Share

บทที่ 2

last update Huling Na-update: 2025-05-26 14:41:13

บทที่ ๒

ตำราสวรรค์หมื่นบุปผา

หนึ่งชั่วยามต่อมายามอู่

หลังจากที่ฝูหวงตี้เสด็จกลับแล้ว สามเด็กสาวจากตระกูลไช่ก็พากันเดินออกจากลานพิธี

“เซียงฮวา”

เจ้าของนามหันไปมองด้านหลังโดยมีไช่ฮั่วฮวาและไช่ปิงฮวาหันไปมองด้วย

พวกนางถวายความเคารพพร้อมกันเมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายรองฝูเฮยหลง

“ถวายพระพรองค์ชายรองเพคะ”

องค์ชายรองคนหน้านิ่งพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงให้ตามสบาย

“คุณหนูทั้งสอง ขอเวลาเซียงฮวาสักครู่”

“เพคะ/เพคะ”

ไช่ฮั่วฮวาที่ไม่คิดอะไรเดินออกไปทันที สวนทางกับไช่ปิงฮวาที่ก่อนจะจากไปทำสีหน้าตัดพ้อใส่เด็กหนุ่ม ราวกับว่าฝูเฮยหลงทำผิดต่อนางหนักหนา เรียกรอยยิ้มขำขันจากไช่เซียงฮวาได้ดียิ่ง

องค์ชายรองเห็นนางขบขันก็ขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ด้วยมีเวลาจำกัดจึงเข้าเรื่องในทันที

“เซียงฮวา พรุ่งนี้ยามซื่อจะไปหาท่านอาจารย์พร้อมกับข้าหรือไม่”

“หากฮูหยินใหญ่ไม่อนุญาตข้าก็ไปไม่ได้ ถ้านางรู้ว่าข้าจะไปกับเจ้า อย่าได้หวังเลย”

“ให้เสด็จแม่ออกหน้าให้ดีหรือไม่”

“ข้าจะบังอาจรบกวนกุ้ยเฟยได้อย่างไร”

องค์ชายรองฝูเฮยหลงนานทีจะได้สนทนากับไช่เซียงฮวา เนื่องจากพรรคหยิ๋นมี่ที่เขาพำนักศึกษาวิชายุทธ์อยู่นั้น อยู่ในแคว้นเหลียง

เมื่อครั้งนี้มีโอกาสได้กลับมายังแคว้นตนเพื่อทดสอบพลังธาตุก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะชวนเซียงฮวาไปด้วยกันให้ได้

เมื่อสถานการณ์จริงต้องเจอกับ ‘อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ดี’ จึงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย

“ข้าจะยอมยกธงขาวไปก่อน แต่กลับไปคราวนี้ ข้าจะโน้มน้าวท่านอาจารย์ให้พาเจ้ามาเป็นศิษย์ในพรรคหยิ๋นมี่ เช่นนี้ดีหรือไม่”

“เจ้าดูมุ่งมั่นเพียงนี้ อย่างไรท่านอาก็มารับข้าไปเที่ยวเล่นทุกสามเดือนอยู่แล้ว ข้าต้องทุ่มเทไปเป็นศิษย์ที่นั่นด้วยหรือ”

“ไม่พอหรอก ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าทุกวัน”

องค์ชายรองเอ่ยเสียงแผ่ว ทว่าไช่เซียงฮวากลับได้ยินทุกคำพูดของเขาชัดเจน แต่แกล้งไม่ได้ยิน

“เจ้ากล่าวว่าอันใดนะ”

“ปะ เปล่า”

องค์ชายรองปฏิเสธด้วยอาการหูแดง หน้าแดง เรียกเสียงหัวเราะจากไช่เซียงฮวาได้อีกครั้ง

“เสียอาการแล้วสหายข้า วันนี้เท่านี้ก่อน ข้าต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกันใหม่”

องค์ชายรองถอนหายใจ ได้แต่กดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่ควรกระทำการเอาแต่ใจตัวเอง ได้คืบจะเอาศอกกับเด็กสาวตรงหน้า

“ข้าจะเดินไปส่งที่รถม้า”

“ตามใจ”

ไช่เซียงฮวาไม่ขัดใจเขาเรื่องนี้ ยอมให้อีกฝ่ายเดินไปส่งที่รถม้า บรรยากาศสบาย ๆ ของทั้งสองสร้างความสงสัยให้กับใครหลายคนยิ่งแล้ว

ถามว่าพวกเขาสนิทกันเพียงใดนะหรือ…

กว่ากุ้ยเฟยผู้เป็นเสด็จแม่!

ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการยามซวี

“ปกติคุณหนูใหญ่ก็ไม่เห็นหัวคุณหนูสามอยู่แล้ว ยามนี้ไม่ยิ่งกดนางให้ต่ำไปกว่าเดิมหรอกหรือเจ้าคะคุณหนู”

ซูเมี่ยวสาวใช้วัย 15 หนาวกล่าวขึ้นมาท่ามกลางความเงียบระหว่างที่กำลังหวีผมให้คุณหนูตัวน้อยของตนอยู่

“คงไม่เล่นกันถึงตาย”

ไช่เซียงฮวากล่าวเสียงงัวเงีย ดวงตาแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่รอมร่อ

ซูเมี่ยวเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงของคุณหนูดังขึ้นอีกรอบ

“แต่ก็ไม่แน่ สตรีจวนนี้ธรรมดาเสียที่ไหน”

“ท่านเสนาบดีจากที่โปรดปรานคุณหนูใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งพอตอนนี้นางมีพลังธาตุพิเศษ ไม่ยิ่งถือหางนางไปกันใหญ่หรือเจ้าคะ”

“พี่หญิงใหญ่กับมารดาของนางมีข้อเสียเหมือนกันตรงที่ใจร้อน แต่ความใจเย็นดันเป็นข้อดีของฮูหยินสามหลานรักของปู่กับลูกรักของพ่อ กินกันไม่ลงเลยทีเดียว”

กล่าวจบไช่เซียงฮวาก็หยิบของปลอบใจจากท่านอาที่ฝากผ่านองค์ชายรองขึ้นมาดู ซูเมี่ยวเห็นหยกสีนิลแปลกตาก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“หยกนี้คืออันใดเจ้าคะคุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ว่าคุณหนูมีสิ่งนี้ด้วย”

“ท่านอาฝากองค์ชายรองมาให้เป็นของปลอบใจ”

ปากเอ่ยตอบสาวใช้ แต่สายตาและนิ้วเล็กกลับลูบไล้หยกเนื้อเย็นนี้ไม่ละมือ

“ท่านอาอ่านได้ขาดจริง ๆ”

ไช่เซียงฮวานึกไปถึงเหตุการณ์ช่วงกลางวันในระหว่างทางที่องค์ชายรองเดินไปส่งตนที่รถม้า

‘นี่คือสิ่งใดหรือ’

‘ท่านอาจารย์ฝากมาให้เจ้า’

‘คงจะเป็นของปลอบใจ อย่างไรก็ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ว่าแต่เจ้าไม่มีของปลอบใจข้าหรือ’

‘เจ้าเสียใจแน่หรือ เหตุใดข้าหาร่องรอยความเสียใจบนใบหน้าเจ้าไม่พบ’

“เอ่อ...แล้วคุณหนูของบ่าวเสียใจหรือเปล่าเจ้าคะ”

เมื่อได้ยินเสียงถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ของสาวใช้รุ่นพี่ ไช่เซียงฮวาจึงหลุดออกมาจากความทรงจำเมื่อตอนกลางวันนี้

“ถามเหมือนท่านแม่ข้าไม่มีผิด ข้าไม่เสียใจหรอก ไม่ต้องกังวลใจไป”

ไช่เซียงฮวาตอบคำถามด้วยท่าทางสบาย ๆ แล้วเก็บหยกใส่ไว้ในกล่องเหมือนเดิม เมื่อสาวใช้หวีผมให้เสร็จถึงย้ายตัวเองจากโต๊ะประทินโฉมมายังเตียงนอน

ซูเมี่ยวรู้หน้าที่ เดินเข้ามาหยิบผ้าห่มแล้วห่มให้คุณหนูของตน เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด

“ย่อมเป็นเพราะนายหญิงรักคุณหนูมากจึงกลัวว่าคุณหนูจะเสียใจ เช่นเดียวกับนายท่านสามที่ดีกับคุณหนูของบ่าวที่สุด”

“ให้มันรู้เสียบ้าง ข้ามันหลานรัก วันนี้เท่านี้นะอาเมี่ยว…ฝันดี!”

ไช่เซียงฮวาหลับตาพริ้ม ซูเมี่ยวเองก็บอกฝันดีกลับเช่นกัน เมื่อตรวจความเรียบร้อยภายในห้องเสร็จแล้ว นางก็ดับไฟแล้วเดินออกจากห้อง ปิดประตูอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเสียงประตูจะรบกวนคุณหนูผู้เป็นเจ้าของห้อง

พรึบ!

ไช่เซียงฮวาลืมตาขึ้นเมื่อแน่ใจว่าสาวใช้ออกไปจากห้องแล้ว ไม่มีเค้าของความง่วงให้เห็นเลยสักนิดทั้งที่เมื่อครู่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น

นางจุดตะเกียงในห้องขึ้นมาอีกครั้ง มือเล็กเลิกแขนเสื้อนอนตัวยาวจนเผยปานรูปดอกไม้สีฟ้าที่ยามนี้ชัดกว่าตอนกลางวัน

เรื่องนี้ไช่เซียงฮวาไม่ได้บอกใครแม้แต่มารดาของตนเอง คราแรกนางคิดว่าไช่ฮั่วฮวาไม่ได้สังเกตว่าตนมีปานดอกไม้อยู่ตำแหน่งเดียวกับปานสีน้ำตาลไหม้

จนกระทั่งกลับมาที่จวนแล้วมารดาขอดูข้อมือแล้วไม่ได้ทักเรื่องปานดอกไม้สีฟ้า นางถึงแน่ใจว่าปานดอกไม้มีเพียงนางที่เห็นคนเดียว ทั้งยังเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

“จิตใจกำลังว้าวุ่น สงสัยใคร่รู้อยู่ใช่หรือไม่”

เสียงของชายวัยกลางคนดังก้องในหัวไช่เซียงฮวาจนนางผวามองซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง

“ไม่ต้องกลัวไปหรอกเด็กน้อย ตัวข้ามิใช่ภูตผีปีศาจ”

สิ้นประโยคนี้ ตรงหน้าไช่เซียงฮวาก็ปรากฏชายร่างสูง อยู่ห่างนางไม่กี่ก้าว

เฮือก!

“เธอคือผู้ใด~”

ความตื่นตระหนกของเซียงฮวาช่างขัดกับประโยคที่ร้องถามออกมาเป็นเพลงในชาติภพก่อน

“ข้าคือเทพแห่งดวงชะตา”

เทพที่มีรูปลักษณ์อยู่ในวัยกลางคนกล่าวอย่างสุขุม แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจคือ…

นางร้องเพลงอันใดกัน กลับขึ้นสวรรค์ไป ข้าต้องไปถามเทพผู้คุมมิติเสียหน่อยแล้ว

เมื่อไช่เซียงฮวาได้ยินบุคคลตรงหน้าประกาศฐานะของตนเอง จากความตื่นตระหนกสูงเฉียดหลังคา ตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียงขื่อเพดาน

“เทพแห่งดวงชะตา ซะ ซือมิ่งหรือเจ้าคะ"

เซียงฮวาถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“รอบรู้ไม่เบา”

“จะไม่รู้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ คนสนิทของมหาเทพตงหัวทั้งคน”

“นี่เจ้า หรือว่าเจ้า…”

เทพแห่งดวงชะตาตื่นตะลึงจนเผลอยกนิ้วชี้หน้าไช่เซียงฮวา ในใจคิด…

หรือว่านางจะจำความได้แล้ว เป็นไปได้หรือ ว่าแต่ตงหัวนี่ใครกัน

“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ธุระของข้าในวันนี้ก็คือตอบข้อสงสัยของเจ้า แล้วมอบหน้าที่ให้เจ้าเท่านั้น”

“หน้าที่อันใดเจ้าคะ”

ไช่เซียงฮวาถามด้วยความสงสัย ความกลัวก่อนหน้านี้หายไปจนสิ้น

เทพแห่งดวงชะตาวาดมือไปกับอากาศพลันปรากฏหนังสือที่ภายนอกดูธรรมดาเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้กับสาวน้อยตรงหน้า

ไช่เซียงฮวาถือคติผู้ใหญ่ให้สิ่งใดก็ต้องรับรีบยื่นมือมารับแล้วตั้งคำถาม

“ไม่มีหน้าปก ตำราลับหรือเจ้าคะ” นางพลิกตำราซ้ายขวา “เปิดไม่ออกอีกต่างหาก” แล้วเงยหน้ามองผู้ให้

“เกรงว่าวันนี้เจ้าคงต้องเจ็บตัวอีกรอบหนึ่งแล้ว กรีดเลือดไปที่ตำแหน่งเดิมแล้วแนบกับตำราสิ”

พอได้ยินว่าต้องเสียเลือดอีกครั้ง ไช่เซียงฮวาพลันขนพองสยองเกล้า สมองยังจำความเจ็บปวดยามนั้นได้ เมื่อนึกถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้งพลันเจ็บแปลบตรงข้อมือ

“กรีดก็กรีดเจ้าค่ะ มีโมเม้นท์นี้กับเขาเสียที หลังจากที่รอมา 8 ปี”

สิ้นคำนางก็เดินไปหยิบกริชที่อยู่ตรงโต๊ะหน้าคันฉ่อง โดยมีเทพแห่งดวงชะตาเดินตามมาติด ๆ

เมื่อไช่เซียงฮวากรีดเลือดตรงตำแหน่งเดิมกับเมื่อเช้านี้ก็แนบลงไปบนตำราตามที่ท่านเทพบอก

เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเข้าออกก็เกิดลำแสงเรืองรองขึ้นจากตำราจนคนที่ถือมันอยู่ต้องหลับตาปี๋เพราะดวงตายังปรับให้เข้ากับแสงที่มากเกินไปไม่ได้

เมื่อแสงดับลง ไช่เซียงฮวาก็ลองเปิดตำราดู

“เปิดได้แล้วเจ้าค่ะ!”

“เพราะเจ้าเป็นเจ้าของสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงตรงข้อมือเจ้าหรือไม่”

เทพแห่งดวงชะตาเอามือไพล่หลัง เดินไปที่หน้าต่างของห้องแล้วเงยหน้าชมจันทร์

“ข้ารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างเช่นเดียวกับตอนเมื่อเช้าที่ปลุกพลังธาตุเจ้าค่ะ”

“ต่อไปพลังนี้จะเป็นของเจ้า”

“พลังบุปผาหรือเจ้าคะ ข้าถึงได้มีปรานรูปนี้”

เทพแห่งดวงชะตาได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ขอบตาร้อนผ่าว ประหนึ่งเห็นลูกหลานประสบความสำเร็จในชีวิต ปริ่มใจยิ่งแล้ว

“ใช่! ตำราเล่มนี้ให้เจ้าได้เอาไว้ศึกษา แล้วมันจะบอกทุกอย่างแก่เจ้าเองโดยที่เจ้าไม่ต้องร้องถามสิ่งใดจากข้า”

“ของฟรีไม่มีในโลก ข้าต้องจ่ายด้วยสิ่งใดเจ้าคะ”

“ใช่แล้ว! ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย”

สิ้นคำเขาก็วาดฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่อากาศอีกครั้ง ไม่นานก็ปรากฏตำราสีดำสนิทบนฝ่ามืออีกข้าง

“ให้เจ้าทำความคุ้นเคยและดูดซับกลิ่นอายจากมัน”

มือหนายื่นตำราให้ไช่เซียงฮวาที่รับมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

“ตำราลับอีกเล่มหรือเจ้าคะ ข้าต้องกรีดเลือดเป็นครั้งที่สามของวันหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก เก็บเลือดของเจ้าเอาไว้อีกสองปีข้างหน้าเถิด เมื่อเจ้าสิบหนาวข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการใช้”

“เจ้าค่ะ”

ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แม้ไม่ทราบว่าเป็นตำราใด แต่นางรู้สึกว่าตำราเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตนในอนาคต

“เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งทำสัญญาเลือดก่อนถึงเวลาอันควรโดยเด็ดขาด”

“ท่านเทพหายห่วงได้เลยเจ้าค่ะ หากท่านเทพบอกว่าห้ามเปิดผอบ(ผะ-อบ) ผอบก็ไม่มีทางที่จะถูกเปิดออกแน่นอนเจ้าค่ะ”

เธอคือผู้ใด ตงหัว ผอบ

เห็นทีต้องไปเยือนตำหนักเทพผู้คุมมิติภายในสองวันนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นเราคงคุยกับนางหนูนี่ไม่รู้เรื่อง

“ตัวเราคือผู้ที่รักษาความลับให้เป็นความลับได้ดีที่สุด หากตัวเองยังทำไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะทำได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจคำพูดนี้…ขอลา!”

ไช่เซียงฮวาย่อกายทำความเคารพ เมื่อแสงจากตัวท่านเทพหายไปก็หยิบตำราทั้งสองเล่มขึ้นมาดูแล้วเดินไปที่เตียงนอน

มือเล็กเปิดช่องลับใต้เตียงออกมา ยัดตำราที่ยังไม่อนุญาตให้เปิดไว้ที่ช่องลับแล้วปิดไว้เหมือนเดิม

“ไม่ใช่จันทโครพ ไม่เปิดผอบหรอกเจ้าค่ะ ใครจะอยากเห็นนางโมรากัน”

กล่าวจบก็นั่งลงบนเตียง ลูบไล้ตำราที่ตนเพิ่งเสียเลือดไปเพราะมันแผ่วเบา

ราวกับตำราเล่มนี้มีชีวิตและจิตใจ เพราะเพียงแค่นายของมันลูบไล้ก็เกิดลำแสงขึ้น

“ชอบก็ตรงที่ไม่ได้เป็นตำราไม้ไผ่นี่แหละ”

ไช่เซียงฮวาหัวเราะในลำคอ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชื่อตำราปรากฏขึ้น

“ตำราสวรรค์หมื่นบุปผางั้นเหรอ เป็นหมื่นแบบนี้ สองปีจะอ่านจบไหม!”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 76

    บทที่ ๔๕ ศึกแห่งลงกา “คิดว่าแน่จริงก็เข้ามา อยากให้ดาบของข้าดื่มเลือดชั่ว ๆ ของเจ้าก็เข้ามา!” น้ำเสียงบ่งชัดถึงความไม่เป็นมิตรพร้อมกับดาบที่ชี้ไปยังฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวจุดชนวนให้นางผู้นั้นเงื้อดาบขึ้นมาตั้งฉาก พร้อมกับที่มืออีกข้างแสดงท่าทางรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ “ก็เอาสิ! ดาบของข้าก็โหยหาเลือดหัวเจ

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 75

    อาจารย์หลิวอี้บอกท่าต่อไป กวาดสายตามองทุกคู่ หากคู่ใดไม่ได้มาตรฐานตามที่นางต้องการก็จะช่วยชี้แนะ เมื่อปรับจนดีขึ้นแล้วก็ให้ทำตั้งแต่ท่าแรกให้ดูอีกครั้ง ใบหน้างดงามสมวัยพยักหน้ารับเบา ๆ จนกระทั่งกวาดตามามองเซียงฮวาแล้วเห็นไหล่สั่นจึงเดินเข้ามาถามด้วยความใส่ใจ “เซียงฮวา อาจารย์หลิวมา” เฮยหลงกล่าว

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 74

    ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังอาจารย์หลิวอี้ที่แนะนำตนเองว่าเป็นอาจารย์สอนศาสตร์แห่งวัฒนธรรมและงานบ้านงานเรือนของสตรี ทำเอาบุรุษที่มาร่วมเรียนด้วยแอบหวั่นใจว่าตนจะได้เรียนงานบ้านงานเรือนด้วยหรือไม่ “ทั้งสี่แคว้นมีธรรมเนียมคารวะที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีเรื่องยิบย่อยที่แตกต่างกันออกไปอีกหลายแขนง อย่างเช่นวันน

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 73

    บทที่ ๔๔ คนที่สนิทใจที่สุด ศิษย์ปีหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องอาหาร มารยาทบนโต๊ะอาหารที่ทางบ้านอบรมมาว่าเลี่ยงการสนทนาบนโต๊ะอาหารถูกลืมเลือนสิ้นแล้ว เพราะศิษย์ปีหนึ่งทั้งหลายกำลังสนทนาเรื่องภารกิจของเมื่อวาน “ฟ้าผ่าในมิติที่เจ้าอยู่แล้วอย่างไรต่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงถามอย่างตื่นเต้น แววตาแฝงความสมใจอย่

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 72

    ถูหลงเปาเสนอความคิด ทว่าฟู่เหยียนชิงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกเจ้าอยู่ตรงนี้เถอะ เผื่อจะมีกลเม็ดใดซ่อนไว้” สิ้นคำเขาก็เดินเข้าไปใกล้รูปปั้นเสือใช้วิชายุทธ์ปีนป่ายขึ้นไปเนื่องจากรูปปั้นไม่ได้สูงเกินไป เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถขึ้นไปเหยียบบนหลังเสือได้ก่อนที่จะหงายหลังลงมาในไม่กี่ลมหายใจต่อมาเมื่อเจอล

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 71

    บทที่ ๔๓ ใครว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก “กรี๊ด” เปรี้ยง! เสียงกรี๊ดของสตรีระงม หนึ่งในนั้นคือเซียงฮวาด้วย มือเรียวปิดหูตัวเองไว้ สีหน้าแตกตื่นเป็นอย่างมาก “เพิ่งเหยียบเท้าลงพื้นก็ทักทายกันด้วยเสียงฟ้าผ่าเลยหรือ แรงไปหรือไม่คุณน้า” “เซียงฮวา เป็นอันใดหรือไม่” เฮยหลงวิ่งเข้ามาหาเซียงฮวาด้วยสีหน้า

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status