เช้าวันต่อมา ขบวนสินค้าออกเดินทางแต่เช้ามืด บรรยากาศระหว่างเฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แม้จะยังคงมีความระแวดระวังอยู่บ้าง แต่ก็มีการพูดคุยกันมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการค้า สภาพอากาศ หรือข่าวสารต่างๆ ที่ได้ยินมาตามรายทาง
"เส้นทางนี้ดูเหมือนจะปลอดภัยขึ้นมาก หลังจากที่พวกโจรกลุ่มนั้นถูกจับ"
เฟิงซือเฟิงเอ่ยขึ้น ขณะที่ม้าของนางเดินเคียงข้างกับม้าของหลี่จิ่งหยวน
"แต่ก็ไม่ควรประมาท" หลี่จิ่งหยวนตอบ
"ความสงบสุขมักจะไม่ยั่งยืน หากต้นตอของปัญหายังไม่ถูกแก้ไข"
สายตาของเขามองไปยังทิศทางของเมืองเล่าหยางอย่างมีความหมาย
เฟิงซือเฟิงจับความนัยในคำพูดของเขาได้
"ท่านหมายถึง...ข้าราชการกังฉินที่อยู่เบื้องหลังงั้นหรือ?"
นางลองถามตรงๆ
หลี่จิ่งหยวนเหลือบมองนางเล็กน้อย ประหลาดใจที่นางกล้าพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
"คุณหนูรู้เรื่องนี้ด้วยรึ?"
"เรื่องแบบนี้ในวงการค้าไม่ใช่ความลับอะไรนักหรอกเจ้าค่ะ"
เฟิงซือเฟิงยิ้มบางๆ
"เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างจริงจังเท่านั้นเอง"
"แล้วคุณหนูคิดว่าควรทำอย่างไร?"
หลี่จิ่งหยวนลองหยั่งเชิงความคิดของนาง
"ตระกูลข้าเป็นเพียงพ่อค้าตัวเล็กๆ จะไปทำอะไรได้"
เฟิงซือเฟิงถอนหายใจแผ่วเบา
"แต่หากมีใครสักคนที่กล้าพอและมีอำนาจพอที่จะจัดการเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าเหล่าพ่อค้าทั้งหลายคงยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่" แววตาของนางฉายประกายมุ่งมั่น
"เพราะความยุติธรรมและความโปร่งใส คือรากฐานสำคัญของการค้าที่มั่นคง"
คำพูดของนางทำให้หลี่จิ่งหยวนรู้สึกทึ่งอีกครั้ง
‘นางไม่ได้มีดีแค่ความกล้าหาญและไหวพริบ แต่ยังมีความคิดความอ่านที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองอีกด้วย สตรีเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง’
เขาคิดในใจพลันรู้สึกว่ากำแพงในใจของตนเองเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย ความชื่นชมในตัวนางเพิ่มมากขึ้น
ในระหว่างการเดินทาง มีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหลายครั้งที่ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของกันและกัน ครั้งหนึ่ง รถม้าคันหนึ่งในขบวนเกิดติดหล่มโคลนเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนก่อน องครักษ์หลายคนพยายามช่วยกันดึงแต่ก็ไม่สำเร็จ เฟิงซือเฟิงลงจากม้าไปตรวจดูสถานการณ์อย่างรวดเร็ว นางสั่งให้คนงานนำท่อนไม้มาหนุนล้อ และให้คนช่วยกันผลักในจังหวะที่เหมาะสม ไม่นานรถม้าก็หลุดออกจากหล่มได้สำเร็จ ท่ามกลางความชื่นชมของทุกคน
หลี่จิ่งหยวนมองภาพนั้นเงียบๆ เขาสังเกตเห็นว่าเฟิงซือเฟิงไม่ได้เพียงแต่ออกคำสั่ง แต่ยังลงมือช่วยหยิบจับสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเองอย่างไม่ถือตัว เหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผากและรอยเปื้อนดินโคลนเล็กน้อยบนเสื้อผ้าของนาง ไม่ได้ทำให้ความงามของนางลดน้อยลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้นางดูมีชีวิตชีวาและน่ามองยิ่งขึ้นในสายตาของเขา
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อขบวนหยุดพักทานอาหารกลางวัน เสี่ยวชุ่ยทำถ้วยน้ำชาหลุดมือจนน้ำชาร้อนๆ เกือบจะหกราดใส่เฟิงซือเฟิง แต่หลี่จิ่งหยวนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กลับคว้าถ้วยชาไว้ได้ทันด้วยความรวดเร็วอย่าง
เหลือเชื่อ มือของเขาสัมผัสกับแขนของนางเพียงแผ่วเบา แต่ก็ทำให้นางรู้สึกถึงความร้อนวูบวาบแล่นผ่านไปทั่วร่าง
"ขอบคุณท่านอีกครั้ง"
เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงเบา แก้มของนางขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
"ไม่เป็นไร"
หลี่จิ่งหยวนตอบ พลางดึงมือกลับ สัมผัสอ่อนนุ่มจากแขนของนางยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ทำให้หัวใจที่เคยเย็นชาขององค์ชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย
ความรู้สึกแปลกใหม่เหล่านี้เริ่มแทรกซึมเข้ามาในใจของคนทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว ความสงสัยในตัวตนของอีกฝ่ายยังคงอยู่ แต่บัดนี้มันถูกเจือด้วยความประทับใจ ความชื่นชม และความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย มันเหมือนกับเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่ถูกหว่านลงบนผืนดินแห่งหัวใจ รอคอยเพียงน้ำค้างและแสงแดดอ่อนๆ เพื่อจะผลิบานเป็นดอกไม้ที่งดงาม
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป ปลายทางคือเมืองเป่ยซุย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญอีกแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้ จะไม่ได้นำพาแค่สินค้าไปสู่จุดหมายเท่านั้น แต่มันกำลังนำพาสองหัวใจที่แตกต่าง ให้ค่อยๆ โคจรเข้ามาใกล้กันมากขึ้นทีละน้อย...
ค่ำคืนนั้น หลังจากจัดส่งบุตรธิดาเข้านอนเรียบร้อย ทิ้งความวุ่นวายของวันไว้เบื้องหลัง เฟิงซือเฟิงรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจจากงานที่เบียดเสียด และจากความซุกซนของหลี่หยางฉีกับหลี่เหมยลี่ นางปรารถนาแต่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่นห้องอาบน้ำส่วนพระองค์ของตำหนักมังกรเหมยนั้นกว้างขวางและงดงามเสมือนห้องโถงเล็กๆ แสงเทียนจากโคมไฟกระดาษที่แขวนอยู่รอบห้องส่องแสงนวลตา ขับไล่ความมืดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น อ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง น้ำอุ่นที่ผสมสมุนไพรหอมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลีบโบตั๋นสีชมพูอ่อนและดอกเหมยขาวลอยอยู่บนผิวน้ำที่ปล่อยไอเบาๆ ดุจม่านหมอกเฟิงซือเฟิงค่อยๆ ถอดผ้าไหมบางเบาออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ผิวพรรณเนียนใสของนางเปล่งประกายใต้แสงเทียน สวยงามราวหยกเนื้อดีที่เพิ่งขัดเกลา นางก้าวลงสู่น้ำอุ่นอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เหนื่อยล้า ความสบายแผ่ซ่านไปทั่วกาย นางเอนตัวพิงขอบอ่าง หลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบที่โอบล้อมไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยก็ดังมาในห้อง หลี่จิ่งหยวนในชุดลำลองผ้าไหมสีเข้มเดินเข้ามาเงียบเชียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องร
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสงแห่งการจากลา เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนกลับมายังศาลาริมน้ำอันเป็นที่โปรดปรานของพวกเขา ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนลับของเรือนพัก ที่ซึ่งพวกเขาเคยแบ่งปันทั้งแผนการลับและหัวใจให้แก่กันยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังผิวน้ำในสระบัวที่นิ่งสงบ สร้างประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวนับพันดวงได้หล่นลงมาเต้นระบำอยู่บนผิวน้ำยามราตรี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวยามค่ำคืนลอยอบอวลมาตามสายลมบางเบา คลอเคล้ากับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความอาลัยอาวรณ์ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนศาลาไม้ สัมผัสถึงไอเย็นจากผิวน้ำที่พัดขึ้นมาปะทะกาย อ้อมแขนของหลี่จิ่งหยวนโอบรอบเอวบางของเฟิงซือเฟิงอย่างหลวมๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงอันหนักแน่น ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป สายตาของพวกเขาเงยขึ้นมองไปยังดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนของเล่าหยาง เป็นดวงดาวที่สว่างไสวกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ราวกับเป็นพยานรู้เห็นถึงพันธสัญญาแห่งหัวใจที่กำลังจะเกิดขึ้น"ข้ากลัวเหลือเกินจิ่งหยวน" เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงของนางสั่นเครือเ
ยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังเรือนพักลับอันเงียบสงัดของเฟิงซือเฟิง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดภายนอกให้เลือนหายไป แต่กลับมิอาจขับไล่เงามืดแห่งความกังวลที่กำลังปกคลุมจิตใจของคนทั้งสอง แผนการปฏิรูปประเทศที่หลี่จิ่งหยวนและเฟิงซือเฟิงร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนั้น แม้จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเล่าหยางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่พอใจจากเหล่าขุนนางเก่าที่เสียผลประโยชน์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ราชสำนักต้าถังที่เคยนิ่งเฉย บัดนี้เริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของหลี่จิ่งหยวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบถึง "อำนาจที่เติบโตเกินกว่าจะควบคุม" และ "ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับบุตรีแม่ทัพ" เริ่มแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง เฟิงซือเฟิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากสายตาที่จับจ้อง และความระแวงที่แผ่กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น หลังจากที่เฟิงซือเฟิงผล็อยหลับไปบนเตียง หลี่จิ่งหยวนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียงของนาง ไม่ยอมหลับลง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หมดจดเกลี้ยงเกลาของนางที่ดูสงบยามหลับใหล แพขนต
ค่ำคืนนั้น หลังจากการหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัดราวกับถูกซ่อนไว้จากโลกภายนอก เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ สายฝนภายนอกเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา คลอเคล้ากับเสียงฟืนในเตาผิงที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ ให้ความอบอุ่นแก่เรือนพักภายในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีนวลอ่อนๆ จากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นละมุนละไม หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่ของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงอยู่ใ
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูเมืองเล่าหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ณ โถงกลางของจวนผู้ว่าการเมืองที่เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ แสงไฟจากโคมนับพันดวงส่องสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน ผ้าแพรไหมเนื้อดีสีแดงสดและสีทองอร่ามประดับประดาไปทั่วทุกซอกมุมของโถง แสดงถึงความมั่งคั่งและปิติยินดี เสียงดนตรีบรรเลงขับขานก้องกังวานไปทั่วงาน เสียงพิณที่ไพเราะราวเสียงน้ำตก เสียงขลุ่ยที่อ่อนหวานราวสายลมพัดต้องกลีบดอกไม้ และเสียงกลองที่เร่งเร้าราวจังหวะหัวใจที่เต้นรัว ผู้คนมากมายทั้งขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และผู้มีอิทธิพลจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ใบหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจ กลิ่นหอมของสุราเลิศรส อาหารเลิศรส และเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ภายใต้ความคึกคักนั้น ยังคงมีกระแสคลื่นใต้น้ำแห่งการเมืองและผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นไหลวนอยู่เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมสีเข้มเรียบง่าย ซึ่งเป็นชุดที่นางจงใจเลือกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามตามธรรมชาติของบุตรีแม่ทัพไว้ได้อย่างครบถ้วน เส้นผมดำขลับ
ค่ำคืนนั้น หลังจากการวิ่งหนีการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัด เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ แสงเทียนจากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่องสว่างนวลตาขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นเล็กๆ ให้กับห้องพักที่เรียบง่ายแต่เป็นที่พึ่งพิงในยามนี้หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมบางเบาที่บัดนี้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเล็กน้อย มองดูเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของเขา เผยให้เห็นรอยเหนื่อยล