บทที่ ๒
ตำราสวรรค์หมื่นบุปผา
หนึ่งชั่วยามต่อมายามอู่
หลังจากที่ฝูหวงตี้เสด็จกลับแล้ว สามเด็กสาวจากตระกูลไช่ก็พากันเดินออกจากลานพิธี
“เซียงฮวา”
เจ้าของนามหันไปมองด้านหลังโดยมีไช่ฮั่วฮวาและไช่ปิงฮวาหันไปมองด้วย
พวกนางถวายความเคารพพร้อมกันเมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายรองฝูเฮยหลง
“ถวายพระพรองค์ชายรองเพคะ”
องค์ชายรองคนหน้านิ่งพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงให้ตามสบาย
“คุณหนูทั้งสอง ขอเวลาเซียงฮวาสักครู่”
“เพคะ/เพคะ”
ไช่ฮั่วฮวาที่ไม่คิดอะไรเดินออกไปทันที สวนทางกับไช่ปิงฮวาที่ก่อนจะจากไปทำสีหน้าตัดพ้อใส่เด็กหนุ่ม ราวกับว่าฝูเฮยหลงทำผิดต่อนางหนักหนา เรียกรอยยิ้มขำขันจากไช่เซียงฮวาได้ดียิ่ง
องค์ชายรองเห็นนางขบขันก็ขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ด้วยมีเวลาจำกัดจึงเข้าเรื่องในทันที
“เซียงฮวา พรุ่งนี้ยามซื่อจะไปหาท่านอาจารย์พร้อมกับข้าหรือไม่”
“หากฮูหยินใหญ่ไม่อนุญาตข้าก็ไปไม่ได้ ถ้านางรู้ว่าข้าจะไปกับเจ้า อย่าได้หวังเลย”
“ให้เสด็จแม่ออกหน้าให้ดีหรือไม่”
“ข้าจะบังอาจรบกวนกุ้ยเฟยได้อย่างไร”
องค์ชายรองฝูเฮยหลงนานทีจะได้สนทนากับไช่เซียงฮวา เนื่องจากพรรคหยิ๋นมี่ที่เขาพำนักศึกษาวิชายุทธ์อยู่นั้น อยู่ในแคว้นเหลียง
เมื่อครั้งนี้มีโอกาสได้กลับมายังแคว้นตนเพื่อทดสอบพลังธาตุก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะชวนเซียงฮวาไปด้วยกันให้ได้
เมื่อสถานการณ์จริงต้องเจอกับ ‘อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ดี’ จึงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
“ข้าจะยอมยกธงขาวไปก่อน แต่กลับไปคราวนี้ ข้าจะโน้มน้าวท่านอาจารย์ให้พาเจ้ามาเป็นศิษย์ในพรรคหยิ๋นมี่ เช่นนี้ดีหรือไม่”
“เจ้าดูมุ่งมั่นเพียงนี้ อย่างไรท่านอาก็มารับข้าไปเที่ยวเล่นทุกสามเดือนอยู่แล้ว ข้าต้องทุ่มเทไปเป็นศิษย์ที่นั่นด้วยหรือ”
“ไม่พอหรอก ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าทุกวัน”
องค์ชายรองเอ่ยเสียงแผ่ว ทว่าไช่เซียงฮวากลับได้ยินทุกคำพูดของเขาชัดเจน แต่แกล้งไม่ได้ยิน
“เจ้ากล่าวว่าอันใดนะ”
“ปะ เปล่า”
องค์ชายรองปฏิเสธด้วยอาการหูแดง หน้าแดง เรียกเสียงหัวเราะจากไช่เซียงฮวาได้อีกครั้ง
“เสียอาการแล้วสหายข้า วันนี้เท่านี้ก่อน ข้าต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกันใหม่”
องค์ชายรองถอนหายใจ ได้แต่กดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่ควรกระทำการเอาแต่ใจตัวเอง ได้คืบจะเอาศอกกับเด็กสาวตรงหน้า
“ข้าจะเดินไปส่งที่รถม้า”
“ตามใจ”
ไช่เซียงฮวาไม่ขัดใจเขาเรื่องนี้ ยอมให้อีกฝ่ายเดินไปส่งที่รถม้า บรรยากาศสบาย ๆ ของทั้งสองสร้างความสงสัยให้กับใครหลายคนยิ่งแล้ว
ถามว่าพวกเขาสนิทกันเพียงใดนะหรือ…
กว่ากุ้ยเฟยผู้เป็นเสด็จแม่!
ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการยามซวี
“ปกติคุณหนูใหญ่ก็ไม่เห็นหัวคุณหนูสามอยู่แล้ว ยามนี้ไม่ยิ่งกดนางให้ต่ำไปกว่าเดิมหรอกหรือเจ้าคะคุณหนู”
ซูเมี่ยวสาวใช้วัย 15 หนาวกล่าวขึ้นมาท่ามกลางความเงียบระหว่างที่กำลังหวีผมให้คุณหนูตัวน้อยของตนอยู่
“คงไม่เล่นกันถึงตาย”
ไช่เซียงฮวากล่าวเสียงงัวเงีย ดวงตาแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่รอมร่อ
ซูเมี่ยวเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงของคุณหนูดังขึ้นอีกรอบ
“แต่ก็ไม่แน่ สตรีจวนนี้ธรรมดาเสียที่ไหน”
“ท่านเสนาบดีจากที่โปรดปรานคุณหนูใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งพอตอนนี้นางมีพลังธาตุพิเศษ ไม่ยิ่งถือหางนางไปกันใหญ่หรือเจ้าคะ”
“พี่หญิงใหญ่กับมารดาของนางมีข้อเสียเหมือนกันตรงที่ใจร้อน แต่ความใจเย็นดันเป็นข้อดีของฮูหยินสามหลานรักของปู่กับลูกรักของพ่อ กินกันไม่ลงเลยทีเดียว”
กล่าวจบไช่เซียงฮวาก็หยิบของปลอบใจจากท่านอาที่ฝากผ่านองค์ชายรองขึ้นมาดู ซูเมี่ยวเห็นหยกสีนิลแปลกตาก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“หยกนี้คืออันใดเจ้าคะคุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ว่าคุณหนูมีสิ่งนี้ด้วย”
“ท่านอาฝากองค์ชายรองมาให้เป็นของปลอบใจ”
ปากเอ่ยตอบสาวใช้ แต่สายตาและนิ้วเล็กกลับลูบไล้หยกเนื้อเย็นนี้ไม่ละมือ
“ท่านอาอ่านได้ขาดจริง ๆ”
ไช่เซียงฮวานึกไปถึงเหตุการณ์ช่วงกลางวันในระหว่างทางที่องค์ชายรองเดินไปส่งตนที่รถม้า
‘นี่คือสิ่งใดหรือ’
‘ท่านอาจารย์ฝากมาให้เจ้า’
‘คงจะเป็นของปลอบใจ อย่างไรก็ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ว่าแต่เจ้าไม่มีของปลอบใจข้าหรือ’
‘เจ้าเสียใจแน่หรือ เหตุใดข้าหาร่องรอยความเสียใจบนใบหน้าเจ้าไม่พบ’
“เอ่อ...แล้วคุณหนูของบ่าวเสียใจหรือเปล่าเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินเสียงถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ของสาวใช้รุ่นพี่ ไช่เซียงฮวาจึงหลุดออกมาจากความทรงจำเมื่อตอนกลางวันนี้
“ถามเหมือนท่านแม่ข้าไม่มีผิด ข้าไม่เสียใจหรอก ไม่ต้องกังวลใจไป”
ไช่เซียงฮวาตอบคำถามด้วยท่าทางสบาย ๆ แล้วเก็บหยกใส่ไว้ในกล่องเหมือนเดิม เมื่อสาวใช้หวีผมให้เสร็จถึงย้ายตัวเองจากโต๊ะประทินโฉมมายังเตียงนอน
ซูเมี่ยวรู้หน้าที่ เดินเข้ามาหยิบผ้าห่มแล้วห่มให้คุณหนูของตน เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“ย่อมเป็นเพราะนายหญิงรักคุณหนูมากจึงกลัวว่าคุณหนูจะเสียใจ เช่นเดียวกับนายท่านสามที่ดีกับคุณหนูของบ่าวที่สุด”
“ให้มันรู้เสียบ้าง ข้ามันหลานรัก วันนี้เท่านี้นะอาเมี่ยว…ฝันดี!”
ไช่เซียงฮวาหลับตาพริ้ม ซูเมี่ยวเองก็บอกฝันดีกลับเช่นกัน เมื่อตรวจความเรียบร้อยภายในห้องเสร็จแล้ว นางก็ดับไฟแล้วเดินออกจากห้อง ปิดประตูอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเสียงประตูจะรบกวนคุณหนูผู้เป็นเจ้าของห้อง
พรึบ!
ไช่เซียงฮวาลืมตาขึ้นเมื่อแน่ใจว่าสาวใช้ออกไปจากห้องแล้ว ไม่มีเค้าของความง่วงให้เห็นเลยสักนิดทั้งที่เมื่อครู่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น
นางจุดตะเกียงในห้องขึ้นมาอีกครั้ง มือเล็กเลิกแขนเสื้อนอนตัวยาวจนเผยปานรูปดอกไม้สีฟ้าที่ยามนี้ชัดกว่าตอนกลางวัน
เรื่องนี้ไช่เซียงฮวาไม่ได้บอกใครแม้แต่มารดาของตนเอง คราแรกนางคิดว่าไช่ฮั่วฮวาไม่ได้สังเกตว่าตนมีปานดอกไม้อยู่ตำแหน่งเดียวกับปานสีน้ำตาลไหม้
จนกระทั่งกลับมาที่จวนแล้วมารดาขอดูข้อมือแล้วไม่ได้ทักเรื่องปานดอกไม้สีฟ้า นางถึงแน่ใจว่าปานดอกไม้มีเพียงนางที่เห็นคนเดียว ทั้งยังเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
“จิตใจกำลังว้าวุ่น สงสัยใคร่รู้อยู่ใช่หรือไม่”
เสียงของชายวัยกลางคนดังก้องในหัวไช่เซียงฮวาจนนางผวามองซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง
“ไม่ต้องกลัวไปหรอกเด็กน้อย ตัวข้ามิใช่ภูตผีปีศาจ”
สิ้นประโยคนี้ ตรงหน้าไช่เซียงฮวาก็ปรากฏชายร่างสูง อยู่ห่างนางไม่กี่ก้าว
เฮือก!
“เธอคือผู้ใด~”
ความตื่นตระหนกของเซียงฮวาช่างขัดกับประโยคที่ร้องถามออกมาเป็นเพลงในชาติภพก่อน
“ข้าคือเทพแห่งดวงชะตา”
เทพที่มีรูปลักษณ์อยู่ในวัยกลางคนกล่าวอย่างสุขุม แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจคือ…
นางร้องเพลงอันใดกัน กลับขึ้นสวรรค์ไป ข้าต้องไปถามเทพผู้คุมมิติเสียหน่อยแล้ว
เมื่อไช่เซียงฮวาได้ยินบุคคลตรงหน้าประกาศฐานะของตนเอง จากความตื่นตระหนกสูงเฉียดหลังคา ตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียงขื่อเพดาน
“เทพแห่งดวงชะตา ซะ ซือมิ่งหรือเจ้าคะ"
เซียงฮวาถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“รอบรู้ไม่เบา”
“จะไม่รู้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ คนสนิทของมหาเทพตงหัวทั้งคน”
“นี่เจ้า หรือว่าเจ้า…”
เทพแห่งดวงชะตาตื่นตะลึงจนเผลอยกนิ้วชี้หน้าไช่เซียงฮวา ในใจคิด…
หรือว่านางจะจำความได้แล้ว เป็นไปได้หรือ ว่าแต่ตงหัวนี่ใครกัน
“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ธุระของข้าในวันนี้ก็คือตอบข้อสงสัยของเจ้า แล้วมอบหน้าที่ให้เจ้าเท่านั้น”
“หน้าที่อันใดเจ้าคะ”
ไช่เซียงฮวาถามด้วยความสงสัย ความกลัวก่อนหน้านี้หายไปจนสิ้น
เทพแห่งดวงชะตาวาดมือไปกับอากาศพลันปรากฏหนังสือที่ภายนอกดูธรรมดาเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้กับสาวน้อยตรงหน้า
ไช่เซียงฮวาถือคติผู้ใหญ่ให้สิ่งใดก็ต้องรับรีบยื่นมือมารับแล้วตั้งคำถาม
“ไม่มีหน้าปก ตำราลับหรือเจ้าคะ” นางพลิกตำราซ้ายขวา “เปิดไม่ออกอีกต่างหาก” แล้วเงยหน้ามองผู้ให้
“เกรงว่าวันนี้เจ้าคงต้องเจ็บตัวอีกรอบหนึ่งแล้ว กรีดเลือดไปที่ตำแหน่งเดิมแล้วแนบกับตำราสิ”
พอได้ยินว่าต้องเสียเลือดอีกครั้ง ไช่เซียงฮวาพลันขนพองสยองเกล้า สมองยังจำความเจ็บปวดยามนั้นได้ เมื่อนึกถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้งพลันเจ็บแปลบตรงข้อมือ
“กรีดก็กรีดเจ้าค่ะ มีโมเม้นท์นี้กับเขาเสียที หลังจากที่รอมา 8 ปี”
สิ้นคำนางก็เดินไปหยิบกริชที่อยู่ตรงโต๊ะหน้าคันฉ่อง โดยมีเทพแห่งดวงชะตาเดินตามมาติด ๆ
เมื่อไช่เซียงฮวากรีดเลือดตรงตำแหน่งเดิมกับเมื่อเช้านี้ก็แนบลงไปบนตำราตามที่ท่านเทพบอก
เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเข้าออกก็เกิดลำแสงเรืองรองขึ้นจากตำราจนคนที่ถือมันอยู่ต้องหลับตาปี๋เพราะดวงตายังปรับให้เข้ากับแสงที่มากเกินไปไม่ได้
เมื่อแสงดับลง ไช่เซียงฮวาก็ลองเปิดตำราดู
“เปิดได้แล้วเจ้าค่ะ!”
“เพราะเจ้าเป็นเจ้าของสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงตรงข้อมือเจ้าหรือไม่”
เทพแห่งดวงชะตาเอามือไพล่หลัง เดินไปที่หน้าต่างของห้องแล้วเงยหน้าชมจันทร์
“ข้ารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างเช่นเดียวกับตอนเมื่อเช้าที่ปลุกพลังธาตุเจ้าค่ะ”
“ต่อไปพลังนี้จะเป็นของเจ้า”
“พลังบุปผาหรือเจ้าคะ ข้าถึงได้มีปรานรูปนี้”
เทพแห่งดวงชะตาได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ขอบตาร้อนผ่าว ประหนึ่งเห็นลูกหลานประสบความสำเร็จในชีวิต ปริ่มใจยิ่งแล้ว
“ใช่! ตำราเล่มนี้ให้เจ้าได้เอาไว้ศึกษา แล้วมันจะบอกทุกอย่างแก่เจ้าเองโดยที่เจ้าไม่ต้องร้องถามสิ่งใดจากข้า”
“ของฟรีไม่มีในโลก ข้าต้องจ่ายด้วยสิ่งใดเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว! ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย”
สิ้นคำเขาก็วาดฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่อากาศอีกครั้ง ไม่นานก็ปรากฏตำราสีดำสนิทบนฝ่ามืออีกข้าง
“ให้เจ้าทำความคุ้นเคยและดูดซับกลิ่นอายจากมัน”
มือหนายื่นตำราให้ไช่เซียงฮวาที่รับมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ตำราลับอีกเล่มหรือเจ้าคะ ข้าต้องกรีดเลือดเป็นครั้งที่สามของวันหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก เก็บเลือดของเจ้าเอาไว้อีกสองปีข้างหน้าเถิด เมื่อเจ้าสิบหนาวข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการใช้”
“เจ้าค่ะ”
ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แม้ไม่ทราบว่าเป็นตำราใด แต่นางรู้สึกว่าตำราเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตนในอนาคต
“เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งทำสัญญาเลือดก่อนถึงเวลาอันควรโดยเด็ดขาด”
“ท่านเทพหายห่วงได้เลยเจ้าค่ะ หากท่านเทพบอกว่าห้ามเปิดผอบ(ผะ-อบ) ผอบก็ไม่มีทางที่จะถูกเปิดออกแน่นอนเจ้าค่ะ”
เธอคือผู้ใด ตงหัว ผอบ
เห็นทีต้องไปเยือนตำหนักเทพผู้คุมมิติภายในสองวันนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นเราคงคุยกับนางหนูนี่ไม่รู้เรื่อง
“ตัวเราคือผู้ที่รักษาความลับให้เป็นความลับได้ดีที่สุด หากตัวเองยังทำไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะทำได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจคำพูดนี้…ขอลา!”
ไช่เซียงฮวาย่อกายทำความเคารพ เมื่อแสงจากตัวท่านเทพหายไปก็หยิบตำราทั้งสองเล่มขึ้นมาดูแล้วเดินไปที่เตียงนอน
มือเล็กเปิดช่องลับใต้เตียงออกมา ยัดตำราที่ยังไม่อนุญาตให้เปิดไว้ที่ช่องลับแล้วปิดไว้เหมือนเดิม
“ไม่ใช่จันทโครพ ไม่เปิดผอบหรอกเจ้าค่ะ ใครจะอยากเห็นนางโมรากัน”
กล่าวจบก็นั่งลงบนเตียง ลูบไล้ตำราที่ตนเพิ่งเสียเลือดไปเพราะมันแผ่วเบา
ราวกับตำราเล่มนี้มีชีวิตและจิตใจ เพราะเพียงแค่นายของมันลูบไล้ก็เกิดลำแสงขึ้น
“ชอบก็ตรงที่ไม่ได้เป็นตำราไม้ไผ่นี่แหละ”
ไช่เซียงฮวาหัวเราะในลำคอ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชื่อตำราปรากฏขึ้น
“ตำราสวรรค์หมื่นบุปผางั้นเหรอ เป็นหมื่นแบบนี้ สองปีจะอ่านจบไหม!”