แชร์

บุปผาเยียวยาใจ
บุปผาเยียวยาใจ
ผู้แต่ง: ซูเมี่ยวหลิง

บทที่ 1

ผู้เขียน: ซูเมี่ยวหลิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-26 14:40:09

บทที่ ๑

เหตุใดรู้สึกราวกับโดนตบหน้า

ณ แคว้นฝูหนึ่งในสี่แคว้นใหญ่อันได้แก่ ฝู เหลียง จิน จู กำลังอยู่ในช่วงที่คึกคักที่สุดแห่งปี

เนื่องจากในวันนี้ของทุกปีจะมีการประกอบพิธีที่สำคัญของเด็กชายหญิงในวัย 8 หนาว

นั่นคือการตรวจสอบพลังธาตุ อันเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของเด็ก ๆ ทั้งหลายในอนาคต

ในเมืองหลวงแคว้นฝูยามนี้ ฝูงชนเนืองแน่น เพราะทุกคนมาร่วมส่งกำลังใจให้แก่บุตรหลานตน โรงเตี๊ยมมากมายต่างถูกจับจอง ลูกค้าตบเท้าเข้าออก มาใช้บริการมากมายจนเถ้าแก่ร้านยิ้มหน้าบาน

หากถามว่าเหตุใดปีนี้ถึงได้คึกคักกว่าทุกปี

คำตอบคือปีนี้ต่างจากทุกปีในด้านของ ‘โอกาส’

จากแต่เดิมถูกจำกัดสิทธิ์การเข้าตรวจพลังธาตุได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานขุนนางและลูกหลานพ่อค้าอันมีจะกินเท่านั้น ชาวบ้านตาดำ ๆ แม้จะฝันก็ยังอาจเอื้อมเกิน

ด้วยเหตุนี้วีรบุรุษของลูกหลานชาวบ้านอย่างไท่จื่อฝูจินหลงในวัย 11 ชันษาที่ทรงเล็งเห็นถึงความต่างนี้จึงได้ยื่นฎีกาถวายแด่ฝูหวงตี้ให้ทรงพิจารณาถึงผลดีผลได้ของปวงประชา เนื้อความในฎีกาคือ…

“ควรแล้วหรือที่จะสนเพียงฐานันดรจนละเลยความสามารถอันแท้จริง ในหมู่มวลผกาที่เหาะเวหา อยู่ใต้ฟ้าบนดินนี้ อาจจะซ่อนหงษารอวันทยานโผลบินอยู่ก็เป็นได้”

เนื้อความในสารถูกเอ่ยถึงโดยเสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่ง กล่าวขึ้นภายในรถม้าที่เงียบสนิท ขัดกับบรรยากาศข้างนอกรถม้าที่วุ่นวาย เสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่

“เพราะฎีกาฉบับนั้นเลยแท้ ๆ ที่ทำให้ชนชั้นต่ำพวกนี้ มีสิทธิ์มาร่วมพื้นที่หายใจเดียวกันกับข้า”

กล่าวประโยคนี้จบไช่ฮั่วฮวาก็ปรายตาไปทางเด็กสาวที่มีใบหน้าน่ารักคนหนึ่งซึ่งนั่งตรงข้ามกับตน

“พี่หญิงใหญ่กล่าวเช่นนี้จะไม่เป็นการหลบหลู่ไท่จื่อผู้บุกเบิกโอกาสนี้ให้กับคนที่ด้อยหรือเจ้าคะ"

ไช่ปิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย แต่แววตาที่หลุบลงกลับแข็งกร้าวเกินกว่าที่เด็กวัย 8 หนาวพึงจะมี

พรู~มันเริ่มแล้วสินะ

เด็กสาวอีกหนึ่งคนนามว่าไช่เซียงฮวาซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสงครามน้ำลายที่ได้เริ่มขึ้นแล้วสำหรับวันนี้ กำลังไว้อาลัยให้กับหูของตนเองอยู่

สี่ปีแรกของชีวิตนี้ ก็คิดว่าช่างสงบดีแท้ ๆ ชีวิตเด็กที่นอกจากกินแล้วนอนก็ไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่มีเรื่องให้ปวดหัว รำคาญใจเหมือนภพก่อนที่ต้องตายตั้งแต่ยังสาวและยังสวย คิดไม่ถึงเลยว่าสี่ปีให้หลังต่อจากนี้ของนางจะไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก

พี่สาวน้องสาวมหาภัยโดยแท้

สิ้นความคิดนี้ไช่เซียงฮวาก็แอบเหลือบตามองซ้ายทีขวาที ดูทิศทางลมเพื่อที่จะได้ตามสถานการณ์ให้ทัน

พูดถึงพี่สาวน้องสาวของไช่เซียงฮวาทั้งในภพที่แล้วและในภพปัจจุบัน…หาได้มีคำว่าพอดีไม่!

คนหนึ่งหยินคนหนึ่งหยาง คนหนึ่งชอบแสดงเป็นนางร้าย อีกคนชอบคงความเป็นนางเอก ภาษาจากภพที่นางจากมาเรียกว่า ‘คีพคาแร็คเตอร์’

ย้อนไปจุดผกผันของชีวิต ไช่เซียงฮวาสิ้นชีพจากยุคสองพัน ชีวิตเป็นเหมือนนิยายออนไลน์ที่เคยอ่าน มาเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณเป็นคุณหนูจากตระกูลที่ร่ำรวย

แต่ความร่ำรวยไม่ได้ทำให้นางตื่นเต้นเท่ากับพลังธาตุ วันนี้นางตื่นเต้นมาก เพราะจะได้ทราบว่าตนมีพลังธาตุใด นางอยู่ในโลกของตัวเอง คาดเดาพลังธาตุของตัวเองโดยไม่สนใจการโต้เถียงระหว่างไช่ฮั่วฮวากับไช่ปิงฮวา

จนกระทั่งคนบังคนรถม้าเอ่ยว่า…

“หยุด~”

การโต้เถียงนี้ถึงได้หยุดลง!

“เอาล่ะพี่สาวน้องสาว ถึงที่หมายแล้วก็อย่าได้ชักช้าให้เสียเวลาเลย”

ไช่เซียงฮวากล่าวชวนอย่างร่าเริง เรียกสติของทั้งสองคนให้กลับเข้าที่เข้าทาง

นางร้ายไช่ฮั่วฮวาจะยอมจบการโต้เถียงโดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ไม่ได้ นางกล่าวว่า “ฝากไว้ก่อนนางคนชั้นต่ำ” แล้วลงจากรถม้าไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

ส่วนนางเอกอย่างไช่ปิงฮวาจะโต้ตอบสิ่งใดได้ นอกจากถอนหายใจเบา ๆ แล้วลงรถม้าเป็นคนสุดท้าย

เมื่อสาวน้อยทั้งสามลงจากรถม้าแล้วก็พากันเดินไปยังรถม้าอีกหนึ่งคันที่เป็นของหลินเหม่ยลี่ แม่ใหญ่ของทั้งสามที่นำทัพเด็กบ้านสกุลไช่มาร่วมพิธีในครั้งนี้

ส่วนนายท่านรองของบ้าน ไช่ฝูลี่ผู้เป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการก็ไม่สะดวกจะพาลูก ๆ ของเขาเข้างานด้วยตนเอง เนื่องจากมีภาระหน้าที่ในการจัดงานนี้โดยตรงจึงทำได้เพียงส่งตัวแทนไปรับ

“...คนของบิดาพวกเจ้ามารับแล้ว แม่ใหญ่จะรอพวกเจ้าอยู่แถวนี้แหละ ไปเถิด”

หลินเหม่ยลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีเมตตา มาดแม่เลี้ยงใจร้ายถูกเก็บไว้ทันทีเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ลูกจะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” ไช่ฮั่วฮวาพูดกับมารดาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“แม่เชื่อเจ้า ดูแลน้อง ๆ ให้ดี อย่าให้พวกนางกระทำการอันใดให้จวนตระกูลไช่ของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอันขาด”

“เจ้าค่ะท่านแม่” รับคำมารดาแล้วไช่ฮั่วฮวาก็มองน้องสาวของตนเองอย่างเหนือกว่า

ใบหน้าเล็กที่แสดงความร้ายกาจออกมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเรียกความเอ็นดูจากไช่เซียงฮวาได้ไม่น้อย

“ไปเถอะ”

“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”

ทั้งสามคารวะหลินเหม่ยลี่แล้วเดินตามคนของบิดาเข้าไปนั่งตามอัฒจันทร์เพื่อรอเวลาเริ่มพิธี

เมื่อทั้งสามนั่งตามที่ของตนแล้วก็มองไปรอบ ๆ อย่างให้ความสนใจ

เพราะฎีกาฉบับที่ไท่จื่อยื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือเด็กในวัยเดียวกันแทบจะล้นอัฒจันทร์ที่ทางกรมพิธีการได้จัดเตรียมไว้

ภายในลานพิธีนี้ถือได้ว่ากว้างขวางพอจะบรรจุเด็กวัยแปดหนาวทั้งแคว้นได้ อย่างวันนี้มีราวหมื่นคน ด้วยจำนวนคนที่มากเช่นนี้ ฝูหวงตี้จึงได้เสด็จไปอัญเชิญศิลาตรวจสอบพลังธาตุด้วยองค์เอง

ไช่เซียงฮวาจับจ้องไปยังศิลาตรวจสอบพลังธาตุ ศิลาก้อนนี้ไม่เพียงทำให้รู้พลังธาตุในกายเท่านั้น แต่ยังสามารถปลุกพลังธาตุในตัวให้เกิดขึ้นด้วย

พูดถึงเด็กสาวจวนตระกูลไช่อย่างละเอียด

แม้จะมีการแบ่งเรียกพี่ใหญ่ พี่รองและน้องสามก็จริง แต่ทั้งหมดล้วนเกิดในปีเดียวกันทั้งสิ้น จะต่างกันก็เพียงแค่คลอดก่อนคลอดทีหลัง

ไช่ฝูลี่ บิดาของพวกนางเป็นบุรุษที่ฉลาดและพราวเสน่ห์ สอบเข้ารับราชการได้ในอันดับที่ดี ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถขึ้นเป็นรองเสนาบดีตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นได้

ท่านปู่ไช่ซิ๋งชานที่ได้ทาบทามบุตรสาวกับฝั่งเสนาบดีกรมกลาโหมเอาไว้แล้วจึงให้ไช่ฝูลี่แต่งหลินเหม่ยลี่ที่เป็นบุตรของฮูหยินใหญ่เจ้ากรมกลาโหมเข้าจวน

ทว่าแต่งฮูหยินใหญ่เข้าจวนได้ไม่กี่ปี ท่านย่าของพวกนางที่สิ้นไปแล้วเมื่อสามปีก่อนก็ได้ทักท้วงเรื่องทายาท เนื่องจากหลินเหม่ยลี่ไม่ตั้งครรภ์เสียทีจึงอยากให้บุตรชายรับฮูหยินเพิ่ม

เท่ากับว่าฮูหยินใหญ่เป็นสะใภ้คนโปรดของปู่ ฮูหยินรองจากจวนเจ้ากรมพระคลังเป็นสะใภ้คนโปรดของย่า

แต่แล้วอย่างไร หากคนโปรดของตนยังไม่มี!

ไม่กี่ปีต่อจากนั้นไช่ฝูลี่ก็ได้แต่งบุตรสาวพ่อค้าเกลือผู้ร่ำรวยเข้าจวน

เรื่องนี้เรียกว่าสวรรค์ลิขิตได้เต็มปาก ฮูหยินทั้งสามของเขาตั้งครรภ์ตอนที่ไช่ฝูลี่อายุ 28 หนาว

คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง คุณหนูสามจึงอายุเท่ากัน ต่างเพียงเดือนเกิดเท่านั้น!

ภายในลานกว้างเริ่มเข้าสู่ความเงียบสงบเมื่อเห็นองครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาภายใน เป็นสัญญาณบอกว่าผู้สูงศักดิ์กำลังเสด็จมาเยือนที่นี่

เวลาไม่กี่ลำหายใจเข้าออก ขันทีที่สวมหมวกทรงสูงก็ขานการมาของผู้เป็นใหญ่ทั้งสาม

“หวงตี้/หวงโฮ่ว/ไท่จื่อเสด็จ~”

ทุกคนถวายพระพรทั้งสามโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงเล็กใสของเด็ก ๆ เมื่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งก็สามารถสร้างความอึกทึกให้กับที่นี่ เกิดเป็นความขลังที่แม้แต่ฝูหวงตี้ยังอดใจสั่นไม่ได้

มือหนาใต้แขนฉลองพระองค์มังกรปักดิ้นทองสะบัดหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่ฟังดูน่าเกรงขาม

“ไม่ต้องมากพิธี…เริ่มงานได้!”

กฎของราชวงศ์คือห้ามมองพระพักตร์ ไช่เซียงฮวาวางสายตาไปที่ศิลาไม่ว่อกแว่ก ทำตามกฎอย่างเคร่งครัด

พิธีการในการตรวจสอบพลังธาตุมิมีอันใดยุ่งยากเนื่องจากมีคนค่อนข้างเยอะ ฝูหวงตี้จึงอยากให้รวบรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ทำตามวิธีเดิมที่เรียกขานทีละชื่อแล้วหยดเลือดบนศิลา แต่ให้ทำการตรวจสอบเป็นรอบ หยดเลือดรอบละหนึ่งร้อยคน เว้นการขานชื่อ

เมื่อผลออกมาว่าเป็นพลังธาตุใด ก็จะปรากฏอยู่ตรงข้อมือเหนือชีพจรของคนนั้น ๆ

ในความคิดของไช่เซียงฮวา…

ต่อให้ประกาศว่าเด็ก 8 หนาวทุกคนของแคว้นฝูสามารถเข้าทดสอบพลังธาตุได้ทุกคน เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้น้อยลง

แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ทั้งหมด เพราะแต่ละรอบที่ต้องเข้ารับการตรวจสอบนั้นถูกจัดให้นั่งแยกไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

ไช่เซียงฮวาและพี่สาวน้องสาวที่อยู่ในรอบแรกล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางคนสำคัญรวมไว้ในรอบเดียวกัน

“นั่น ๆ เจ้าเห็นฝั่งตรงข้ามพวกเราหรือไม่ ที่ทรงสวมฉลองพระองค์สีดำสนิท เขาคือองค์ชายรองฝูเฮยหลง”

ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้ามาในลานพิธี ไช่เซียงฮวาที่สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่หูทำงานอยู่ตลอดเวลาก็แอบได้ยินประโยคซุบซิบเมื่อครู่ พลันคิดขึ้นมาได้ว่า…

เราลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าคนหน้านิ่งก็ต้องเข้ารับการทดสอบพลังด้วย

องค์ชายรองฝูเฮยหลง สหายสูงศักดิ์เพียงคนเดียวของไช่เซียงฮวาที่ชอบทำตัวเป็นพี่ชายของผู้อื่นจนเซียงฮวาหลงคิดไปแล้วว่าตนเป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ

ไช่เซียงฮวามองหาเจ้าของหัวข้อสนทนา เสียเวลาในการมองหาไม่นานก็พบเข้ากับใบหน้านิ่งเย็นชาเกินอายุของเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่นางพอดี

นางลอบยักคิ้วใส่เขา คิดเอาเองว่าไม่มีใครมองเห็น แต่ก็ไม่พ้นสายพระเนตรของเจ้าครองแคว้นซึ่งจดจ่อไปที่พระโอรสของตนพอดี

“กงกง คุณหนูน้อยคนนั้นจากจวนใดกัน” ฝูหวงตี้ตรัสกับกงกงเบา ๆ

ขันทีประจำพระองค์ที่สายตาจับจ้องไปยังจุดนั้นอยู่แล้วก็ตอบคำถามได้ทันที

“ทูลฝ่าบาท เป็นคุณหนูรองจวนรองเสนาบดีกรมพิธีการพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ ที่แท้ก็หลานสาวของอาจารย์เจ้ารอง”

ฝูหวงตี้พยักหน้าเชิงเข้าใจ พระเนตรแพรวพราวอย่างคนนึกสนุก แต่เมื่อพิธีตรงหน้ากำลังจะเริ่มจึงหยุดความคิดที่กำลังโลดแล่น สนใจเพียงเหตุการณ์กลางตรงหน้า

ที่กลางลานพิธี เมื่อรอบแรกมีคนครบหนึ่งร้อยคนตามที่กำหนดไว้แล้ว นางกำนัลจำนวนสิบคนก็เดินเข้ามาจัดแถวให้สิบคนแรกยืนล้อมศิลาตรวจพลังธาตุไว้ โดยยืนล้อมอย่างนี้อีกจำนวนเก้าวงก็ครบหนึ่งร้อยคนของรอบแรกพอดี

แน่นอนว่าฝูเฮยหลงอยู่ในรอบแรก!

เมื่อเสนาบดีกรมพิธีการหรือท่านปู่ของตระกูลไช่ให้สัญญาณ เด็กทั้งหลายก็หยิบของมีคมตรงหน้าตนขึ้นมาแล้วกรีดไปที่ตำแหน่งชีพจรตรงข้อมือ ยื่นมือไปที่ศิลาให้เลือดและแผลแนบไปกับเนื้อสัมผัสนั้น

เวลาผ่านไปห้าลมหายใจแสงนานาสีก็เกิดกับศิลาที่ได้ดื่มกินเลือด

ไม่นานหลังจากนั้นก็ปรากฏปานสัญลักษณ์ประจำธาตุของผู้ที่เพิ่งเสียเลือดบนข้อมือ

รอยปานนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อฝึกปรือพลังธาตุได้ในระดับสามขึ้นไปแล้วเท่านั้น

เมื่อปรากฏปานสัญลักษณ์ประจำธาตุขึ้นแล้ว ทั้งสิบคนก็เดินออกมาเพื่อให้สิบคนหลังก้าวไปที่เดิมของตน เด็กสาวตระกูลไช่ทั้งสามที่อยู่ในสิบคนนี้ก็เดินเข้ามาแทนที่

ความตื่นเต้นที่อีกนิดจะได้ใช้พลังธาตุทำให้ไช่เซียงฮวาตื่นเต้นจนควบคุมจังหวะหัวใจไม่ได้ ในใจนางคิด…

สาบานด้วยเกียรติของนักกีฬาเลยว่าตอนแข่งกีฑาชิงแชมป์โลกยังไม่เกร็งขนาดนี้

เสียงพ่นลมหายใจไม่หนักไม่เบาของไช่เซียงฮวาทำให้ไช่ฮั่วฮวาที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มเยาะ

“ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกน้องรอง ถึงอย่างไรผลที่ออกมามันก็คงไม่เกินที่พี่ใหญ่คาดไว้นักหรอก”

ปากพูดเหน็บแนมไช่เซียงฮวา แต่สายตาเลื่อนไปจิกกัดไช่ปิงฮวา

คนที่โดนจิกกัดทางสายตาก็ได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์อันคุกรุนของตัวเองไว้ มิได้โต้ตอบกลับไป

ไม่นานจากนั้นก็มีสัญญาณให้ลงมือทดสอบเลือด

ไช่เซียงฮวาลงมือหยิบกริชเงินที่อยู่ตรงหน้า กลั้นใจปาดตรงชีพจรแล้วแนบไปกับศิลา

ไม่เกินห้าลมหายใจเข้าออกนางก็รู้สึกร้อนตรงตำแหน่งแผล พอแสงจากศิลาในตำแหน่งที่นางแนบเลือดดับไปแล้วก็เอาแขนออกมาแล้วกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมบนอัฒจันทร์เพื่อที่จะได้ให้คนอื่นทดสอบต่อ

เมื่อกลับมานั่งที่เดิมแล้วไช่เซียงฮวาก็พิศมองไปที่ข้อมือของตนที่มีสีน้ำตาลไหม้ปรากฏอยู่พร้อมกับดอกไม้สีฟ้าที่ค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ

ในใจนางคิด…ดอกไม้นี่คืออันใดกัน หรือจะเป็นพลังธาตุพิเศษ

“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกน้องรอง ถึงจะเป็นเพียงธาตุดินธรรมดา ๆ แต่หากตั้งใจฝึกสักหน่อยก็สามารถเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้”

ไช่ฮั่วฮวากล่าวปลอบใจน้องสาวแต่กลับยกข้อมือให้ทุกคนเห็นสัญลักษณ์บนข้อมือตนที่มีสายฟ้าและสีแดงชัดเจน สองพลังธาตุในคนเดียวกันเช่นนี้นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์

ทว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เซียงฮวาแปลกใจเท่ากับ…

ธาตุดินธรรมดา ๆ เช่นนั้นหรือ อย่าบอกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่เห็นดอกไม้บนข้อมือข้า

คนที่ไช่ฮั่วฮวาอยากเยาะเย้ยที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน

นางหันไปมองน้องสามปิงฮวาก็เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าพร้อมกับลูบที่ข้อมือของตนซึ่งแผลสมานแล้วหลังจากพลังธาตุได้ถูกปลุกขึ้นมา

“หึ! สีฟ้าธาตุน้ำ!!”

“ธาตุน้ำแล้วอย่างไรเจ้าคะ” ไช่ปิงฮวาถามเสียงเบา

“ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ บุตรสาวฮูหยินใหญ่อย่างไรก็เหนือกว่าบุตรสาวอนุ”

ไช่ฮั่วฮวาเชิดหน้าพร้อมใช้สายตามองด้วยความเหนือกว่า เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ปิงฮวาก็ทำได้เพียงแค่…

“เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ มิอาจหาญตีตนเสมอพี่หญิงใหญ่ได้” น้ำตาคลอเบ้า ตีหน้าเศร้าแล้วก้มหน้าลงต่ำ

ไช่เซียงฮวาดึงตัวเองมาจากโลกส่วนตัว นางไม่อยากให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้จึงรีบแก้ไขสถานการณ์

“พี่หญิงใหญ่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เป็นเกียรติให้แก่ตระกูลเรายิ่งนัก”

ไช่เซียงฮวาหันไปทางซ้ายมองด้วยความเคารพเทิดทูน จากนั้นก็หันไปมองทางขวา ชูกำปั้นให้กำลังใจและปลุกอารมณ์ไปในคราวเดียวกัน

“น้องสามอย่าเศร้าไป เรามาตั้งใจฝึกซ้อมด้วยกัน”

เหตุใดจึงรู้สึกราวกับโดนตบหน้า ด่าปิงฮวาแต่กระทบถึงข้าเต็ม ๆ ฮั่วฮวายายเด็กแสบ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 233

    “เรียกว่าลับหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่ว่าครั้งนี้ข้าจะกำชับพวกเขาไม่ให้แพร่งพรายเรื่องของเราออกไปดีหรือไม่”หลงฮ้าวหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที จากท่าทีระแวงกลายเป็นปั้นปึ่งแทน“อ้อ แท้จริงแล้วท่านก็อายที่จะมีตำนานเรื่องเล่ากับข้า เซียงฮวากับหลงฮ้าว ไม่ดีตรงไหนหรือ ข้าเสียใจนะ”เป็นอีกครั้งที่เขาทำให้ข้าอ้าปา

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 232

    บทที่ ๑๕๒รักนิรันดร์พิธีรับตำแหน่งเทพบุปผาของข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการอย่างที่ใครคิดไว้ ช่วงเช้าเข้ากล่าวคำสาบานต่อหน้าเทียนตี้และเทพเซียนชั้นสูงทั้งหลาย ตอนบ่ายกลับมาเลี้ยงฉลองที่แดนบุปผาไปจนถึงช่วงหัวค่ำ ไร้แววหลงฮ้าวเข้าร่วมแม้ข้าจะคิดไว้แล้วว่าเขาคงไม่เข้าร่วมงานด้วย แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 231

    หวงผิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ย้ำว่า ‘เล็กน้อย’ ไม่นานก็กลับมานิ่งไร้อารมณ์เช่นเดิม“หน้าตาที่คล้ายกับสามีของเพื่อนนี่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นบาปในจิตใจ ขอถามท่านเรื่องจินเกาฉายได้หรือไม่ ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ใดแล้วเจ้าคะ”“เขายังไม่บรรลุระดับสิบ เดิมทีก็ไม่สามารถขึ้นมาเป็นเทพฝึกหัดได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 230

    บทที่ ๑๕๑กุหลาบดำสระสัตบงกทั้งเก้าเกิดขึ้นมาได้เพราะพลังบริสุทธิ์จากเหล่าเทพเซียนในแดนบุปผาที่เทพบุปผาทุกรุ่นสะสมมาตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งแต่เดิมสัตตบงกชควรให้ผลเป็นน้ำอมฤต ทุกห้าพันปีจะมีเพียงหยดเดียวเท่านั้น เป็นไปได้หรือที่สิ่งกำเนิดใหม่จะเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณแทนมิหนำซ้ำวิญญาณที่ว่านั้นยังค

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 229

    จื่อเจี่ยนเฉิงเองก็อึกอักท่าทางแปลกไป ดูท่าเรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้เขาคงรู้สึกว่ามันเกินไปที่จะพูด“มันกระดากปากจนพูดยากถึงเพียงนั้น!”เขาพยักหน้าตอบ ข้าจึงลองคาดเดาคำตอบอยู่ในใจ เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้แล้ว หรือว่า…“พวกเขาเป็นแบบเว่ยอู๋เซียนกับหลานวั่งจีหรือไม่”“ใครอีกล่ะนั่น/พวกเขาเ

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ 228

    “ข้ามาให้กำลังใจเจ้า เริ่มรู้สึกหรือยังว่าหากเลือกข้าตั้งแต่แรก เจ้าก็จะไม่เป็นเช่นนี้”รอยยิ้มสุภาพแต่สายตาจิดกัดของเขาทำให้ข้าแอบกำหมัดไว้แน่น“เยาะเย้ยข้าหรือเจ้าคะ”“ข้าพูดความจริง”เพราะนี่คือความจริงข้าจึงถอนหายใจยาว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ยังมั่นใจว่าตนเลือกไม่ผิด“ทำให้ท่านเทพต้องผิดหวังแล

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status