หลังจากการต่อสู้จบสิ้นลง เฟิงซือเฟิงสั่งให้คนของตนดูแลผู้บาดเจ็บและตรวจสอบสินค้า ซึ่งโชคดีที่สินค้าสำคัญส่วนใหญ่ยังคงปลอดภัยดังที่นางวางแผนไว้ ส่วนหลี่จิ่งหยวนและคนของเขาก็ช่วยควบคุมตัวเหล่าโจรป่าอย่างแข็งขัน
"พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมาป้วนเปี้ยนแถวนี้?"
หัวหน้าโจรที่ถูกมัดแน่นหนาตวาดถามอย่างไม่พอใจ แม้จะสิ้นฤทธิ์แล้วก็ตาม
จ้าวอู่เดินเข้าไปตบหน้ามันฉาดใหญ่
"หุบปากไปซะ! พวกข้าเป็นใครแล้วจะทำไม? ดีกว่าพวกแกที่เป็นแค่เดนสังคม ปล้นชิงชาวบ้านไปวันๆ!"
เฟิงซือเฟิงมองการกระทำนั้นอย่างเงียบๆ นางสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนของ "หยวนจิ่ง" ผู้นี้มีระเบียบวินัยและความชำนาญในการจัดการกับนักโทษอย่างมาก ไม่เหมือนกลุ่มพ่อค้าหรือทหารรับจ้างทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
"ท่านหยวนจิ่ง"
เฟิงซือเฟิงเดินเข้าไปหาหลี่จิ่งหยวน
"ข้าอยากจะตอบแทนน้ำใจของท่านและสหาย หากไม่รังเกียจ เชิญร่วมเดินทางไปกับขบวนของข้าจนถึงจุดหมายปลายทางถัดไปได้หรือไม่ ข้าจะจัดหาที่พักและอาหารให้อย่างดี"
นี่เป็นทั้งการแสดงความขอบคุณและเป็นโอกาสที่นางจะได้สังเกตการณ์พวกเขาใกล้ชิดยิ่งขึ้น
หลี่จิ่งหยวนครุ่นคิดเล็กน้อย การร่วมเดินทางกับขบวนสินค้าของสกุลเฟิงอาจทำให้เขาเข้าถึงข้อมูลบางอย่างที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือ เขาเริ่มสนใจในตัวคุณหนู "ซือเฟิง" ผู้นี้ไม่น้อย
"ถ้าเช่นนั้น ก็คงต้องรบกวนคุณหนูแล้ว" เขาตอบตกลง
ขบวนสินค้าจึงออกเดินทางต่อ โดยมีกลุ่มของหลี่จิ่งหยวนร่วมเดินทางไปด้วย บรรยากาศในขบวนเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่ความสงสัยระหว่างเฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนยังคงคุกรุ่นอยู่ข้างในใจของทั้งสอง
ในช่วงเย็น เมื่อขบวนหยุดพักแรม เฟิงซือเฟิงสังเกตเห็นว่า "หยวนจิ่ง" มักจะแยกตัวออกไปอยู่เงียบๆ ตามลำพัง สายตาของเขามักจะมองไปยังทิศเหนือ ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง นางยังสังเกตเห็นว่าจ้าวอู่และคนอื่นๆ ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพยำเกรงอย่างยิ่งยวด ซึ่งมันขัดแย้งกับฐานะ "พ่อค้าเร่ร่อน" ที่เขาอ้าง
"นายท่านของเจ้า...ดูไม่เหมือนพ่อค้าเลยนะ"
เฟิงซือเฟิงลองชวนจ้าวอู่คุย ขณะที่อีกฝ่ายกำลังดูแลม้าอยู่
จ้าวอู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะแหะๆ
"คุณหนูอย่าล้อเล่นสิขอรับ นายท่านของข้าก็เป็นพ่อค้าธรรมดานี่แหละ แต่ท่านอาจจะมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากหน่อยเท่านั้นเอง" เขาพยายามกลบเกลื่อน
เฟิงซือเฟิงยิ้มบางๆ "เช่นนั้นหรือ? แต่ข้าว่าฝีมือดาบของเขาน่าจะเปิดสำนักคุ้มภัยได้สบายๆ เลยนะ หรืออาจจะเป็น...นายทหารที่ปลดประจำการแล้ว?"
นางลองหยั่งเชิงต่อไป
จ้าวอู่เหงื่อตก
"เอ่อ...คือ...นายท่านเคยฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้างเพื่อป้องกันตัวขอรับ การเดินทางค้าขายสมัยนี้มันอันตราย คุณหนูก็ประสบกับตัวเองแล้วไม่ใช่หรือขอรับ"
บทสนทนาไม่ได้ความคืบหน้ามากนัก แต่เฟิงซือเฟิงก็พอจะจับเค้าได้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังปิดบังความลับสำคัญบางอย่างอยู่
ในขณะเดียวกัน หลี่จิ่งหยวนเองก็กำลังประเมินเฟิงซือเฟิงเช่นกัน
"คุณหนูสกุลเฟิงผู้นี้ดูบอบบาง แต่กลับมีความกล้าหาญและสติปัญญาเฉียบแหลมเกินสตรีทั่วไปนัก การวางแผนรับมือโจรป่า
เมื่อกลางวันก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงคุณหนูที่เติบโตมาในห้องหอ"
เขานึกถึงสายตาที่มุ่งมั่นและน้ำเสียงที่เด็ดขาดของนางขณะบัญชาการ
"หรือว่า...ข่าวลือเรื่องลูกสาวคนเล็กของแม่ทัพเฟิงอวี่ซานที่ถูกส่งมาดูแลกิจการค้าที่เล่าหยางจะเป็นนาง?"
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว ทำให้เขายิ่งอยากรู้เรื่องราวของนางมากขึ้น
คืนนั้น ขณะที่ทุกคนหลับใหล เฟิงซือเฟิงนอนไม่หลับ นางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
"หยวนจิ่ง...เขาเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงมาช่วยเรา? หรือว่าเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง?"
ความสงสัยปนเปกับความรู้สึกขอบคุณและความประทับใจในตัวเขาอย่างบอกไม่ถูก
ทางด้านหลี่จิ่งหยวน เขาก็นอนไม่หลับเช่นกัน ภาพของเฟิงซือเฟิงที่ยืนหยัดต่อสู้กับโจรป่าอย่างไม่เกรงกลัวยังคงติดตาตรึงใจ
"สตรีเช่นนี้น่าสนใจยิ่งนัก" เขายอมรับกับตัวเอง
"หากนางคือบุตรสาวของแม่ทัพเฟิงจริง การทำความรู้จักนางไว้ก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเราในอนาคต"
แต่ลึกๆ แล้ว เขารู้สึกว่าความสนใจของเขาที่มีต่อนางนั้น มันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องผลประโยชน์
สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมาเบาๆ ราวกับจะกระซิบปริศนาของแต่ละฝ่ายให้ล่องลอยไปในความมืด ต่างคนต่างมีความลับ ต่างคนต่างมีความสงสัย แต่ในความเงียบงันนั้น ประกายความรู้สึกบางอย่างกำลังค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นในใจของคนทั้งคู่...
ค่ำคืนนั้น หลังจากจัดส่งบุตรธิดาเข้านอนเรียบร้อย ทิ้งความวุ่นวายของวันไว้เบื้องหลัง เฟิงซือเฟิงรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจจากงานที่เบียดเสียด และจากความซุกซนของหลี่หยางฉีกับหลี่เหมยลี่ นางปรารถนาแต่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่นห้องอาบน้ำส่วนพระองค์ของตำหนักมังกรเหมยนั้นกว้างขวางและงดงามเสมือนห้องโถงเล็กๆ แสงเทียนจากโคมไฟกระดาษที่แขวนอยู่รอบห้องส่องแสงนวลตา ขับไล่ความมืดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น อ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง น้ำอุ่นที่ผสมสมุนไพรหอมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลีบโบตั๋นสีชมพูอ่อนและดอกเหมยขาวลอยอยู่บนผิวน้ำที่ปล่อยไอเบาๆ ดุจม่านหมอกเฟิงซือเฟิงค่อยๆ ถอดผ้าไหมบางเบาออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ผิวพรรณเนียนใสของนางเปล่งประกายใต้แสงเทียน สวยงามราวหยกเนื้อดีที่เพิ่งขัดเกลา นางก้าวลงสู่น้ำอุ่นอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เหนื่อยล้า ความสบายแผ่ซ่านไปทั่วกาย นางเอนตัวพิงขอบอ่าง หลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบที่โอบล้อมไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยก็ดังมาในห้อง หลี่จิ่งหยวนในชุดลำลองผ้าไหมสีเข้มเดินเข้ามาเงียบเชียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องร
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสงแห่งการจากลา เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนกลับมายังศาลาริมน้ำอันเป็นที่โปรดปรานของพวกเขา ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนลับของเรือนพัก ที่ซึ่งพวกเขาเคยแบ่งปันทั้งแผนการลับและหัวใจให้แก่กันยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังผิวน้ำในสระบัวที่นิ่งสงบ สร้างประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวนับพันดวงได้หล่นลงมาเต้นระบำอยู่บนผิวน้ำยามราตรี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวยามค่ำคืนลอยอบอวลมาตามสายลมบางเบา คลอเคล้ากับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความอาลัยอาวรณ์ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนศาลาไม้ สัมผัสถึงไอเย็นจากผิวน้ำที่พัดขึ้นมาปะทะกาย อ้อมแขนของหลี่จิ่งหยวนโอบรอบเอวบางของเฟิงซือเฟิงอย่างหลวมๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงอันหนักแน่น ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป สายตาของพวกเขาเงยขึ้นมองไปยังดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนของเล่าหยาง เป็นดวงดาวที่สว่างไสวกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ราวกับเป็นพยานรู้เห็นถึงพันธสัญญาแห่งหัวใจที่กำลังจะเกิดขึ้น"ข้ากลัวเหลือเกินจิ่งหยวน" เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงของนางสั่นเครือเ
ยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังเรือนพักลับอันเงียบสงัดของเฟิงซือเฟิง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดภายนอกให้เลือนหายไป แต่กลับมิอาจขับไล่เงามืดแห่งความกังวลที่กำลังปกคลุมจิตใจของคนทั้งสอง แผนการปฏิรูปประเทศที่หลี่จิ่งหยวนและเฟิงซือเฟิงร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนั้น แม้จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเล่าหยางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่พอใจจากเหล่าขุนนางเก่าที่เสียผลประโยชน์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ราชสำนักต้าถังที่เคยนิ่งเฉย บัดนี้เริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของหลี่จิ่งหยวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบถึง "อำนาจที่เติบโตเกินกว่าจะควบคุม" และ "ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับบุตรีแม่ทัพ" เริ่มแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง เฟิงซือเฟิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากสายตาที่จับจ้อง และความระแวงที่แผ่กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น หลังจากที่เฟิงซือเฟิงผล็อยหลับไปบนเตียง หลี่จิ่งหยวนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียงของนาง ไม่ยอมหลับลง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หมดจดเกลี้ยงเกลาของนางที่ดูสงบยามหลับใหล แพขนต
ค่ำคืนนั้น หลังจากการหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัดราวกับถูกซ่อนไว้จากโลกภายนอก เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ สายฝนภายนอกเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา คลอเคล้ากับเสียงฟืนในเตาผิงที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ ให้ความอบอุ่นแก่เรือนพักภายในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีนวลอ่อนๆ จากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นละมุนละไม หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่ของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงอยู่ใ
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูเมืองเล่าหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ณ โถงกลางของจวนผู้ว่าการเมืองที่เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ แสงไฟจากโคมนับพันดวงส่องสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน ผ้าแพรไหมเนื้อดีสีแดงสดและสีทองอร่ามประดับประดาไปทั่วทุกซอกมุมของโถง แสดงถึงความมั่งคั่งและปิติยินดี เสียงดนตรีบรรเลงขับขานก้องกังวานไปทั่วงาน เสียงพิณที่ไพเราะราวเสียงน้ำตก เสียงขลุ่ยที่อ่อนหวานราวสายลมพัดต้องกลีบดอกไม้ และเสียงกลองที่เร่งเร้าราวจังหวะหัวใจที่เต้นรัว ผู้คนมากมายทั้งขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และผู้มีอิทธิพลจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ใบหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจ กลิ่นหอมของสุราเลิศรส อาหารเลิศรส และเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ภายใต้ความคึกคักนั้น ยังคงมีกระแสคลื่นใต้น้ำแห่งการเมืองและผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นไหลวนอยู่เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมสีเข้มเรียบง่าย ซึ่งเป็นชุดที่นางจงใจเลือกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามตามธรรมชาติของบุตรีแม่ทัพไว้ได้อย่างครบถ้วน เส้นผมดำขลับ
ค่ำคืนนั้น หลังจากการวิ่งหนีการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัด เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ แสงเทียนจากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่องสว่างนวลตาขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นเล็กๆ ให้กับห้องพักที่เรียบง่ายแต่เป็นที่พึ่งพิงในยามนี้หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมบางเบาที่บัดนี้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเล็กน้อย มองดูเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของเขา เผยให้เห็นรอยเหนื่อยล