เหตุการณ์เกือบจะทำให้ความลับแตกครั้งที่สอง เกิดขึ้นในช่วงมื้อค่ำของอีกสองวันให้หลัง
เป็นมื้ออาหารที่เรียบง่าย มีเพียงท่านเหลียนจื้อเซิน ภรรยา อี้เฉิน และอวี้ฮวา บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น ท่านเหลียนดูจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเอ่ยปากชื่นชมความสามารถของอวี้ฮวาและถามไถ่เรื่องราวในคณะงิ้วด้วยความสนใจ ก่อนที่บทสนทนาจะวกเข้ามาเรื่องครอบครัวอย่างไม่คาดคิด
“การแต่งงานคือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ชีวิต” ท่านเหลียนกล่าวขึ้นหลังจากจิบสุราไปหลายจอก ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อย “มันคือความรับผิดชอบ คือเกียรติยศที่บุรุษพึงมีต่อภรรยาและวงศ์ตระกูล”
เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นขึ้นเล็กน้อย
“ข้าเคยมีบุตรชาย... แต่เป็นบุตรชายที่ไม่เอาไหน มันมีพรสวรรค์ในหลายๆ ด้าน แต่กลับไร้ซึ่งกระดูกสันหลัง มันรังเกียจหน้าที่ของตนเอง และยังหนีงานหมั้นหม
เสียงประทัดมงคลและเสียงดนตรีจากงานเลี้ยงฉลองด้านนอกเงียบสงัดลงแล้ว คงเหลือไว้เพียงเสียงลมราตรีที่พัดหวีดหวิวอยู่ภายนอก กับเสียงเทียนมังกรคู่หงส์ในห้องหอที่ลุกไหม้แตกเปรี๊ยะเป็นระยะ ห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาที่สุดในคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอบอวลไปด้วยสีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์แห่งมงคลสมรส ผ้าไหมสีแดงสดปักลายมังกรและหงส์คลุมอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ บนโต๊ะกลมกลางห้องมีสุรามงคลและผลไม้ถูกจัดวางไว้อย่างงดงาม กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ และกลิ่นสุราเจือจางอยู่ในอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างคือภาพฝันของสตรีทุกคนในแผ่นดิน...แต่สำหรับไป๋อวี้ฮวา ที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนขอบเตียงแล้ว ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากแท่นประหารอันงดงามนางอยู่ในชุดนอนผ้าไหมสีแดงสดที่บางเบาและเปิดเผยเรือนร่างมากกว่าอาภรณ์ชุดใดที่นางเคยสวมใส่มาในชีวิต เครื่องประดับศีรษะที่หนักอึ้งถูกปลดออกไปแล้ว เหลือเพียงเรือนผมยาวสลวยที่ถูกปล่อยสยายลงมากลางหลัง อาเจินได้ช่วยนางเตรียมตัวจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะถอยออกไปพร้อ
เหตุการณ์เกือบจะทำให้ความลับแตกครั้งที่สอง เกิดขึ้นในช่วงมื้อค่ำของอีกสองวันให้หลังเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่าย มีเพียงท่านเหลียนจื้อเซิน ภรรยา อี้เฉิน และอวี้ฮวา บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น ท่านเหลียนดูจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเอ่ยปากชื่นชมความสามารถของอวี้ฮวาและถามไถ่เรื่องราวในคณะงิ้วด้วยความสนใจ ก่อนที่บทสนทนาจะวกเข้ามาเรื่องครอบครัวอย่างไม่คาดคิด“การแต่งงานคือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ชีวิต” ท่านเหลียนกล่าวขึ้นหลังจากจิบสุราไปหลายจอก ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อย “มันคือความรับผิดชอบ คือเกียรติยศที่บุรุษพึงมีต่อภรรยาและวงศ์ตระกูล”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นขึ้นเล็กน้อย“ข้าเคยมีบุตรชาย... แต่เป็นบุตรชายที่ไม่เอาไหน มันมีพรสวรรค์ในหลายๆ ด้าน แต่กลับไร้ซึ่งกระดูกสันหลัง มันรังเกียจหน้าที่ของตนเอง และยังหนีงานหมั้นหม
สิบวันก่อนพิธีวิวาห์ ไป๋อวี้ฮวาได้ย้ายเข้ามาพำนักในเรือนรับรองปีกตะวันออกของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนตามธรรมเนียม เรือนจันทราสีม่วงแห่งนี้ คือเรือนที่งดงามและเงียบสงบที่สุดในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ มันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับนางโดยเฉพาะ ตามคำสั่งของท่านหญิงเหลียนที่ต้องการให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้ปรับตัวและเตรียมตัวอย่างสบายที่สุดทว่าสำหรับอวี้ฮวาแล้ว ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นกระเบื้องหยกขัดมัน คือการย้อนกลับสู่กรงทองที่นางเคยจากมา มันคือเรือนเดียวกับที่ ‘เหลียนหยางเหว่ย’ เคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อแปดปีก่อน แม้จะถูกตกแต่งใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่กลิ่นอายของต้นกุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) ที่โชยมาจากสวนด้านนอกยังคงเป็นกลิ่นเดิมไม่เปลี่ยน มันคือกลิ่นของอดีต กลิ่นของความทรงจำที่นางพยายามหลีกหนีมาตลอดชีวิต“อาจารย์พี่หญิงเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ ท่านหญิงเหลียนทรงเมตตาพวกเรามากจริงๆ” อาเจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็นประกายขณะลูบไล้ผ้าปูเต
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง อี้เฉินได้ขออนุญาตท่านลุงไป๋อย่างเป็นทางการ เพื่อจะพาอวี้ฮวาไปเดินเล่นที่ตลาดโคมไฟริมแม่น้ำซึ่งเป็นงานเทศกาลประจำปีของเมือง ไป๋จิ้งหยวนปฏิเสธไม่ได้เพราะนั่นจะดูเป็นการไร้มารยาทอย่างยิ่ง เขาจึงได้แต่ส่งอาเจินให้ติดตามไปด้วยในฐานะพี่เลี้ยงตลาดโคมไฟยามค่ำคืนนั้นงดงามราวกับความฝัน โคมไฟกระดาษหลากสีสันส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของผู้คนดังจอแจ แต่สำหรับอวี้ฮวาแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในฉากละครฉากหนึ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเขียนบท“ที่นี่งดงามจริงๆ” อี้เฉินเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกัน โดยมีอาเจินเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างสำรวม“เจ้าค่ะ... งดงามมาก” อวี้ฮวาตอบรับ นางดึงผ้าคลุมหน้าให้ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อปิดบังใบหน้าจากสายตาของผู้คน“ข้ารู้ว่าท่านอาจจะยังไม่ค
การเกี้ยวพาราสีของเหลียนอี้เฉินเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในวันต่อๆ มา เขาไม่ใช่บุรุษประเภทที่จะใช้คำพูดหวานเลี่ยนหรือส่งของกำนัลฟุ่มเฟือยเพื่อเอาใจสตรี แต่ทุกการกระทำของเขานั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจและความให้เกียรติอย่างแท้จริง มันคือการรุกคืบที่นุ่มนวลแต่ละมุนละไม ทว่ากลับรัดรึงหัวใจของอวี้ฮวาให้แน่นขึ้นทุกขณะเขาไม่ได้มามือเปล่าอีกต่อไป แต่ของที่เขานำมาฝากนั้นไม่ใช่เครื่องประดับหรือแพรพรรณราคาแพง แต่เป็นเทียบยาบำรุงเส้นเสียงชั้นเลิศที่สั่งตรงมาจากหมอหลวงในเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นซุปไก่ตุ๋นโสมที่เขาอ้างว่ามารดาเป็นผู้ปรุงด้วยตนเองเพื่อบำรุงร่างกายให้นักแสดงคนโปรดของนางทุกครั้งที่เขายื่นของเหล่านี้ให้ อวี้ฮวาจะรู้สึกราวกับมีเหล็กร้อนๆ นาบลงกลางใจ นางทำได้เพียงกล่าวขอบคุณและรับมันไว้ด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อน ขณะที่ในใจนั้นกรีดร้องด้วยความรู้สึกผิดอี้เฉินมาชมการแสดงทุกคืนไม่เคยขาด ที่นั่งแถวหน้าสุดตำแหน่งเดิมของเขาไม่
กลับสู่ปัจจุบัน...ค่ำคืนแห่งการตัดสินใจอันน่าหวาดหวั่นผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและคำถามที่ไร้คำตอบแขวนอยู่ในอากาศ เช้าวันต่อมา แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านผ้าใบเก่าๆ ของกระโจมที่พักชั่วคราวของคณะงิ้วไป๋จิ้งหยวน กลิ่นดินชื้นหลังฝนพรำเมื่อคืนและกลิ่นควันไฟจากครัวกลางลอยปะปนกัน สร้างบรรยากาศที่คุ้นเคยของการใช้ชีวิตร่อนเร่ แต่สำหรับไป๋อวี้ฮวาแล้ว เช้านี้ทุกอย่างกลับดูแปลกตาไปหมดนางนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานเล็ก อาเจินกำลังบรรจงสางผมยาวสลวยของนางอย่างแผ่วเบา แต่สติของอวี้ฮวากลับล่องลอยไปไกล ภาพของคฤหาสน์ตระกูลเหลียนอันโอ่อ่า คำพูดทาบทามที่อ่อนโยนแต่หนักแน่นของท่านเหลียนและภรรยา และเหนือสิ่งอื่นใด... แววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังอันร้อนแรงของเหลียนอี้เฉิน ยังคงฉายซ้ำไปมาในหัวของนางราวกับภาพติดตา“อาจารย์พี่หญิง... ท่านดูซีดเซียวเหลือเกินเจ้าค่ะ” อาเจินเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำลายความเงียบ “เมื่อคืนคงจะเหนื่อยจากการแสดงมากไปใช่หรือไม่ ให้ข้าไปต้มยาบำรุงให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”อวี้ฮวาเหลือบมองภาพสะท้อนของเด็กสาวผู้ภักดีในกระจก ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เป็นไรหรอก อาเจิน แค่...นอนไม่ค่อยหลับเท่านั