"คุณหนูเล็ก ระวัง!"
เสี่ยวชุ่ยกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นหัวหน้าโจรพร้อมดาบเล่มใหญ่พุ่งตรงเข้ามาหมายจะฟันเฟิงซือเฟิง
เฟิงซือเฟิงเบิกตากว้าง นางยกกระบี่สั้นขึ้นเตรียมป้องกัน แต่รู้ดีว่าด้วยกำลังของนางคงต้านทานดาบหนักหน่วงนั้นไม่ไหวเป็นแน่ ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง ร่างของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับเงา พุ่งเข้ามาระหว่างนางกับหัวหน้าโจรอย่างรวดเร็ว
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น ประกายไฟแตกกระจาย หลี่จิ่งหยวนในคราบพ่อค้าธรรมดา ใช้ดาบยาวที่ดูเรียบง่ายแต่คมกริบรับดาบของหัวหน้าโจรไว้ได้อย่างมั่นคง แรงปะทะทำให้แขนของหัวหน้าโจรถึงกับสั่นสะท้าน
"เจ้าเป็นใคร?!"
หัวหน้าโจรตวาดด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเหยื่อของมัน
หลี่จิ่งหยวนไม่ตอบ แต่ตวัดดาบสวนกลับอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ท่วงท่าการใช้ดาบของเขานั้นงดงามแต่แฝงไว้ด้วยอันตรายถึงชีวิต ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นเพลงดาบชั้นสูงที่เน้นประสิทธิภาพและความรุนแรง หัวหน้าโจรที่โอ้อวดในฝีมือของตนเมื่อครู่ บัดนี้กลับต้องถอยร่นอย่างเสียขบวน ถูกเพลงดาบอันดุดันของหลี่จิ่งหยวนกดดันจนแทบหายใจไม่ทัน
เฟิงซือเฟิงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง "พ่อค้าคนนั้น!" นางจำได้ทันทีว่าเป็นคนเดียวกับที่นางพบในตลาดกลางคืน แต่ฝีมือดาบของเขานั้น...มันไม่ใช่สิ่งที่พ่อค้าธรรมดาพึงมี! แต่ละท่วงท่า แต่ละการเคลื่อนไหว บ่งบอกถึงการฝึกฝนมาอย่างหนักและยาวนาน จิตสังหารอันเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่
"พวกเจ้า! มัวยืนบื้ออะไรอยู่! เข้ามาช่วยข้าสิวะ!"
หัวหน้าโจรตะโกนสั่งลูกน้อง เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ
เหล่าโจรที่กำลังต่อสู้กับคนคุ้มกันของสกุลเฟิงส่วนหนึ่งหันมาหมายจะช่วยหัวหน้า แต่ก็ถูกสกัดกั้นโดยกลุ่มคนของหลี่จิ่งหยวนที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง จ้าวอู่และองครักษ์อีกสี่ห้าคนเข้าต่อสู้กับเหล่าโจรป่าด้วยฝีมือที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด การมาของพวกเขาทำให้สถานการณ์พลิกผันในทันที
เฟิงซือเฟิงได้สติ นางรีบสั่งการให้องครักษ์ของตนฉวยโอกาสนี้โต้กลับ
"ทุกคน! บุกเข้าไป! อย่าให้พวกมันหนีไปได้!"
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่บัดนี้ฝ่ายสกุลเฟิงและกลุ่มของ
หลี่จิ่งหยวนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพลงดาบของหลี่จิ่งหยวนนั้นไร้เทียมทาน เขาเคลื่อนไหวราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ ฟาดฟันเหล่าโจรล้มลงทีละคนสองคนโดยไม่เสียแรงมากนัก ส่วนจ้าวอู่และพวกก็จัดการกับโจรที่เหลือได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุด หัวหน้าโจรก็ถูกหลี่จิ่งหยวนตวัดดาบจนดาบในมือหลุดกระเด็น ก่อนจะถูกปลายดาบเย็นเยียบจ่ออยู่ที่ลำคอ
"ยอม...ข้ายอมแล้ว! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!"
หัวหน้าโจรหน้าซีดเผือด ร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช
เหล่าโจรที่เหลือเมื่อเห็นหัวหน้าของตนถูกจับ บ้างก็ทิ้งอาวุธยอมจำนน บ้างก็พยายามหลบหนี แต่ก็ถูกตามจับกุมได้ในที่สุด
เมื่อการต่อสู้สงบลง บริเวณหุบเขาเต็มไปด้วยร่างของเหล่าโจรที่บาดเจ็บและถูกจับมัด เฟิงซือเฟิงเดินสำรวจความเสียหาย บรรดาคนคุ้มกันของนางบาดเจ็บไปหลายคน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต นางมองไปยังหลี่จิ่งหยวนที่กำลังยืนคุมเชิงหัวหน้าโจรอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและขอบคุณ
"ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ หากไม่ได้ท่าน เกรงว่าวันนี้พวกเราคง..."
เฟิงซือเฟิงเอ่ยขึ้น พยายามเก็บงำความประหลาดใจในตัวตนของบุรุษผู้นี้เอาไว้
หลี่จิ่งหยวนหันมามองนาง แววตาของเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม
"ข้าเพียงแค่ผ่านมา และไม่ชอบเห็นคนอ่อนแอถูกรังแกเท่านั้น"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันไปสั่งจ้าวอู่
"จัดการมัดพวกมันให้แน่นหนา แล้วนำตัวไปส่งทางการ"
"พ่ะย่ะค่ะ...เอ่อ...ขอรับนายท่าน!"
จ้าวอู่เกือบจะหลุดคำเรียกตามยศศักดิ์ออกมา
เฟิงซือเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำว่า "นายท่าน" ที่หลุดออกมาแว่วๆ ยิ่งทำให้ความสงสัยในตัวตนของบุรุษผู้นี้เพิ่มมากขึ้น เขาสวมชุดพ่อค้าธรรมดา แต่กลับมีคนคุ้มกันที่ดูเหมือนทหารองครักษ์ชั้นยอด ทั้งยังเรียกเขาว่า "นายท่าน" อีกด้วย เขาเป็นใครกันแน่?
"ข้ามีนามว่าซือเฟิง ไม่ทราบว่าท่านผู้มีพระคุณมีนามว่าอะไร?"
เฟิงซือเฟิงถามอย่างสุภาพ พยายามหยั่งเชิง
หลี่จิ่งหยวนมองหน้านางนิ่ง ก่อนจะตอบสั้นๆ "หยวนจิ่ง" เขาใช้ชื่อปลอมที่เตรียมไว้
"ข้าเป็นเพียงพ่อค้าเร่ร่อนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น"
"พ่อค้าเร่ร่อนธรรมดา...ที่มีฝีมือดาบสูงส่งถึงเพียงนี้?"
เฟิงซือเฟิงเลิกคิ้ว ไม่เชื่อในคำพูดของเขาสักนิด
"และบังเอิญผ่านมาเจอพวกเรากำลังเดือดร้อนพอดีอย่างนั้นหรือ?"
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลี่จิ่งหยวน เป็นรอยยิ้มที่อ่านความหมายได้ยากยิ่ง
"โลกนี้มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้เสมอ คุณหนูซือเฟิง"
ทั้งสองสบตากัน ต่างฝ่ายต่างประเมินและสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แม้จะยังไม่เปิดเผยออกมา แต่ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างได้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของคนทั้งคู่ ความประทับใจในความกล้าหาญและความสามารถของอีกฝ่าย ความอยากรู้อยากเห็นในความลับที่ซ่อนเร้น และบางที...อาจจะเป็นประกายเล็กๆ ของความสนใจที่เกินกว่าสหายร่วมสถานการณ์
พายุแห่งการต่อสู้เพิ่งจะสงบลง แต่พายุแห่งอารมณ์และความรู้สึก...เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ค่ำคืนนั้น หลังจากจัดส่งบุตรธิดาเข้านอนเรียบร้อย ทิ้งความวุ่นวายของวันไว้เบื้องหลัง เฟิงซือเฟิงรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจจากงานที่เบียดเสียด และจากความซุกซนของหลี่หยางฉีกับหลี่เหมยลี่ นางปรารถนาแต่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่นห้องอาบน้ำส่วนพระองค์ของตำหนักมังกรเหมยนั้นกว้างขวางและงดงามเสมือนห้องโถงเล็กๆ แสงเทียนจากโคมไฟกระดาษที่แขวนอยู่รอบห้องส่องแสงนวลตา ขับไล่ความมืดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น อ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง น้ำอุ่นที่ผสมสมุนไพรหอมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลีบโบตั๋นสีชมพูอ่อนและดอกเหมยขาวลอยอยู่บนผิวน้ำที่ปล่อยไอเบาๆ ดุจม่านหมอกเฟิงซือเฟิงค่อยๆ ถอดผ้าไหมบางเบาออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ผิวพรรณเนียนใสของนางเปล่งประกายใต้แสงเทียน สวยงามราวหยกเนื้อดีที่เพิ่งขัดเกลา นางก้าวลงสู่น้ำอุ่นอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เหนื่อยล้า ความสบายแผ่ซ่านไปทั่วกาย นางเอนตัวพิงขอบอ่าง หลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบที่โอบล้อมไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยก็ดังมาในห้อง หลี่จิ่งหยวนในชุดลำลองผ้าไหมสีเข้มเดินเข้ามาเงียบเชียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องร
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสงแห่งการจากลา เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนกลับมายังศาลาริมน้ำอันเป็นที่โปรดปรานของพวกเขา ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนลับของเรือนพัก ที่ซึ่งพวกเขาเคยแบ่งปันทั้งแผนการลับและหัวใจให้แก่กันยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังผิวน้ำในสระบัวที่นิ่งสงบ สร้างประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวนับพันดวงได้หล่นลงมาเต้นระบำอยู่บนผิวน้ำยามราตรี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวยามค่ำคืนลอยอบอวลมาตามสายลมบางเบา คลอเคล้ากับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความอาลัยอาวรณ์ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนศาลาไม้ สัมผัสถึงไอเย็นจากผิวน้ำที่พัดขึ้นมาปะทะกาย อ้อมแขนของหลี่จิ่งหยวนโอบรอบเอวบางของเฟิงซือเฟิงอย่างหลวมๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงอันหนักแน่น ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป สายตาของพวกเขาเงยขึ้นมองไปยังดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนของเล่าหยาง เป็นดวงดาวที่สว่างไสวกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ราวกับเป็นพยานรู้เห็นถึงพันธสัญญาแห่งหัวใจที่กำลังจะเกิดขึ้น"ข้ากลัวเหลือเกินจิ่งหยวน" เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงของนางสั่นเครือเ
ยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังเรือนพักลับอันเงียบสงัดของเฟิงซือเฟิง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดภายนอกให้เลือนหายไป แต่กลับมิอาจขับไล่เงามืดแห่งความกังวลที่กำลังปกคลุมจิตใจของคนทั้งสอง แผนการปฏิรูปประเทศที่หลี่จิ่งหยวนและเฟิงซือเฟิงร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนั้น แม้จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเล่าหยางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่พอใจจากเหล่าขุนนางเก่าที่เสียผลประโยชน์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ราชสำนักต้าถังที่เคยนิ่งเฉย บัดนี้เริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของหลี่จิ่งหยวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบถึง "อำนาจที่เติบโตเกินกว่าจะควบคุม" และ "ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับบุตรีแม่ทัพ" เริ่มแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง เฟิงซือเฟิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากสายตาที่จับจ้อง และความระแวงที่แผ่กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น หลังจากที่เฟิงซือเฟิงผล็อยหลับไปบนเตียง หลี่จิ่งหยวนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียงของนาง ไม่ยอมหลับลง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หมดจดเกลี้ยงเกลาของนางที่ดูสงบยามหลับใหล แพขนต
ค่ำคืนนั้น หลังจากการหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัดราวกับถูกซ่อนไว้จากโลกภายนอก เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ สายฝนภายนอกเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา คลอเคล้ากับเสียงฟืนในเตาผิงที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ ให้ความอบอุ่นแก่เรือนพักภายในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีนวลอ่อนๆ จากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นละมุนละไม หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่ของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงอยู่ใ
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูเมืองเล่าหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ณ โถงกลางของจวนผู้ว่าการเมืองที่เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ แสงไฟจากโคมนับพันดวงส่องสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน ผ้าแพรไหมเนื้อดีสีแดงสดและสีทองอร่ามประดับประดาไปทั่วทุกซอกมุมของโถง แสดงถึงความมั่งคั่งและปิติยินดี เสียงดนตรีบรรเลงขับขานก้องกังวานไปทั่วงาน เสียงพิณที่ไพเราะราวเสียงน้ำตก เสียงขลุ่ยที่อ่อนหวานราวสายลมพัดต้องกลีบดอกไม้ และเสียงกลองที่เร่งเร้าราวจังหวะหัวใจที่เต้นรัว ผู้คนมากมายทั้งขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และผู้มีอิทธิพลจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ใบหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจ กลิ่นหอมของสุราเลิศรส อาหารเลิศรส และเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ภายใต้ความคึกคักนั้น ยังคงมีกระแสคลื่นใต้น้ำแห่งการเมืองและผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นไหลวนอยู่เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมสีเข้มเรียบง่าย ซึ่งเป็นชุดที่นางจงใจเลือกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามตามธรรมชาติของบุตรีแม่ทัพไว้ได้อย่างครบถ้วน เส้นผมดำขลับ
ค่ำคืนนั้น หลังจากการวิ่งหนีการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัด เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ แสงเทียนจากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่องสว่างนวลตาขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นเล็กๆ ให้กับห้องพักที่เรียบง่ายแต่เป็นที่พึ่งพิงในยามนี้หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมบางเบาที่บัดนี้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเล็กน้อย มองดูเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของเขา เผยให้เห็นรอยเหนื่อยล