เสียงประทัดมงคลและเสียงดนตรีจากงานเลี้ยงฉลองด้านนอกเงียบสงัดลงแล้ว คงเหลือไว้เพียงเสียงลมราตรีที่พัดหวีดหวิวอยู่ภายนอก กับเสียงเทียนมังกรคู่หงส์ในห้องหอที่ลุกไหม้แตกเปรี๊ยะเป็นระยะ ห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาที่สุดในคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอบอวลไปด้วยสีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์แห่งมงคลสมรส ผ้าไหมสีแดงสดปักลายมังกรและหงส์คลุมอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ บนโต๊ะกลมกลางห้องมีสุรามงคลและผลไม้ถูกจัดวางไว้อย่างงดงาม กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ และกลิ่นสุราเจือจางอยู่ในอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างคือภาพฝันของสตรีทุกคนในแผ่นดิน...
แต่สำหรับไป๋อวี้ฮวา ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนขอบเตียงแล้ว ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากแท่นประหารอันงดงาม
นางอยู่ในชุดนอนผ้าไหมสีแดงสดที่บางเบาและเปิดเผยเรือนร่างมากกว่าอาภรณ์ชุดใดที่นางเคยสวมใส่มาในชีวิต เครื่องประดับศีรษะที่หนักอึ้งถูกปลดออกไปแล้ว เหลือเพียงเรือนผมยาวสลวยที่ถูกปล่อยสยายลงมากลางหลัง อาเจินได้ช่วยนางเตรียมตัวจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะถอยออกไปพร้อ
ความเงียบที่ตามมาหลังเสียงปิดประตูดังปังนั้น หนักหน่วงและร้าวรานกว่าเสียงใดๆ ที่ไป๋อวี้ฮวาเคยได้ยินมาในชีวิต นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องหอที่แดงฉานราวกับสีเลือด ความเข้มแข็งทั้งหมดที่รวบรวมมาเพื่อเอ่ยคำสารภาพได้มลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงร่างที่ว่างเปล่าและจิตใจที่แตกสลายภาพสุดท้ายของเหลียนอี้เฉิน... ภาพของดวงตาที่เคยเปี่ยมด้วยความรัก บัดนี้เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง สับสน และที่เจ็บปวดที่สุด...คือแววแห่งความรังเกียจขยะแขยง มันคือภาพที่นางรู้ดีว่าจะตามหลอกหลอนนางไปจนวันตายจบสิ้นแล้ว... ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้วจริงๆนางไม่ได้แปลกใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว คือบทลงโทษที่สาสมกับการหลอกลวงอันน่าละอายของนาง ทว่าการเตรียมใจไว้ล่วงหน้ากลับไม่ได้ช่วยลดทอนความเจ็บปวดที่เสียดแทงอยู่ในอกเลยแม้แต่น้อย มันเจ็บ... เจ็บราวกับมีใครเอามีดที่ร้อนแดงมานาบลงกลางหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่านางทรุดกายนั่งลงบนพื้นเย็นเฉียบอย่างหมดแรง น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้ก็ไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นไห้ที่ไร้สุ้มเสียงดังอยู่ในความเงียบงันของห้องหออันโอ่อ่า มันคือเสียงร้องไห้ของเหลียน
วันต่อๆ มากลายเป็นบททดสอบความสามารถในการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของไป๋อวี้ฮวาเช้าวันรุ่งขึ้น นางต้องแสร้งทำเป็นยังมีอาการปวดศีรษะหลงเหลืออยู่เล็กน้อยเพื่ออธิบายเหตุการณ์เมื่อคืน อี้เฉินและท่านหญิงเหลียนต่างเป็นห่วงนางอย่างมาก ท่านหญิงถึงกับต้มยาบำรุงสูตรพิเศษของตระกูลมาให้นางดื่มด้วยตนเอง การโกหกคำเล็กๆ หนึ่งคำ กำลังนำไปสู่การโกหกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุดนางใช้อาการป่วยเป็นข้ออ้างได้เพียงสองวัน ในวันที่สาม นางจึงเปลี่ยนไปใช้ความอ่อนเพลียและความไม่คุ้นเคยกับสถานที่แทน นางอ้างว่าการย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ที่ใหญ่โตทำให้นางนอนไม่หลับและร่างกายปรับตัวไม่ทัน อี้เฉินผู้ไม่เคยสงสัยในตัวนางเลยแม้แต่น้อย ก็เชื่อทุกคำพูดของนางอย่างสนิทใจ เขายังคงนอนแยกบนตั่งยาวเช่นเดิมทุกคืน เพื่อให้นางได้ “พักผ่อนอย่างเต็มที่”ทว่าความอดทนของเขาก็ไม่ได้ไร้ขีดจำกัด แม้เขาจะไม่เคยเอ่ยปากกดดันหรือแสดงความไม่พอใจออกมาเล
เสียงประทัดมงคลและเสียงดนตรีจากงานเลี้ยงฉลองด้านนอกเงียบสงัดลงแล้ว คงเหลือไว้เพียงเสียงลมราตรีที่พัดหวีดหวิวอยู่ภายนอก กับเสียงเทียนมังกรคู่หงส์ในห้องหอที่ลุกไหม้แตกเปรี๊ยะเป็นระยะ ห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาที่สุดในคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอบอวลไปด้วยสีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์แห่งมงคลสมรส ผ้าไหมสีแดงสดปักลายมังกรและหงส์คลุมอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ บนโต๊ะกลมกลางห้องมีสุรามงคลและผลไม้ถูกจัดวางไว้อย่างงดงาม กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ และกลิ่นสุราเจือจางอยู่ในอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างคือภาพฝันของสตรีทุกคนในแผ่นดิน...แต่สำหรับไป๋อวี้ฮวา ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนขอบเตียงแล้ว ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากแท่นประหารอันงดงามนางอยู่ในชุดนอนผ้าไหมสีแดงสดที่บางเบาและเปิดเผยเรือนร่างมากกว่าอาภรณ์ชุดใดที่นางเคยสวมใส่มาในชีวิต เครื่องประดับศีรษะที่หนักอึ้งถูกปลดออกไปแล้ว เหลือเพียงเรือนผมยาวสลวยที่ถูกปล่อยสยายลงมากลางหลัง อาเจินได้ช่วยนางเตรียมตัวจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะถอยออกไปพร้อ
เหตุการณ์เกือบจะทำให้ความลับแตกครั้งที่สอง เกิดขึ้นในช่วงมื้อค่ำของอีกสองวันให้หลังเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่าย มีเพียงท่านเหลียนจื้อเซิน ภรรยา อี้เฉิน และอวี้ฮวา บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น ท่านเหลียนดูจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเอ่ยปากชื่นชมความสามารถของอวี้ฮวาและถามไถ่เรื่องราวในคณะงิ้วด้วยความสนใจ ก่อนที่บทสนทนาจะวกเข้ามาเรื่องครอบครัวอย่างไม่คาดคิด“การแต่งงานคือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ชีวิต” ท่านเหลียนกล่าวขึ้นหลังจากจิบสุราไปหลายจอก ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อย “มันคือความรับผิดชอบ คือเกียรติยศที่บุรุษพึงมีต่อภรรยาและวงศ์ตระกูล”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นขึ้นเล็กน้อย“ข้าเคยมีบุตรชาย... แต่เป็นบุตรชายที่ไม่เอาไหน มันมีพรสวรรค์ในหลายๆ ด้าน แต่กลับไร้ซึ่งกระดูกสันหลัง มันรังเกียจหน้าที่ของตนเอง และยังหนีงานหมั้นหม
สิบวันก่อนพิธีวิวาห์ ไป๋อวี้ฮวาได้ย้ายเข้ามาพำนักในเรือนรับรองปีกตะวันออกของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนตามธรรมเนียม เรือนจันทราสีม่วงแห่งนี้ คือเรือนที่งดงามและเงียบสงบที่สุดในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ มันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับนางโดยเฉพาะ ตามคำสั่งของท่านหญิงเหลียนที่ต้องการให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้ปรับตัวและเตรียมตัวอย่างสบายที่สุดทว่าสำหรับอวี้ฮวาแล้ว ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นกระเบื้องหยกขัดมัน คือการย้อนกลับสู่กรงทองที่นางเคยจากมา มันคือเรือนเดียวกับที่ ‘เหลียนหยางเหว่ย’ เคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อแปดปีก่อน แม้จะถูกตกแต่งใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่กลิ่นอายของต้นกุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) ที่โชยมาจากสวนด้านนอกยังคงเป็นกลิ่นเดิมไม่เปลี่ยน มันคือกลิ่นของอดีต กลิ่นของความทรงจำที่นางพยายามหลีกหนีมาตลอดชีวิต“อาจารย์พี่หญิงเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ ท่านหญิงเหลียนทรงเมตตาพวกเรามากจริงๆ” อาเจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็นประกายขณะลูบไล้ผ้าปูเต
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง อี้เฉินได้ขออนุญาตท่านลุงไป๋อย่างเป็นทางการ เพื่อจะพาอวี้ฮวาไปเดินเล่นที่ตลาดโคมไฟริมแม่น้ำซึ่งเป็นงานเทศกาลประจำปีของเมือง ไป๋จิ้งหยวนปฏิเสธไม่ได้เพราะนั่นจะดูเป็นการไร้มารยาทอย่างยิ่ง เขาจึงได้แต่ส่งอาเจินให้ติดตามไปด้วยในฐานะพี่เลี้ยงตลาดโคมไฟยามค่ำคืนนั้นงดงามราวกับความฝัน โคมไฟกระดาษหลากสีสันส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของผู้คนดังจอแจ แต่สำหรับอวี้ฮวาแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในฉากละครฉากหนึ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเขียนบท“ที่นี่งดงามจริงๆ” อี้เฉินเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกัน โดยมีอาเจินเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างสำรวม“เจ้าค่ะ... งดงามมาก” อวี้ฮวาตอบรับ นางดึงผ้าคลุมหน้าให้ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อปิดบังใบหน้าจากสายตาของผู้คน“ข้ารู้ว่าท่านอาจจะยังไม่ค