อิสรภาพในจินตนาการนั้นหอมหวานดั่งน้ำผึ้ง แต่ในความเป็นจริง มันกลับขมขื่นดังยาขมและเย็นเฉียบราวกับพายุหิมะ
เหลียนหยางเหว่ยในวัยสิบสี่ปีค้นพบสัจธรรมข้อนี้ในค่ำคืนที่สามของการหลบหนี ความรู้สึกฮึกเหิมของการได้ทลายกรงทองออกมาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยความหิวโหยที่กัดกินอยู่ในช่องท้องและความเหน็บหนาวที่เสียดแทงเข้ากระดูกทุกข้อ โลกภายนอกที่เคยวาดฝันไว้ว่ากว้างใหญ่และเปี่ยมด้วยโอกาส บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงป่าทึบอันมืดมิดและเส้นทางดินโคลนที่ไร้จุดสิ้นสุด
เงินและของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบฉวยติดตัวมา ถูกขโมยไปจนหมดสิ้นโดยกลุ่มคนพเนจรในวันที่สอง เหลือทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ขาดวิ่นและร่างกายที่อ่อนล้าสะบักสะบอม วิชาตัวเบาที่เคยใช้ทะยานข้ามกำแพงสูงใหญ่ บัดนี้กลับไร้ประโยชน์เมื่อพละกำลังถดถอยลงทุกขณะเพราะขาดอาหาร นิ้วมือที่เคยฝันว่าจะใช้เพื่อสร้างสรรค์บทเพลง บัดนี้กลับสั่นเทาและเย็นเฉียบจนแทบไร้ความรู้สึก
เขาเดินโซซัดโซเซไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ในหัวมีเพียงความคิดเดียวคือต้องไปให้ไกลที่สุด ไกลจากเงื้อมมือของบิดา ไกลจากชะตากรรมที่น่ารังเกียจนั้น
แต่ยิ่งเดิน ร่างกายก็ยิ่งประท้วง สายตาพร่าเลือนจนมองเห็นภาพป่าไม้รอบกายบิดเบี้ยวไปหมด เสียงหรีดหริ่งเรไรในยามค่ำคืนฟังดูราวกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยในความโง่เขลาของตนเอง
ในที่สุด ร่างของเด็กหนุ่มก็ทรุดฮวบลงกับพื้นดินที่เย็นชื้น สติสัมปชัญญะสุดท้ายของเขารับรู้ได้ถึงเม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมากระทบใบหน้า
มันเย็น... เย็นเหลือเกินราวกับความตายที่คืบคลานเข้ามา เขาหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าอันอ่อนโยนของมารดาและเศษขลุ่ยที่แตกหัก... บางทีการตายไปเสียตรงนี้อาจจะดีกว่าการต้องกลับไปเผชิญหน้ากับชีวิตที่ไร้วิญญาณในกรงทองนั้นก็เป็นได้
.
เวลาผ่านไปนานพอสมควรที่หมดสติไป ก่อนที่ความอบอุ่นจะเป็นสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้
ไม่ใช่ความอบอุ่นจากกองไฟที่ร้อนแรง แต่เป็นความอบอุ่นอ่อนๆ ที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับน้ำแกงร้อนๆ ที่ค่อยๆ ไหลลงสู่ลำคอ ตามมาด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรและข้าวต้ม เมื่อเขาลองขยับเปลือกตาที่หนักอึ้ง ก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ธรรมดาๆ ในกระท่อมหลังเล็กที่สะอาดสะอ้าน แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างกระดาษเข้ามา ทำให้มองเห็นฝุ่นละอองลอยวนอยู่ในอากาศอย่างเชื่องช้า
“ตื่นแล้วรึ เด็กน้อย”
เสียงแหบพร่าแต่เปี่ยมด้วยความเมตตาดังขึ้นจากมุมห้อง หยางเหว่ยหันไปมองอย่างตื่นตระหนก ที่นั่นมีหญิงชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางกำลังใช้ด้ายสีแดงเย็บปะเสื้อผ้าเก่าๆ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยังคงความคมกล้าและเปี่ยมด้วยประกายแห่งปัญญาอย่างน่าประหลาด
“ท่าน... ท่านเป็นใคร” เขาเอ่ยถาม เสียงที่ออกมาแหบแห้งจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง หญิงชรายิ้มโดยไม่ละสายตาจากงานในมือ
“ข้าเป็นเพียงคนแก่ที่อาศัยอยู่ในป่านี้ แต่เจ้าสิเป็นใครกัน มานอนสลบไสลอยู่กลางป่ากลางเขาเช่นนี้ หากข้าไปพบช้ากว่านี้อีกสักชั่วยาม ร่างของเจ้าคงได้กลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าไปแล้ว”
หยางเหว่ยพยายามจะยันกายลุกขึ้น แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง หญิงชราเห็นดังนั้นจึงวางงานในมือลงและเดินมาประคองเขาให้นั่งพิงหัวเตียง นางยื่นถ้วยดินเผาที่บรรจุน้ำอุ่นๆ ให้เขาดื่ม
“ค่อยๆ ดื่ม ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอนัก เป็นไข้ป่าอยู่หลายวันทีเดียว”
เขาดื่มน้ำอย่างกระหายก่อนจะมองไปรอบๆ กระท่อมที่เรียบง่ายแต่เป็นระเบียบ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ข้า... ข้าสลบไปนานเท่าใดหรือขอรับ”
“สามวันเห็นจะได้” นางตอบพลางเช็ดตัวให้เขาด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น “ดูจากกิริยาท่าทางการวางตัวแล้ว เจ้าคงเป็นคุณชายน้อยจากตระกูลใหญ่ที่หนีออกจากบ้านกระมัง”
คำพูดของนางแทงใจดำเขาอย่างจัง หยางเหว่ยเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบคำถามนั้น แต่หญิงชราก็ไม่ได้คาดคั้น นางเพียงดูแลเขาอย่างเงียบๆ ป้อนข้าวต้มสมุนไพรให้เขาวันละสามมื้อ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดให้ และคอยดูอาการไข้ของเขาอย่างอดทน หลายวันผ่านไป ร่างกายของหยางเหว่ยค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้น แต่หัวใจของเขายังคงปิดตาย
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่หญิงชรากำลังตากสมุนไพรอยู่ที่ลานหน้ากระท่อม หยางเหว่ยที่เริ่มเดินเหินได้บ้างแล้วก็เผลอฮัมเพลงท่อนหนึ่งจากบทละครงิ้วออกมาเบาๆ ด้วยความเผลอไผล
ฉับพลันนั้นเอง มือที่กำลังสาละวนอยู่กับการคัดแยกสมุนไพรของหญิงชราก็หยุดชะงักลง นางหันขวับมามองเขา ดวงตาที่เคยสงบ บัดนี้กลับทอประกายวาววับอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้ารู้จักทำนองเพลงนี้ด้วยรึ”
หยางเหว่ยสะดุ้ง เขานึกได้ว่าตนเองเผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่เมื่อเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของหญิงชรา เขาก็ตัดสินใจพูดความจริงเป็นครั้งแรก
“ข้า...ข้าเคยอ่านบทละครขอรับ”
“แค่เคยอ่านรึ” นางเดินตรงเข้ามาหาเขา “ลองร้องเป็นเพลงข้าฟังสิ”
หยางเหว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่คาดคั้นนั้น เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มขับขานท่อนต่อมา แม้เรี่ยวแรงจะยังไม่กลับมาเต็มที่ และเสียงจะยังไม่กังวานใสเท่าที่ควร แต่น้ำเสียงและอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยความโหยหาและความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
เมื่อเขาร้องจบ หญิงชราก็ยืนนิ่งไปนานราวกับถูกสาป ก่อนที่นางจะพยักหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“น้ำเสียงของเจ้า... มีจิตวิญญาณของตัวนางสถิตอยู่ข้างใน” นางเดินกลับเข้าไปในกระท่อมและกลับออกมาพร้อมกับป้ายไม้อันเล็กๆ ที่เก่าคร่ำคร่า บนป้ายนั้นสลักชื่อไว้ว่า เยว่ซินเหอ
“คนในวงการงิ้วเมื่อหลายสิบปีก่อน เรียกข้าว่า ‘ยายา’” นางพูดเรียบๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าคืออดีตนางเอกคณะงิ้วหลวงแห่งเมืองหลวง”
หยางเหว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ชื่อของเยว่ซินเหอนั้นเป็นตำนาน เขาเคยแอบอ่านเจอในบันทึกเก่าๆ นางคือนางเอกงิ้วผู้รับบทตัวนางได้งดงามและกินใจที่สุดในรอบร้อยปี แต่แล้วจู่ๆ นางก็หายตัวไปจากวงการอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครคาดคิดว่านางจะมาปลีกวิเวกอยู่ในป่าลึกเช่นนี้
“ท่าน... ท่านคือท่านยายาจริงๆ หรือขอรับ”
“ข้าเป็นเพียงหญิงแก่คนหนึ่งแล้วในตอนนี้” นางยิ้มบางๆ “แต่สายตาของข้ายังไม่ฝ้าฟางพอที่จะมองเพชรในตมไม่ออก...เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังทีเถิด เด็กน้อย”
ราวกับเขื่อนที่กั้นเก็บความทุกข์ทรมานมานานได้พังทลายลง เหลียนหยางเหว่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดของเขาให้ยายาฟัง ทั้งความฝันที่ถูกบิดาเหยียบย่ำ ทั้งกรงทองที่จองจำเขาไว้ และการหลบหนีที่เกือบต้องแลกมาด้วยชีวิต เขาร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากบ้านมา ยายาไม่ได้พูดปลอบใจ นางเพียงนั่งฟังอย่างสงบ รอจนกระทั่งเขาระบายความอัดอั้นออกมาจนหมดสิ้น
“เจ้าหนีจากบ้านมาเพื่อจะเป็นศิลปิน... อยากแสดงงิ้วอย่างงั้นรึ?” นางถามเพื่อความแน่ใจ “แล้วก็อยากเป็นตัวนางด้วย?”
“ขอรับ! นั่นคือสิ่งเดียวที่ข้าปรารถนา” หยางเหว่ยเช็ดน้ำตาและพยักหน้าอย่างแน่วแน่
ยายามองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะถอนหายใจยาว
“เส้นทางที่เจ้าเลือก เดินได้ยากยิ่งกว่าการเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเสียอีก มันคือการฝืนลิขิตสวรรค์ เจ้าพร้อมที่จะแลกทุกอย่างกับมันแล้วจริงๆ รึ”
“ข้าพร้อมขอรับ!” เขาตอบโดยไม่ลังเล
สิบวันก่อนพิธีวิวาห์ ไป๋อวี้ฮวาได้ย้ายเข้ามาพำนักในเรือนรับรองปีกตะวันออกของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนตามธรรมเนียม เรือนจันทราสีม่วงแห่งนี้ คือเรือนที่งดงามและเงียบสงบที่สุดในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ มันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับนางโดยเฉพาะ ตามคำสั่งของท่านหญิงเหลียนที่ต้องการให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้ปรับตัวและเตรียมตัวอย่างสบายที่สุดทว่าสำหรับอวี้ฮวาแล้ว ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นกระเบื้องหยกขัดมัน คือการย้อนกลับสู่กรงทองที่นางเคยจากมา มันคือเรือนเดียวกับที่ ‘เหลียนหยางเหว่ย’ เคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อแปดปีก่อน แม้จะถูกตกแต่งใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่กลิ่นอายของต้นกุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) ที่โชยมาจากสวนด้านนอกยังคงเป็นกลิ่นเดิมไม่เปลี่ยน มันคือกลิ่นของอดีต กลิ่นของความทรงจำที่นางพยายามหลีกหนีมาตลอดชีวิต“อาจารย์พี่หญิงเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ ท่านหญิงเหลียนทรงเมตตาพวกเรามากจริงๆ” อาเจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็นประกายขณะลูบไล้ผ้าปูเต
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง อี้เฉินได้ขออนุญาตท่านลุงไป๋อย่างเป็นทางการ เพื่อจะพาอวี้ฮวาไปเดินเล่นที่ตลาดโคมไฟริมแม่น้ำซึ่งเป็นงานเทศกาลประจำปีของเมือง ไป๋จิ้งหยวนปฏิเสธไม่ได้เพราะนั่นจะดูเป็นการไร้มารยาทอย่างยิ่ง เขาจึงได้แต่ส่งอาเจินให้ติดตามไปด้วยในฐานะพี่เลี้ยงตลาดโคมไฟยามค่ำคืนนั้นงดงามราวกับความฝัน โคมไฟกระดาษหลากสีสันส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของผู้คนดังจอแจ แต่สำหรับอวี้ฮวาแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในฉากละครฉากหนึ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเขียนบท“ที่นี่งดงามจริงๆ” อี้เฉินเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกัน โดยมีอาเจินเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างสำรวม“เจ้าค่ะ... งดงามมาก” อวี้ฮวาตอบรับ นางดึงผ้าคลุมหน้าให้ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อปิดบังใบหน้าจากสายตาของผู้คน“ข้ารู้ว่าท่านอาจจะยังไม่ค
การเกี้ยวพาราสีของเหลียนอี้เฉินเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในวันต่อๆ มา เขาไม่ใช่บุรุษประเภทที่จะใช้คำพูดหวานเลี่ยนหรือส่งของกำนัลฟุ่มเฟือยเพื่อเอาใจสตรี แต่ทุกการกระทำของเขานั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจและความให้เกียรติอย่างแท้จริง มันคือการรุกคืบที่นุ่มนวลแต่ละมุนละไม ทว่ากลับรัดรึงหัวใจของอวี้ฮวาให้แน่นขึ้นทุกขณะเขาไม่ได้มามือเปล่าอีกต่อไป แต่ของที่เขานำมาฝากนั้นไม่ใช่เครื่องประดับหรือแพรพรรณราคาแพง แต่เป็นเทียบยาบำรุงเส้นเสียงชั้นเลิศที่สั่งตรงมาจากหมอหลวงในเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นซุปไก่ตุ๋นโสมที่เขาอ้างว่ามารดาเป็นผู้ปรุงด้วยตนเองเพื่อบำรุงร่างกายให้นักแสดงคนโปรดของนางทุกครั้งที่เขายื่นของเหล่านี้ให้ อวี้ฮวาจะรู้สึกราวกับมีเหล็กร้อนๆ นาบลงกลางใจ นางทำได้เพียงกล่าวขอบคุณและรับมันไว้ด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อน ขณะที่ในใจนั้นกรีดร้องด้วยความรู้สึกผิดอี้เฉินมาชมการแสดงทุกคืนไม่เคยขาด ที่นั่งแถวหน้าสุดตำแหน่งเดิมของเขาไม่
กลับสู่ปัจจุบัน...ค่ำคืนแห่งการตัดสินใจอันน่าหวาดหวั่นผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและคำถามที่ไร้คำตอบแขวนอยู่ในอากาศ เช้าวันต่อมา แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านผ้าใบเก่าๆ ของกระโจมที่พักชั่วคราวของคณะงิ้วไป๋จิ้งหยวน กลิ่นดินชื้นหลังฝนพรำเมื่อคืนและกลิ่นควันไฟจากครัวกลางลอยปะปนกัน สร้างบรรยากาศที่คุ้นเคยของการใช้ชีวิตร่อนเร่ แต่สำหรับไป๋อวี้ฮวาแล้ว เช้านี้ทุกอย่างกลับดูแปลกตาไปหมดนางนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานเล็ก อาเจินกำลังบรรจงสางผมยาวสลวยของนางอย่างแผ่วเบา แต่สติของอวี้ฮวากลับล่องลอยไปไกล ภาพของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอันโอ่อ่า คำพูดทาบทามที่อ่อนโยนแต่หนักแน่นของท่านเหลียนและภรรยา และเหนือสิ่งอื่นใด... แววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังอันร้อนแรงของเหลียนอี้เฉิน ยังคงฉายซ้ำไปมาในหัวของนางราวกับภาพติดตา“อาจารย์พี่หญิง... ท่านดูซีดเซียวเหลือเกินเจ้าค่ะ” อาเจินเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำลายความเงียบ “เมื่อคืนคงจะเหนื่อยจากการแสดงมากไปใช่หรือไม่ ให้ข้าไปต้มยาบำรุงให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”อวี้ฮวาเหลือบมองภาพสะท้อนของเด็กสาวผู้ภักดีในกระจก ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เป็นไรหรอก อาเจิน แค่...นอนไม่ค่อยหลับเท่านั
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นที่แท้จริงในแววตาของเด็กหนุ่ม ยายาก็ตัดสินใจ นางพยุงร่างของหยางเหว่ยให้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของกระท่อม ที่นั่นมีหีบไม้เก่าแก่ใบหนึ่งวางอยู่ นางเปิดมันออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นชุดงิ้วตัวนางที่งดงามที่สุดชุดหนึ่ง แม้จะเก่าเก็บ แต่ก็ยังคงความวิจิตรตระการตา “หากเจ้าจะเดินบนเส้นทางสายนี้... เหลียนหยางเหว่ยจะต้องตายไปจากโลกนี้เสียก่อน” ยายาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “และต่อจากนี้ไป เจ้าจะต้องผ่านการฝึกฝนที่เจ็บปวดราวกับตายทั้งเป็น” และนรกบนดินของหยางเหว่ยก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทุกๆ เช้าก่อนตะวันขึ้น เขาจะต้องตื่นมาฝึกดัดตนเพื่อให้ร่างกายมีความอ่อนช้อย ยายาบังคับให้เขาฉีกขา ยืดเส้น และทำท่าที่ฝืนธรรมชาติของบุรุษจนหยาดน้ำตาไหลอาบใบหน้า ทุกๆ กลางวัน เขาจะต้องฝึกการเดิน การร่ายรำ และการใช้สายตาที่สื่ออารมณ์ ยายาจะเฆี่ยนตีเขาด้วยกิ่งไผ่ทุกครั้งที่ท่วงท่าของเขาแข็งกระด้างเกินไป ทุกๆ เย็น เขาจะต้องฝึกการหายใจและการใช้เสียง เพื่อขับเสียงให้ออกมาสูงและนุ่มนวลราวสตรี มันคือการฝึกฝนที่ทารุณและไม่เคยมีวันหยุดพัก เวลาผ่านไปหนึ่งปี ร่างของหยางเหว่ยในวัยสิบห้าปีเริ่มเปลี
อิสรภาพในจินตนาการนั้นหอมหวานดั่งน้ำผึ้ง แต่ในความเป็นจริง มันกลับขมขื่นดังยาขมและเย็นเฉียบราวกับพายุหิมะเหลียนหยางเหว่ยในวัยสิบสี่ปีค้นพบสัจธรรมข้อนี้ในค่ำคืนที่สามของการหลบหนี ความรู้สึกฮึกเหิมของการได้ทลายกรงทองออกมาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยความหิวโหยที่กัดกินอยู่ในช่องท้องและความเหน็บหนาวที่เสียดแทงเข้ากระดูกทุกข้อ โลกภายนอกที่เคยวาดฝันไว้ว่ากว้างใหญ่และเปี่ยมด้วยโอกาส บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงป่าทึบอันมืดมิดและเส้นทางดินโคลนที่ไร้จุดสิ้นสุดเงินและของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบฉวยติดตัวมา ถูกขโมยไปจนหมดสิ้นโดยกลุ่มคนพเนจรในวันที่สอง เหลือทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ขาดวิ่นและร่างกายที่อ่อนล้าสะบักสะบอม วิชาตัวเบาที่เคยใช้ทะยานข้ามกำแพงสูงใหญ่ บัดนี้กลับไร้ประโยชน์เมื่อพละกำลังถดถอยลงทุกขณะเพราะขาดอาหาร นิ้วมือที่เคยฝันว่าจะใช้เพื่อสร้างสรรค์บทเพลง บัดนี้กลับสั่นเทาและเย็นเฉียบจนแทบไร้ความรู้สึกเขาเดินโซซัดโซเซไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ในหัวมีเพียงความคิดเดียวคือต้องไปให้ไกลที่สุด ไกลจากเงื้อมมือของบิดา ไกลจากชะตากรรมที่น่ารังเกียจนั้นแต่ยิ่งเดิน ร่างกายก็ยิ่งประท้วง สายต