บทที่ ๓
เศษแก้วก็ดีเศษหน้าก็ดี
ณ ดินแดนบุปผาสวรรค์ตำหนักที่โอ่อ่าที่สุดมีร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งกำลังใช้ดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่ภาพของหนึ่งเทพวัยกลางคนเด็กสาวตัวน้อย
สายตาของนางนั้นไม่ได้ห่างไปจากเด็กสาวแม้แต่เพียงลมหายใจเดียว สายตาที่รักใคร่โอนโยนยิ่งกว่าบุปผาชนิดใดในดินแดนนี้ของนาง
ราวกับดอกไม้ทั้งดินแดนจะตอบรับไอละอองแห่งความสุขที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนางได้ เห็นได้จากที่องครักษ์หญิงหน้าตำหนักสัมผัสกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยมาจากฟากฟ้า แผ่กลิ่นหอมกำจายทั่วดินแดนบุปผา
องครักษ์หญิงทั้งสองหันหน้ามาสบตากัน กล่าวเสียงกระซิบ ใบหน้าติดรอยยิ้มยินดี
“ท่านเทพบุปผากำลังมีความสุข”
“นานแล้วที่ไม่เห็นท่านเทพมีความสุขเช่นนี้”
“นั่นสิ! เรื่องดีอันใดกัน”
การสนทนาของทั้งคู่หยุดอยู่เพียงเท่านี้เมื่อเห็นแสงสว่างจากฟากฟ้ากำลังเคลื่อนตัวมาที่ตำหนักใหญ่
“คารวะท่านเทพแห่งดวงชะตา”
พวกนางทำความเคารพผู้มาใหม่โดยพร้อมเพรียงกัน ผู้มาเยือนเองก็เข้าเรื่องทันที
“ข้ามาขอพบท่านเทพบุปผา”
ไม่รอให้องครักษ์เข้าไปรายงานก่อน เทพแห่งดวงชะตาก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านในทันที
ที่พูดว่า ‘มาขอพบ’ ก็ทำไปตามมารยาทเท่านั้น!
เทพบุปผาได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็วาดมือไปยังอากาศ กลีบดอกไม้สีชมพูเคลือบละอองทองก็ทำหน้าที่ตัดภาพของเด็กสาวผู้เป็นที่มาของความสุขนางออกไป
“เป็นอย่างไรบ้างเฟยหง ข้าทำดีหรือไม่”
เจ้าของนามยิ้มบาง
“ลำบากท่านแล้ว ซือมิ่ง”
“ลำบงลำบากอันใดกัน ข้ากลับรู้สึกว่าทำเพียงเท่านี้ ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
“ท่านก็รู้แก่ใจดีว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้ หวังเพียงว่าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน” กล่าวจบก็หลุบตาลงต่ำ ซ่อนความหนักใจเอาไว้
เทพแห่งดวงชะตาเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจ
“เจ้าควรจะวางใจได้แล้ว อีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ขอบคุณท่านยิ่งนัก”
“มิใช่เรื่องที่เกินกำลังข้าหรอก เหลือเวลาพักของข้าอีกเพียงเล็กน้อย ข้าจะขอไปที่ที่หนึ่งก่อน”
“ที่ใดกัน”
เทพแห่งดวงชะตาตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“ตำหนักเทพผู้คุมมิติ”
เห็นทีเขาจะไปสอบถามเรื่อง…ตงหัว ผอบแล้ว!
ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการ
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงจ้ำเท้าเดินของสาวน้อยสองคนเดินตัดผ่านสวนหลักของจวนเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น
“เร็วกว่านี้อีกเถิดอาเมี่ยว สายมากแล้ว”
ไช่เซียงฮวาหยุดขาเล็กสั้นรอคนข้างหลัง กล่าวเร่งสาวใช้คนสนิทที่ขายาวกว่าแท้ ๆ แต่กลับเดินช้ากว่า
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”
“เอาเถอะ ๆ ข้าผิดเองที่ตื่นสาย”
ด้วยกำลังเห่อกับตำราเล่มใหม่และพลังใหม่อยู่จึงมานอนเอาตอนค่อนแจ้ง เป็นเหตุให้เช้านี้ตื่นสายกว่าทุกวัน
“หวังว่าจะมีคนที่ช้ากว่าข้านะ”
สิ้นคำก็รีบจ้ำไปยังจุดหมายปลายทาง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็ถึงที่หมาย เห็นพี่หญิงใหญ่และน้องหญิงเล็กประจันหน้ากันอยู่ตรงทางเข้าเรือนใหญ่พอดี
“คารวะพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
พรึบ!
เหมือนข้าจะมาไม่ถูกเวลา
ไช่เซียงฮวาคิดในใจเมื่อสาวน้อยทั้งสองหันควับมามองหน้านางเป็นตาเดียว
“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์น้องสาม”
เป็นการยิ้มสวัสดีที่แห้งเหลือเกิน!
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะพี่รอง”
ไช่เซียงฮวายิ้มรับก่อนที่จะเดินตามหลังไช่ฮั่วฮวาที่สะบัดหน้าเข้าห้องอาหารไปก่อนใครโดยมีไช่ปิงฮวารั้งท้าย
เมื่อทั้งสามเข้ามายังห้องอาหารก็เห็นว่าผู้อาวุโสของบ้านนั่งประจำที่กันหมดแล้ว เหลือเพียงสามที่นั่งของคุณหนูประจำจวนเท่านั้นที่ยังว่างอยู่
“ชักจะเหลวไหลกันใหญ่แล้ว จะปล่อยให้ท่านปู่รอพวกเจ้าจนถึงพรุ่งนี้เลยหรือไม่”
ไช่ฝูลี่เอ่ยตำหนิบุตรสาวทั้งสามทันทีหลังจากที่พวกนางคารวะทุกคนในนี้เสร็จ ใบหน้าที่ยังคงความคมคายเรียบนิ่ง ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
เด็กสาวทั้งสามที่โดนตำหนิกันแต่เช้าพร้อมใจกันก้มหน้าชิดอกทันทีเมื่อท่านพ่อเริ่มดุแล้ว
“ยังไม่รีบกล่าวขออภัยอีก”
ฮูหยินใหญ่เอ่ยเร่งเร้าเสียงเข้มเพื่อที่จะได้ช่วยบุตรสาวไปในตัวด้วย
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านปู่” สามเสียงผสาน
เสนาบดีเฒ่าไม่อยากให้เรื่องไปกันใหญ่จึงบอกปัดให้เรื่องจบ ๆ ไป
“ทานเถอะ วันนี้ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทุกคนในตระกูลไช่ตอบรับ เริ่มลงมือรับมื้อเช้าที่พิเศษกว่าทุกวัน
มีไม่บ่อยนักที่ตระกูลไช่จะรับอาหารพร้อม ๆ กัน หากไม่มีเรื่องพิเศษก็จะทานที่เรือนส่วนตัว
วันนี้ที่รับประทานอาหารร่วมกัน ก็คงไม่พ้นเรื่องการตรวจสอบพลังธาตุของเมื่อวาน
บรรยากาศในห้องอาหารเงียบสงบ ทุกคนไม่สนทนาในเวลาอาหาร นี่คือกฎข้อหนึ่งที่ทุกคนต้องทำให้เป็นนิสัย ให้สมกับเป็นจวนของเจ้ากรมพิธีการ
ไช่ฮั่วฮวากับไช่ปิงฮวาจะทะเลาะกันหนัก ๆ ได้ก็ต่อเมื่อเสนาบดีและรองเสนาบดีไม่อยู่จวน
จานนี้ฮูหยินสาม จานนี้ก็ใช่
ไช่เซียงฮวาทานอาหารไปวิเคราะห์รสมือไป ในระหว่างที่ทานก็เหลือบไปมองคนที่ทำอาหาร สายตาของตงเฟยเฟยแทบจะไม่ละไปจากสามี
ไช่เซียงฮวาเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่า…ฮูหยินสามคิดจะมัดกระเพาะท่านพ่อด้วยรสมือแล้ว
ไช่เซียงฮวาเลิกให้ความสนใจอาหารที่ทำขึ้นเพื่อเอาใจคนอื่น นางยื่นตะเกียบไปคีบอาหารอีกจาน รสชาติคุ้นเคยทำให้นางดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
พอเงยหน้ามองคนที่ทำอาหารจานนี้ก็เห็นว่านางยกยิ้มรอตนก่อนอยู่แล้ว
ไช่เซียงฮวาอาศัยจังหวะที่ตนหยิบผ้ามาซับมุมปากยกนิ้วโป้งให้จางซิ่วลี่
จางซิ่วลี่ที่เห็นบุตรสาวเลือกคีบแต่กับข้าวที่ตนเป็นคนทำก็ให้รู้สึกสุขใจแต่เช้า คีบอาหารเข้าปากด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส เจริญอาหารยิ่งนัก
ปฏิกิริยาที่ปฏิบัติต่อกันของสองแม่ลูกสร้างความเอ็นดูในใจไช่ฝูลี่ยิ่งนัก แม้ใบหน้าคมคายจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาก็ตาม
แต่ใช่ว่าในใจจะไม่รู้สึก!
หลังจบมื้ออาหารยามเช้า เด็กสาวทั้งสามก็ถูกเรียกให้ไปพบกับนายท่านใหญ่ของตระกูลที่ห้องหนังสือ
“นี่คือตำราฝึกพลังธาตุพื้นฐาน ตระกูลเราสามารถรวบรวมเก็บไว้ในห้องหนังสือนี้ได้เท่านี้”
ไช่ซิ๋งช่านหยิบตำราฝึกพลังธาตุดิน น้ำและไฟให้หลานสาวเกือบคนละสิบเล่ม
ไช่เซียงฮวาหยิบของตนเองขึ้นมาเปิดดูทีละเล่ม ทำทีเป็นสนใจแต่แท้จริงแล้วกำลังโอดครวญ
เตรียมกระโถนไว้ให้ข้าที…อ้วกแน่!
“แต่เสียดายยิ่งที่ธาตุสายฟ้าของฮั่วเอ๋อร์หามาได้เพียงเท่านี้จริง ๆ”
“เท่านี้ก็เป็นพระคุณมากแล้วเจ้าค่ะท่านปู่”
กล่าวจบไช่ฮั่วฮวาก็ลงไปคุกเข่าขอบคุณท่านปู่เต็มพิธีการ ทำหลานสาวอีกสองคนคุกเข่ากันแทบไม่ทัน
ไช่เซียงฮวาคิดในใจ…
ข้าไม่อยากเป็นน้องแล้ว พี่ทำอะไรก็ต้องทำตาม เหตุใดข้าไม่เกิดเป็นคุณหนูใหญ่
“ตอนนี้พวกเจ้า 8 หนาวอีกเพียง 4 หนาวก็ต้องเข้าสำนักศึกษาแล้ว ปู่หวังว่าตำราพวกนี้จะช่วยเตรียมพื้นฐานให้พวกเจ้าไม่มากก็น้อย”
“เจ้าค่ะท่านปู่” ตอบรับเสียงผสาน
เมื่อเห็นว่าหลาน ๆ มีแววตาแห่งความมุ่งมั่น คนเป็นปู่ก็พยักหน้าให้อย่างพอใจ
“ส่วนอาจารย์สอนพลังธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ปู่ได้เชิญมาไว้ให้แล้ว ขาดแต่เพียงธาตุสายฟ้าเช่นเดิมที่ยังค่อนข้างหายาก แต่ปู่จะลองถามท่านอาของพวกเจ้าให้ พอจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์คนใดมีพลังธาตุสายฟ้าหรือไม่”
“อีกไม่กี่วันท่านอาก็จะกลับมาเยี่ยมจวนแล้ว”
“เป็นเช่นนั้น แต่พวกเจ้าอย่าลืมว่าตนเป็นคุณหนูทองพันชั่ง แม้ต้องฝึกพลังธาตุด้วย แต่ศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีก็ไม่ควรพร่อง”
“พวกเราจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวังเจ้าค่ะ"
และยังคงเป็นไช่ฮั่วฮวาคนเดิมที่ตอบรับท่านปู่
“ถึงพวกเจ้าจะเป็นสตรี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าปู่ค่อนข้างหวังกับพวกเจ้าไว้มาก”
ไช่เซียงฮวาไม่กล่าวสิ่งใดนอกจากยิ้ม หลุบตาลงต่ำเพราะไม่อยากให้ท่านปู่เห็นแววตา ในใจนางคิด…
ไม่คาดหวังเท่ากับไม่ผิดหวังนะเจ้าคะท่านปู่
ณ เรือนฮูหยินสาม
“ฮึก! ฮือ~”
“เจ้าจะโศกเศร้าเสียใจไปไย”
ตงเฟยเฟยเริ่มหงุดหงิดที่บุตรสาวร้องไห้อีกแล้ว เมื่อวานกว่านางจะปลอบใจได้ก็ใช้เวลาค่อนคืน วันนี้หลังจากกลับมาจากห้องหนังสือก็ยังร้องไห้อีก
เพราะเช่นนี้จึงถามอย่างใส่อารมณ์ไปนิดหนึ่ง!
“ฮึก! ก็ลูก ก็ลูก ฮือ~ลูกอิจฉานางจนคับอกไปหมดแล้วเจ้าค่ะ เหตุใดนางต้องได้ดีกว่าลูกไปทุกอย่าง”
ตงเฟยเฟยถอนหายใจ พยายามเอ่ยอย่างใจเย็น
“มีสองธาตุแล้วอย่างไร ท่านปู่เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่าตำรานั้นหายาก แต่อาจารย์หายากยิ่งกว่า ใช่ว่ามีแล้วจะประสบความสำเร็จกันทุกคน แต่แย่กว่านั้นคือฝึกไม่สำเร็จเลยสักวิชา”
ไช่ปิงฮวาหยุดร้องไห้จนเหลือเพียงอาการสะอื้น
“จริงหรือเจ้าคะท่านแม่”
เห็นบุตรสาวพยายามสงบสติอารมณ์แล้วนางก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ซับน้ำตาให้ปิงฮวาแผ่วเบา
“มีเพียงธาตุเดียวทุ่มเทแรงใจ ฝึกให้ได้ระดับสูง ๆ ไม่ดีกว่าหรือลูก แม่ก็มีธาตุเดียว พี่รองเจ้าก็มีธาตุเดียว”
“พี่รองผู้เอื่อยเฉื่อยนับเป็นอันใดได้เจ้าคะ แข่งกับนางไม่สนุกเลยสักนิด”
“เช่นนั้นแม่เขียนจดหมายให้ท่านตาของเจ้า ส่งคนตามหาตำราธาตุน้ำและอาจารย์มีชื่อเสียงเลื่องลือดีหรือไม่”
พูดถึงท่านตาพ่อค้าเกลือแล้วไช่ปิงฮวาพลันหงุดหงิด เพราะมีตาเป็นพ่อค้า นางถึงโดนไช่ฮั่วฮวากดให้ต่ำอยู่เช้าค่ำ
แต่เมื่อนึกถึงผลประโยชน์ นางก็กดความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ พยักหน้าตอบรับมารดา
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“เด็กดี”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรู้จังหวะ
“บ่าวเองเจ้าค่ะ นายหญิง”
เสียงบ่าวคนสนิทของฮูหยินสามดังขึ้นที่หน้าห้อง
“เข้ามาได้”
ตงเฟยเฟยเร่งให้สาวใช้เข้ามาเพราะก่อนหน้านี้ได้สั่งงานนางไป ยามนี้ร้อนใจอยากทราบผลแล้ว
“เอ่อ นายท่านรองส่งคนมาบอกว่าคืนนี้นายท่านจะค้างกับ…”
“ข้าใช่หรือไม่!”
เพราะนางลงทุนทำอาหาร ตงเฟยเฟยจึงคิดว่าสามีต้องมาค้างกับตนแน่
ด้วยความที่ว่างานพิธีตรวจสอบพลังธาตุเป็นงานใหญ่ ท่านพี่ของนางที่เป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการจึงยุ่งมาก และไม่ได้ค้างคืนกับฮูหยินคนใดมาเป็นเดือนแล้ว
งานพิธีผ่านพ้น นางเข้าครัวทำอาหารมัดใจสามีและคอยส่งสายตาให้ตอนทานอาหารตลอด
หากไม่ใช่กับข้าแล้วจะเป็นกับใคร
“เอ่อ…ฮูหยินรองเจ้าค่ะ”
ตงเฟยเฟยหน้าชา หากเปรียบใบหน้าเป็นชามกระเบื้อง ยามนี้คงร้าวและแตกดังเพล้งเป็นเศษ ๆ
“ไยจึงไม่ใช่ข้า!”
สาวใช้รีบก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้อยากได้คำตอบจากเจ้า…ไสหัวไป!”
สาวใช้กุลีกุจอออกจากเรือน แม้แต่ไช่ปิงฮวาก็ยังกลัวมารดาจนเสียงสะอื้นหาย สตรีออกเรือนแล้วน่ากลัวที่สุดก็เรื่องนี้…ทนไม่ได้เมื่อสามีไปอยู่กับสตรีอื่น!