บทที่ ๔
เข้าใจวิถีก็ดีกว่าอยู่แบบกลวง ๆ
ณ ตำหนักเฉียงหลง
“เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ มีผู้ใดในพระทัยบ้างหรือไม่”
ไท่จื่อฝูจินหลงตรัสถามเสด็จพ่อถึงพิธีการตรวจสอบพลังธาตุของเมื่อวานขณะที่เข้าเฝ้าอย่างเป็นปกติของทุกวัน
ฝูหวงตี้เงยหน้าขึ้นจากฎีกา ถามพระโอรสด้วยคำถาม คำพูดเป็นกันเองบ่งบอกระดับความสนิมสนมของทั้งสองคน
“เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“มีเข้าตาอยู่หลายคนพ่ะย่ะค่ะ ขันทีที่ทำหน้าที่จดรายชื่อผู้มีแววว่าจะสามารถฝึกเข้ากองทัพส่วนพระองค์ได้ เพิ่งส่งมาให้ลูก” ว่าแล้วก็ยื่นรายชื่อถวายเสด็จพ่อ
ฝูหวงตี้รับมาเปิดผ่าน ๆ แล้วยื่นกลับมาให้
“พ่อไว้ใจเจ้า จัดการตามที่เห็นสมควรเถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อคุกเข่าขอบพระทัยด้วยความนอบน้อมแล้ว กลับมานั่งที่เดิมเมื่อเสด็จพ่อโบกมือเบา ๆ
ในตอนนั้นเองที่ขันทีขานการมาของผู้เข้าเฝ้า
“ฝ่าบาท องค์ชายรองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญ”
สุรเสียงทรงอำนาจกล่าวอนุญาตการเข้าเฝ้าของพระโอรสคนรอง
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“มากพิธีไปไยเจ้ารอง ลุกขึ้นมานั่งข้างพี่ชายเจ้า”
ฝูหวงตี้อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพระโอรสมาเข้าเฝ้าตนโดยพร้อมหน้า
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำก็ลุกขึ้นถวายพระพรเสด็จพี่ของตนต่อ “เสด็จพี่”
“เมื่อวานเจ้ากล่าวว่าจะกลับพรรคหยิ๋นมี่”
อิริยาบทของฝูหวงตี้ทำให้บรรยากาศภายในตำหนักที่ดูสูงค่านี้ดูผ่อนคลายและอบอุ่นขึ้น
“ขอประทานอภัยที่เปลี่ยนแผนแล้วไม่ได้กราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาจารย์เพิ่งส่งจดหมายมาบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมจวนสักสองอาทิตย์ ให้ลูกรั้งรออยู่ที่นี่ อย่าเพิ่งกลับพรรคพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูหวงตี้มองพระโอรสที่อยู่ในวัย 8 ชันษาแต่กิริยาท่าทางมิได้ต่างจากผู้ใหญ่ ในฐานะฮ่องเต้ย่อมยินดีแต่ในฐานะบิดากลับรู้สึกว่าราชวงศ์บังคับให้เขาต้องโตเกินไป
“ดียิ่ง กุ้ยเฟยทรงบ่นคิดถึงเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถือโอกาสอยู่กับนางให้คลายความคิดถึงบ้างก็ดี”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
ฝูเฮยหลงตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเอาไท่จื่อที่ไม่ได้หน้านิ่งเหมือนน้องชายถอนหายใจแผ่วเบา
ตั้งแต่ฝากตัวเป็นศิษย์กับรองประมุขพรรคหยิ๋นมี่ตอน 5 ชันษา ฝูเฮยหลงก็กลายเป็นคนไม่ยิ้ม ไม่ร่าเริง ผลจากการโดนท่านอาจารย์ขัดเกลาทั้งด้านวรยุทธ์และจิตใจ
“เจ้ารอง ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรกับพลังธาตุของเจ้า”
“ธาตุดินไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ ส่วนธาตุมืดท่านอาจารย์กล่าวว่าจะจัดการให้”
“การข่าวของท่านอาจารย์เจ้าช่างรวดเร็ว”
“ไม่เพียงการข่าวของท่านอาจารย์เท่านั้น ยามนี้เรื่องที่น้องรองมีพลังธาตุมืดคงปากต่อปากจนเผยแพร่ไปทั้งแคว้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อพูดด้วยสีหน้าท่าทางยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตัวเขามีพลังธาตุมิติหายาก น้องชายยังมีพลังธาตุมืดที่น่ายำเกรงอีก
“ว่าที่ฮ่องเต้มีพลังธาตุมิติ ว่าที่แม่ทัพใหญ่มีพลังธาตุมืด อนาคตของแคว้นฝู พ่อต้องฝากไว้ที่เจ้าสองคนแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
ฝูจินหลงและฝูเฮยหลงตอบรับพร้อมกัน บ่าน้อย ๆ ที่ต้องแบกรับความเป็นราชวงศ์ มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่หนักอึ้งสร้างความกดดันให้ทั้งสองจนบรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไป
ผู้เป็นเสด็จพ่อย่อมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่โอรสของกษัตริย์ย่อมเป็นเช่นนี้…
จะเลี้ยงแบบตามใจหาได้ไม่!
ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการ
“เจ็บนิ้วไปหมดเลยอาเมี่ยว เตรียมยามาประคบให้ข้าด้วยนะ”
ไช่เซียงฮวาสั่งสาวใช้คนสนิทด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ขณะที่กำลังเดินกลับเรือนหลังจากเรียนพิณร่วมกับพี่สาวน้องสาว
“ทำไมสตรียุคนี้ไม่นิยมเป่าขลุ่ยกันนะ”
เดินไปบ่นไปเสียงเบา แต่ท่วงท่ายังคงความเรียบร้อยตามแบบฉบับคุณหนูทองพันชั่ง
“ตอนไฮสกูลอุตส่าห์พ้นจากคลาสเรียนกีตาร์ได้แล้วแท้ ๆ มานี่ยังหนีไม่พ้นพวกสาย ๆ เป็นเส้น ๆ”
เมื่อเดินมาถึงเรือนส่วนตัว ซูเมี่ยวก็ประคบมือให้คุณหนู ยามเห็นนิ้วมือเล็กแดงก่ำก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย
“แดงหมดเลยเจ้าค่ะคุณหนู อดทนอีกนิดนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าธาตุดินขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่ง หากคุณหนูโคจรพลังธาตุได้แล้วจะช่วยได้มากเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำแนะนำนะอาเมี่ยว เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านอาจารย์ก็คงเดินทางมาถึง เจ้าไปเตรียมขนมกับน้ำชาให้ข้าที เสร็จแล้วเจ้าก็ไปพักได้เลย ข้าจะอ่านตำราพลังธาตุดินเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อสาวใช้เดินออกไปแล้ว ไช่เซียงฮวาก็เดินไปหยิบตำราพลังธาตุดินทั้งกองที่ได้มาเมื่อวานนี้ มาไว้ที่โต๊ะหนังสือข้างริมหน้าต่าง
เรือนของนางติดกับสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจวน
ฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่แพ้เกสรดอกไม้ คนที่ไม่แพ้อะไรเลยอย่างเซียงฮวาจึงได้เรือนนี้มาครอบครอง
ตำราธาตุดินกองหนาไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเซียงฮวาเท่าตำราสวรรค์หมื่นบุปผาเล่มบาง
วันแรกที่ได้รับตำรามายังไม่รู้วิธีใช้ ไม่มีเนื้อหาในตำราสักตัวจนนางต้องทดลองหลายวิธี
วิธีแรกนางลองใช้พู่กันแต้มกับมะนาวแล้วอังไฟเผื่อจะปรากฏตัวอักษร ผลคือไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้น
พอลองใช้พู่กันจุ่มหมึกเขียนดู เผื่อหนังสือจะโต้ตอบกลับมาอย่างในแฮร์รี่พอร์ตเตอร์บ้าง ก็กลายเป็นว่าเขียนไม่ติด ตอนนั้นนางคิดอย่างขำ ๆ ว่าต้องใช้ปากกาขนนกหรือไม่ถึงจะได้ผล
ลองมาหลายวิธีแล้วก็ยังไม่ได้ผล จนนางเผลอคิดนอกเรื่อง อยากทราบว่าดอกไม้ชนิดใดที่สามารถนำมาคลุกกับแป้งแล้วทอดได้บ้าง
ปรากฏว่า…
ตำราที่นางเปิดค้างไว้จากที่ไม่มีอักษรเลยสักตัวกลับค่อย ๆ ปรากฏตัวอักษรเรียงร้อยเป็นข้อความ
จากตำราที่บางมากกลายเป็นหนาเตอะ หน้าใดอ่านผ่านตาแล้วจำได้ขึ้นใจจะหายไปทันที
นางได้ลองตั้งคำถามเพื่อให้ตำราเป็นผู้ตอบ ทำให้นางได้รู้จักดอกไม้พร้อมทั้งสรรพคุณทางยามากมาย
ที่นางสงสัยคือ ความรู้เหล่านี้จะเอื้อประโยชน์ด้านการใช้พลังบุปผาของนางอย่างไร
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ประจวบกับเป็นจังหวะเดียวกับที่ซูเมี่ยวยกขนมและน้ำชามาให้พอดี
“หนักอกหนักใจอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
ซูเมี่ยวถามคุณหนูด้วยความเป็นห่วง ไช่เซียงฮวา มองหน้าคนถามก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แล้วบอกให้สาวใช้ออกไปพัก
หลังจากทานขนมเพิ่มระดับน้ำตาลให้ร่างกายแล้ว เซียงฮวาก็ค่อยมีอารมณ์หยิบตำราธาตุดินขึ้นมาอ่าน
“ธาตุดินเพื่อการดำรงชีวิตเช่นนั้นหรือ เช่นว่าปลูกผัก บำรุงหน้าดินแบบนี้หรือไม่”
มือเล็กหยิบขนมทานไปด้วยพร้อมกับไล่อ่านหน้าปกของตำราที่ตนควรจะเรียนเป็นเล่มแรก
“เล่มนี้วิถีแห่งพลังดิน เหตุใดจึงฟังดูกำลังเข้าลัทธิอันใดสักอย่าง”
เมื่อไล่ดูทีละเล่มก็เจอแต่ตำราที่เขียนไว้เพื่อให้เข้าใจถึงพลังธาตุนี้ แต่ยังไม่เจอเล่มใดที่เป็นการฝึกเพื่อเอาพลังออกมาจากร่างกายได้เลย
“ถึงว่า ทำไมต้องมีอาจารย์มาสอน แต่ก็เอาเถอะ เข้าใจวิถีก็ดีกว่าอยู่แบบสมองกลวง ๆ”
แล้ววันนั้นตั้งแต่ยามอู่ถึงยามไฮ่ เซียงฮวาก็จมอยู่กับการอ่านตำราธาตุดินทั้งวัน