเด็กสาวผู้ภักดีในกระจก ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เป็นไรหรอก อาเจิน แค่...นอนไม่ค่อยหลับเท่านั

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 3: กำเนิดไป๋อวี้ฮวา (2/2)

    เมื่อเห็นความมุ่งมั่นที่แท้จริงในแววตาของเด็กหนุ่ม ยายาก็ตัดสินใจ นางพยุงร่างของหยางเหว่ยให้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของกระท่อม ที่นั่นมีหีบไม้เก่าแก่ใบหนึ่งวางอยู่ นางเปิดมันออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นชุดงิ้วตัวนางที่งดงามที่สุดชุดหนึ่ง แม้จะเก่าเก็บ แต่ก็ยังคงความวิจิตรตระการตา “หากเจ้าจะเดินบนเส้นทางสายนี้... เหลียนหยางเหว่ยจะต้องตายไปจากโลกนี้เสียก่อน” ยายาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “และต่อจากนี้ไป เจ้าจะต้องผ่านการฝึกฝนที่เจ็บปวดราวกับตายทั้งเป็น” และนรกบนดินของหยางเหว่ยก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทุกๆ เช้าก่อนตะวันขึ้น เขาจะต้องตื่นมาฝึกดัดตนเพื่อให้ร่างกายมีความอ่อนช้อย ยายาบังคับให้เขาฉีกขา ยืดเส้น และทำท่าที่ฝืนธรรมชาติของบุรุษจนหยาดน้ำตาไหลอาบใบหน้า ทุกๆ กลางวัน เขาจะต้องฝึกการเดิน การร่ายรำ และการใช้สายตาที่สื่ออารมณ์ ยายาจะเฆี่ยนตีเขาด้วยกิ่งไผ่ทุกครั้งที่ท่วงท่าของเขาแข็งกระด้างเกินไป ทุกๆ เย็น เขาจะต้องฝึกการหายใจและการใช้เสียง เพื่อขับเสียงให้ออกมาสูงและนุ่มนวลราวสตรี มันคือการฝึกฝนที่ทารุณและไม่เคยมีวันหยุดพัก เวลาผ่านไปหนึ่งปี ร่างของหยางเหว่ยในวัยสิบห้าปีเริ่มเปลี

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 3: กำเนิดไป๋อวี้ฮวา (1/2)

    อิสรภาพในจินตนาการนั้นหอมหวานดั่งน้ำผึ้ง แต่ในความเป็นจริง มันกลับขมขื่นดังยาขมและเย็นเฉียบราวกับพายุหิมะเหลียนหยางเหว่ยในวัยสิบสี่ปีค้นพบสัจธรรมข้อนี้ในค่ำคืนที่สามของการหลบหนี ความรู้สึกฮึกเหิมของการได้ทลายกรงทองออกมาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยความหิวโหยที่กัดกินอยู่ในช่องท้องและความเหน็บหนาวที่เสียดแทงเข้ากระดูกทุกข้อ โลกภายนอกที่เคยวาดฝันไว้ว่ากว้างใหญ่และเปี่ยมด้วยโอกาส บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงป่าทึบอันมืดมิดและเส้นทางดินโคลนที่ไร้จุดสิ้นสุดเงินและของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบฉวยติดตัวมา ถูกขโมยไปจนหมดสิ้นโดยกลุ่มคนพเนจรในวันที่สอง เหลือทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ขาดวิ่นและร่างกายที่อ่อนล้าสะบักสะบอม วิชาตัวเบาที่เคยใช้ทะยานข้ามกำแพงสูงใหญ่ บัดนี้กลับไร้ประโยชน์เมื่อพละกำลังถดถอยลงทุกขณะเพราะขาดอาหาร นิ้วมือที่เคยฝันว่าจะใช้เพื่อสร้างสรรค์บทเพลง บัดนี้กลับสั่นเทาและเย็นเฉียบจนแทบไร้ความรู้สึกเขาเดินโซซัดโซเซไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ในหัวมีเพียงความคิดเดียวคือต้องไปให้ไกลที่สุด ไกลจากเงื้อมมือของบิดา ไกลจากชะตากรรมที่น่ารังเกียจนั้นแต่ยิ่งเดิน ร่างกายก็ยิ่งประท้วง สายต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status