Share

บุปผาเยียวยาใจ
บุปผาเยียวยาใจ
Author: ซูเมี่ยวหลิง

บทที่ 1

last update Last Updated: 2025-05-26 14:40:09

บทที่ ๑

เหตุใดรู้สึกราวกับโดนตบหน้า

ณ แคว้นฝูหนึ่งในสี่แคว้นใหญ่อันได้แก่ ฝู เหลียง จิน จู กำลังอยู่ในช่วงที่คึกคักที่สุดแห่งปี

เนื่องจากในวันนี้ของทุกปีจะมีการประกอบพิธีที่สำคัญของเด็กชายหญิงในวัย 8 หนาว

นั่นคือการตรวจสอบพลังธาตุ อันเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของเด็ก ๆ ทั้งหลายในอนาคต

ในเมืองหลวงแคว้นฝูยามนี้ ฝูงชนเนืองแน่น เพราะทุกคนมาร่วมส่งกำลังใจให้แก่บุตรหลานตน โรงเตี๊ยมมากมายต่างถูกจับจอง ลูกค้าตบเท้าเข้าออก มาใช้บริการมากมายจนเถ้าแก่ร้านยิ้มหน้าบาน

หากถามว่าเหตุใดปีนี้ถึงได้คึกคักกว่าทุกปี

คำตอบคือปีนี้ต่างจากทุกปีในด้านของ ‘โอกาส’

จากแต่เดิมถูกจำกัดสิทธิ์การเข้าตรวจพลังธาตุได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานขุนนางและลูกหลานพ่อค้าอันมีจะกินเท่านั้น ชาวบ้านตาดำ ๆ แม้จะฝันก็ยังอาจเอื้อมเกิน

ด้วยเหตุนี้วีรบุรุษของลูกหลานชาวบ้านอย่างไท่จื่อฝูจินหลงในวัย 11 ชันษาที่ทรงเล็งเห็นถึงความต่างนี้จึงได้ยื่นฎีกาถวายแด่ฝูหวงตี้ให้ทรงพิจารณาถึงผลดีผลได้ของปวงประชา เนื้อความในฎีกาคือ…

“ควรแล้วหรือที่จะสนเพียงฐานันดรจนละเลยความสามารถอันแท้จริง ในหมู่มวลผกาที่เหาะเวหา อยู่ใต้ฟ้าบนดินนี้ อาจจะซ่อนหงษารอวันทยานโผลบินอยู่ก็เป็นได้”

เนื้อความในสารถูกเอ่ยถึงโดยเสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่ง กล่าวขึ้นภายในรถม้าที่เงียบสนิท ขัดกับบรรยากาศข้างนอกรถม้าที่วุ่นวาย เสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่

“เพราะฎีกาฉบับนั้นเลยแท้ ๆ ที่ทำให้ชนชั้นต่ำพวกนี้ มีสิทธิ์มาร่วมพื้นที่หายใจเดียวกันกับข้า”

กล่าวประโยคนี้จบไช่ฮั่วฮวาก็ปรายตาไปทางเด็กสาวที่มีใบหน้าน่ารักคนหนึ่งซึ่งนั่งตรงข้ามกับตน

“พี่หญิงใหญ่กล่าวเช่นนี้จะไม่เป็นการหลบหลู่ไท่จื่อผู้บุกเบิกโอกาสนี้ให้กับคนที่ด้อยหรือเจ้าคะ"

ไช่ปิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย แต่แววตาที่หลุบลงกลับแข็งกร้าวเกินกว่าที่เด็กวัย 8 หนาวพึงจะมี

พรู~มันเริ่มแล้วสินะ

เด็กสาวอีกหนึ่งคนนามว่าไช่เซียงฮวาซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสงครามน้ำลายที่ได้เริ่มขึ้นแล้วสำหรับวันนี้ กำลังไว้อาลัยให้กับหูของตนเองอยู่

สี่ปีแรกของชีวิตนี้ ก็คิดว่าช่างสงบดีแท้ ๆ ชีวิตเด็กที่นอกจากกินแล้วนอนก็ไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่มีเรื่องให้ปวดหัว รำคาญใจเหมือนภพก่อนที่ต้องตายตั้งแต่ยังสาวและยังสวย คิดไม่ถึงเลยว่าสี่ปีให้หลังต่อจากนี้ของนางจะไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก

พี่สาวน้องสาวมหาภัยโดยแท้

สิ้นความคิดนี้ไช่เซียงฮวาก็แอบเหลือบตามองซ้ายทีขวาที ดูทิศทางลมเพื่อที่จะได้ตามสถานการณ์ให้ทัน

พูดถึงพี่สาวน้องสาวของไช่เซียงฮวาทั้งในภพที่แล้วและในภพปัจจุบัน…หาได้มีคำว่าพอดีไม่!

คนหนึ่งหยินคนหนึ่งหยาง คนหนึ่งชอบแสดงเป็นนางร้าย อีกคนชอบคงความเป็นนางเอก ภาษาจากภพที่นางจากมาเรียกว่า ‘คีพคาแร็คเตอร์’

ย้อนไปจุดผกผันของชีวิต ไช่เซียงฮวาสิ้นชีพจากยุคสองพัน ชีวิตเป็นเหมือนนิยายออนไลน์ที่เคยอ่าน มาเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณเป็นคุณหนูจากตระกูลที่ร่ำรวย

แต่ความร่ำรวยไม่ได้ทำให้นางตื่นเต้นเท่ากับพลังธาตุ วันนี้นางตื่นเต้นมาก เพราะจะได้ทราบว่าตนมีพลังธาตุใด นางอยู่ในโลกของตัวเอง คาดเดาพลังธาตุของตัวเองโดยไม่สนใจการโต้เถียงระหว่างไช่ฮั่วฮวากับไช่ปิงฮวา

จนกระทั่งคนบังคนรถม้าเอ่ยว่า…

“หยุด~”

การโต้เถียงนี้ถึงได้หยุดลง!

“เอาล่ะพี่สาวน้องสาว ถึงที่หมายแล้วก็อย่าได้ชักช้าให้เสียเวลาเลย”

ไช่เซียงฮวากล่าวชวนอย่างร่าเริง เรียกสติของทั้งสองคนให้กลับเข้าที่เข้าทาง

นางร้ายไช่ฮั่วฮวาจะยอมจบการโต้เถียงโดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ไม่ได้ นางกล่าวว่า “ฝากไว้ก่อนนางคนชั้นต่ำ” แล้วลงจากรถม้าไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

ส่วนนางเอกอย่างไช่ปิงฮวาจะโต้ตอบสิ่งใดได้ นอกจากถอนหายใจเบา ๆ แล้วลงรถม้าเป็นคนสุดท้าย

เมื่อสาวน้อยทั้งสามลงจากรถม้าแล้วก็พากันเดินไปยังรถม้าอีกหนึ่งคันที่เป็นของหลินเหม่ยลี่ แม่ใหญ่ของทั้งสามที่นำทัพเด็กบ้านสกุลไช่มาร่วมพิธีในครั้งนี้

ส่วนนายท่านรองของบ้าน ไช่ฝูลี่ผู้เป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการก็ไม่สะดวกจะพาลูก ๆ ของเขาเข้างานด้วยตนเอง เนื่องจากมีภาระหน้าที่ในการจัดงานนี้โดยตรงจึงทำได้เพียงส่งตัวแทนไปรับ

“...คนของบิดาพวกเจ้ามารับแล้ว แม่ใหญ่จะรอพวกเจ้าอยู่แถวนี้แหละ ไปเถิด”

หลินเหม่ยลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีเมตตา มาดแม่เลี้ยงใจร้ายถูกเก็บไว้ทันทีเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ลูกจะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” ไช่ฮั่วฮวาพูดกับมารดาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“แม่เชื่อเจ้า ดูแลน้อง ๆ ให้ดี อย่าให้พวกนางกระทำการอันใดให้จวนตระกูลไช่ของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอันขาด”

“เจ้าค่ะท่านแม่” รับคำมารดาแล้วไช่ฮั่วฮวาก็มองน้องสาวของตนเองอย่างเหนือกว่า

ใบหน้าเล็กที่แสดงความร้ายกาจออกมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเรียกความเอ็นดูจากไช่เซียงฮวาได้ไม่น้อย

“ไปเถอะ”

“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”

ทั้งสามคารวะหลินเหม่ยลี่แล้วเดินตามคนของบิดาเข้าไปนั่งตามอัฒจันทร์เพื่อรอเวลาเริ่มพิธี

เมื่อทั้งสามนั่งตามที่ของตนแล้วก็มองไปรอบ ๆ อย่างให้ความสนใจ

เพราะฎีกาฉบับที่ไท่จื่อยื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือเด็กในวัยเดียวกันแทบจะล้นอัฒจันทร์ที่ทางกรมพิธีการได้จัดเตรียมไว้

ภายในลานพิธีนี้ถือได้ว่ากว้างขวางพอจะบรรจุเด็กวัยแปดหนาวทั้งแคว้นได้ อย่างวันนี้มีราวหมื่นคน ด้วยจำนวนคนที่มากเช่นนี้ ฝูหวงตี้จึงได้เสด็จไปอัญเชิญศิลาตรวจสอบพลังธาตุด้วยองค์เอง

ไช่เซียงฮวาจับจ้องไปยังศิลาตรวจสอบพลังธาตุ ศิลาก้อนนี้ไม่เพียงทำให้รู้พลังธาตุในกายเท่านั้น แต่ยังสามารถปลุกพลังธาตุในตัวให้เกิดขึ้นด้วย

พูดถึงเด็กสาวจวนตระกูลไช่อย่างละเอียด

แม้จะมีการแบ่งเรียกพี่ใหญ่ พี่รองและน้องสามก็จริง แต่ทั้งหมดล้วนเกิดในปีเดียวกันทั้งสิ้น จะต่างกันก็เพียงแค่คลอดก่อนคลอดทีหลัง

ไช่ฝูลี่ บิดาของพวกนางเป็นบุรุษที่ฉลาดและพราวเสน่ห์ สอบเข้ารับราชการได้ในอันดับที่ดี ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถขึ้นเป็นรองเสนาบดีตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นได้

ท่านปู่ไช่ซิ๋งชานที่ได้ทาบทามบุตรสาวกับฝั่งเสนาบดีกรมกลาโหมเอาไว้แล้วจึงให้ไช่ฝูลี่แต่งหลินเหม่ยลี่ที่เป็นบุตรของฮูหยินใหญ่เจ้ากรมกลาโหมเข้าจวน

ทว่าแต่งฮูหยินใหญ่เข้าจวนได้ไม่กี่ปี ท่านย่าของพวกนางที่สิ้นไปแล้วเมื่อสามปีก่อนก็ได้ทักท้วงเรื่องทายาท เนื่องจากหลินเหม่ยลี่ไม่ตั้งครรภ์เสียทีจึงอยากให้บุตรชายรับฮูหยินเพิ่ม

เท่ากับว่าฮูหยินใหญ่เป็นสะใภ้คนโปรดของปู่ ฮูหยินรองจากจวนเจ้ากรมพระคลังเป็นสะใภ้คนโปรดของย่า

แต่แล้วอย่างไร หากคนโปรดของตนยังไม่มี!

ไม่กี่ปีต่อจากนั้นไช่ฝูลี่ก็ได้แต่งบุตรสาวพ่อค้าเกลือผู้ร่ำรวยเข้าจวน

เรื่องนี้เรียกว่าสวรรค์ลิขิตได้เต็มปาก ฮูหยินทั้งสามของเขาตั้งครรภ์ตอนที่ไช่ฝูลี่อายุ 28 หนาว

คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง คุณหนูสามจึงอายุเท่ากัน ต่างเพียงเดือนเกิดเท่านั้น!

ภายในลานกว้างเริ่มเข้าสู่ความเงียบสงบเมื่อเห็นองครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาภายใน เป็นสัญญาณบอกว่าผู้สูงศักดิ์กำลังเสด็จมาเยือนที่นี่

เวลาไม่กี่ลำหายใจเข้าออก ขันทีที่สวมหมวกทรงสูงก็ขานการมาของผู้เป็นใหญ่ทั้งสาม

“หวงตี้/หวงโฮ่ว/ไท่จื่อเสด็จ~”

ทุกคนถวายพระพรทั้งสามโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงเล็กใสของเด็ก ๆ เมื่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งก็สามารถสร้างความอึกทึกให้กับที่นี่ เกิดเป็นความขลังที่แม้แต่ฝูหวงตี้ยังอดใจสั่นไม่ได้

มือหนาใต้แขนฉลองพระองค์มังกรปักดิ้นทองสะบัดหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่ฟังดูน่าเกรงขาม

“ไม่ต้องมากพิธี…เริ่มงานได้!”

กฎของราชวงศ์คือห้ามมองพระพักตร์ ไช่เซียงฮวาวางสายตาไปที่ศิลาไม่ว่อกแว่ก ทำตามกฎอย่างเคร่งครัด

พิธีการในการตรวจสอบพลังธาตุมิมีอันใดยุ่งยากเนื่องจากมีคนค่อนข้างเยอะ ฝูหวงตี้จึงอยากให้รวบรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ทำตามวิธีเดิมที่เรียกขานทีละชื่อแล้วหยดเลือดบนศิลา แต่ให้ทำการตรวจสอบเป็นรอบ หยดเลือดรอบละหนึ่งร้อยคน เว้นการขานชื่อ

เมื่อผลออกมาว่าเป็นพลังธาตุใด ก็จะปรากฏอยู่ตรงข้อมือเหนือชีพจรของคนนั้น ๆ

ในความคิดของไช่เซียงฮวา…

ต่อให้ประกาศว่าเด็ก 8 หนาวทุกคนของแคว้นฝูสามารถเข้าทดสอบพลังธาตุได้ทุกคน เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้น้อยลง

แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ทั้งหมด เพราะแต่ละรอบที่ต้องเข้ารับการตรวจสอบนั้นถูกจัดให้นั่งแยกไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

ไช่เซียงฮวาและพี่สาวน้องสาวที่อยู่ในรอบแรกล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางคนสำคัญรวมไว้ในรอบเดียวกัน

“นั่น ๆ เจ้าเห็นฝั่งตรงข้ามพวกเราหรือไม่ ที่ทรงสวมฉลองพระองค์สีดำสนิท เขาคือองค์ชายรองฝูเฮยหลง”

ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้ามาในลานพิธี ไช่เซียงฮวาที่สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่หูทำงานอยู่ตลอดเวลาก็แอบได้ยินประโยคซุบซิบเมื่อครู่ พลันคิดขึ้นมาได้ว่า…

เราลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าคนหน้านิ่งก็ต้องเข้ารับการทดสอบพลังด้วย

องค์ชายรองฝูเฮยหลง สหายสูงศักดิ์เพียงคนเดียวของไช่เซียงฮวาที่ชอบทำตัวเป็นพี่ชายของผู้อื่นจนเซียงฮวาหลงคิดไปแล้วว่าตนเป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ

ไช่เซียงฮวามองหาเจ้าของหัวข้อสนทนา เสียเวลาในการมองหาไม่นานก็พบเข้ากับใบหน้านิ่งเย็นชาเกินอายุของเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่นางพอดี

นางลอบยักคิ้วใส่เขา คิดเอาเองว่าไม่มีใครมองเห็น แต่ก็ไม่พ้นสายพระเนตรของเจ้าครองแคว้นซึ่งจดจ่อไปที่พระโอรสของตนพอดี

“กงกง คุณหนูน้อยคนนั้นจากจวนใดกัน” ฝูหวงตี้ตรัสกับกงกงเบา ๆ

ขันทีประจำพระองค์ที่สายตาจับจ้องไปยังจุดนั้นอยู่แล้วก็ตอบคำถามได้ทันที

“ทูลฝ่าบาท เป็นคุณหนูรองจวนรองเสนาบดีกรมพิธีการพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ ที่แท้ก็หลานสาวของอาจารย์เจ้ารอง”

ฝูหวงตี้พยักหน้าเชิงเข้าใจ พระเนตรแพรวพราวอย่างคนนึกสนุก แต่เมื่อพิธีตรงหน้ากำลังจะเริ่มจึงหยุดความคิดที่กำลังโลดแล่น สนใจเพียงเหตุการณ์กลางตรงหน้า

ที่กลางลานพิธี เมื่อรอบแรกมีคนครบหนึ่งร้อยคนตามที่กำหนดไว้แล้ว นางกำนัลจำนวนสิบคนก็เดินเข้ามาจัดแถวให้สิบคนแรกยืนล้อมศิลาตรวจพลังธาตุไว้ โดยยืนล้อมอย่างนี้อีกจำนวนเก้าวงก็ครบหนึ่งร้อยคนของรอบแรกพอดี

แน่นอนว่าฝูเฮยหลงอยู่ในรอบแรก!

เมื่อเสนาบดีกรมพิธีการหรือท่านปู่ของตระกูลไช่ให้สัญญาณ เด็กทั้งหลายก็หยิบของมีคมตรงหน้าตนขึ้นมาแล้วกรีดไปที่ตำแหน่งชีพจรตรงข้อมือ ยื่นมือไปที่ศิลาให้เลือดและแผลแนบไปกับเนื้อสัมผัสนั้น

เวลาผ่านไปห้าลมหายใจแสงนานาสีก็เกิดกับศิลาที่ได้ดื่มกินเลือด

ไม่นานหลังจากนั้นก็ปรากฏปานสัญลักษณ์ประจำธาตุของผู้ที่เพิ่งเสียเลือดบนข้อมือ

รอยปานนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อฝึกปรือพลังธาตุได้ในระดับสามขึ้นไปแล้วเท่านั้น

เมื่อปรากฏปานสัญลักษณ์ประจำธาตุขึ้นแล้ว ทั้งสิบคนก็เดินออกมาเพื่อให้สิบคนหลังก้าวไปที่เดิมของตน เด็กสาวตระกูลไช่ทั้งสามที่อยู่ในสิบคนนี้ก็เดินเข้ามาแทนที่

ความตื่นเต้นที่อีกนิดจะได้ใช้พลังธาตุทำให้ไช่เซียงฮวาตื่นเต้นจนควบคุมจังหวะหัวใจไม่ได้ ในใจนางคิด…

สาบานด้วยเกียรติของนักกีฬาเลยว่าตอนแข่งกีฑาชิงแชมป์โลกยังไม่เกร็งขนาดนี้

เสียงพ่นลมหายใจไม่หนักไม่เบาของไช่เซียงฮวาทำให้ไช่ฮั่วฮวาที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มเยาะ

“ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกน้องรอง ถึงอย่างไรผลที่ออกมามันก็คงไม่เกินที่พี่ใหญ่คาดไว้นักหรอก”

ปากพูดเหน็บแนมไช่เซียงฮวา แต่สายตาเลื่อนไปจิกกัดไช่ปิงฮวา

คนที่โดนจิกกัดทางสายตาก็ได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์อันคุกรุนของตัวเองไว้ มิได้โต้ตอบกลับไป

ไม่นานจากนั้นก็มีสัญญาณให้ลงมือทดสอบเลือด

ไช่เซียงฮวาลงมือหยิบกริชเงินที่อยู่ตรงหน้า กลั้นใจปาดตรงชีพจรแล้วแนบไปกับศิลา

ไม่เกินห้าลมหายใจเข้าออกนางก็รู้สึกร้อนตรงตำแหน่งแผล พอแสงจากศิลาในตำแหน่งที่นางแนบเลือดดับไปแล้วก็เอาแขนออกมาแล้วกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมบนอัฒจันทร์เพื่อที่จะได้ให้คนอื่นทดสอบต่อ

เมื่อกลับมานั่งที่เดิมแล้วไช่เซียงฮวาก็พิศมองไปที่ข้อมือของตนที่มีสีน้ำตาลไหม้ปรากฏอยู่พร้อมกับดอกไม้สีฟ้าที่ค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ

ในใจนางคิด…ดอกไม้นี่คืออันใดกัน หรือจะเป็นพลังธาตุพิเศษ

“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกน้องรอง ถึงจะเป็นเพียงธาตุดินธรรมดา ๆ แต่หากตั้งใจฝึกสักหน่อยก็สามารถเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้”

ไช่ฮั่วฮวากล่าวปลอบใจน้องสาวแต่กลับยกข้อมือให้ทุกคนเห็นสัญลักษณ์บนข้อมือตนที่มีสายฟ้าและสีแดงชัดเจน สองพลังธาตุในคนเดียวกันเช่นนี้นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์

ทว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เซียงฮวาแปลกใจเท่ากับ…

ธาตุดินธรรมดา ๆ เช่นนั้นหรือ อย่าบอกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่เห็นดอกไม้บนข้อมือข้า

คนที่ไช่ฮั่วฮวาอยากเยาะเย้ยที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน

นางหันไปมองน้องสามปิงฮวาก็เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าพร้อมกับลูบที่ข้อมือของตนซึ่งแผลสมานแล้วหลังจากพลังธาตุได้ถูกปลุกขึ้นมา

“หึ! สีฟ้าธาตุน้ำ!!”

“ธาตุน้ำแล้วอย่างไรเจ้าคะ” ไช่ปิงฮวาถามเสียงเบา

“ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ บุตรสาวฮูหยินใหญ่อย่างไรก็เหนือกว่าบุตรสาวอนุ”

ไช่ฮั่วฮวาเชิดหน้าพร้อมใช้สายตามองด้วยความเหนือกว่า เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ปิงฮวาก็ทำได้เพียงแค่…

“เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ มิอาจหาญตีตนเสมอพี่หญิงใหญ่ได้” น้ำตาคลอเบ้า ตีหน้าเศร้าแล้วก้มหน้าลงต่ำ

ไช่เซียงฮวาดึงตัวเองมาจากโลกส่วนตัว นางไม่อยากให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้จึงรีบแก้ไขสถานการณ์

“พี่หญิงใหญ่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เป็นเกียรติให้แก่ตระกูลเรายิ่งนัก”

ไช่เซียงฮวาหันไปทางซ้ายมองด้วยความเคารพเทิดทูน จากนั้นก็หันไปมองทางขวา ชูกำปั้นให้กำลังใจและปลุกอารมณ์ไปในคราวเดียวกัน

“น้องสามอย่าเศร้าไป เรามาตั้งใจฝึกซ้อมด้วยกัน”

เหตุใดจึงรู้สึกราวกับโดนตบหน้า ด่าปิงฮวาแต่กระทบถึงข้าเต็ม ๆ ฮั่วฮวายายเด็กแสบ
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 76

    บทที่ ๔๕ ศึกแห่งลงกา “คิดว่าแน่จริงก็เข้ามา อยากให้ดาบของข้าดื่มเลือดชั่ว ๆ ของเจ้าก็เข้ามา!” น้ำเสียงบ่งชัดถึงความไม่เป็นมิตรพร้อมกับดาบที่ชี้ไปยังฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวจุดชนวนให้นางผู้นั้นเงื้อดาบขึ้นมาตั้งฉาก พร้อมกับที่มืออีกข้างแสดงท่าทางรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ “ก็เอาสิ! ดาบของข้าก็โหยหาเลือดหัวเจ

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 75

    อาจารย์หลิวอี้บอกท่าต่อไป กวาดสายตามองทุกคู่ หากคู่ใดไม่ได้มาตรฐานตามที่นางต้องการก็จะช่วยชี้แนะ เมื่อปรับจนดีขึ้นแล้วก็ให้ทำตั้งแต่ท่าแรกให้ดูอีกครั้ง ใบหน้างดงามสมวัยพยักหน้ารับเบา ๆ จนกระทั่งกวาดตามามองเซียงฮวาแล้วเห็นไหล่สั่นจึงเดินเข้ามาถามด้วยความใส่ใจ “เซียงฮวา อาจารย์หลิวมา” เฮยหลงกล่าว

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 74

    ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังอาจารย์หลิวอี้ที่แนะนำตนเองว่าเป็นอาจารย์สอนศาสตร์แห่งวัฒนธรรมและงานบ้านงานเรือนของสตรี ทำเอาบุรุษที่มาร่วมเรียนด้วยแอบหวั่นใจว่าตนจะได้เรียนงานบ้านงานเรือนด้วยหรือไม่ “ทั้งสี่แคว้นมีธรรมเนียมคารวะที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีเรื่องยิบย่อยที่แตกต่างกันออกไปอีกหลายแขนง อย่างเช่นวันน

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 73

    บทที่ ๔๔ คนที่สนิทใจที่สุด ศิษย์ปีหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องอาหาร มารยาทบนโต๊ะอาหารที่ทางบ้านอบรมมาว่าเลี่ยงการสนทนาบนโต๊ะอาหารถูกลืมเลือนสิ้นแล้ว เพราะศิษย์ปีหนึ่งทั้งหลายกำลังสนทนาเรื่องภารกิจของเมื่อวาน “ฟ้าผ่าในมิติที่เจ้าอยู่แล้วอย่างไรต่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงถามอย่างตื่นเต้น แววตาแฝงความสมใจอย่

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 72

    ถูหลงเปาเสนอความคิด ทว่าฟู่เหยียนชิงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกเจ้าอยู่ตรงนี้เถอะ เผื่อจะมีกลเม็ดใดซ่อนไว้” สิ้นคำเขาก็เดินเข้าไปใกล้รูปปั้นเสือใช้วิชายุทธ์ปีนป่ายขึ้นไปเนื่องจากรูปปั้นไม่ได้สูงเกินไป เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถขึ้นไปเหยียบบนหลังเสือได้ก่อนที่จะหงายหลังลงมาในไม่กี่ลมหายใจต่อมาเมื่อเจอล

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 71

    บทที่ ๔๓ ใครว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก “กรี๊ด” เปรี้ยง! เสียงกรี๊ดของสตรีระงม หนึ่งในนั้นคือเซียงฮวาด้วย มือเรียวปิดหูตัวเองไว้ สีหน้าแตกตื่นเป็นอย่างมาก “เพิ่งเหยียบเท้าลงพื้นก็ทักทายกันด้วยเสียงฟ้าผ่าเลยหรือ แรงไปหรือไม่คุณน้า” “เซียงฮวา เป็นอันใดหรือไม่” เฮยหลงวิ่งเข้ามาหาเซียงฮวาด้วยสีหน้า

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status