โม่หมิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ พร้อมความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย ทุกเรื่องราวไม่ว่าของชาตินี้หรือชาติไหน นางจดจำได้แม่นยำ
ร่างระหงนอนทอดกายอ่อนล้าบนเตียงใหญ่ในห้องรโหฐานอย่างเดียวดาย
ไป๋หมิงเยว่ คือนามเดิม แต่แซ่สกุลใหม่
สวรรค์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
อดีตหัวหน้าโจรถ่อยโม่หมิงเยว่ยามนี้ กำลังอยู่ในร่างของคุณหนูผู้อ่อนแอแห่งจวนไป๋
มิใช่ว่ามีผู้ใดบังอาจเล่นเล่ห์ร่ายมนต์คาถาคมขลังกับดวงวิญญาณของนางหรอกกระมัง?
บ้าไปแล้ว ใครจะทำเรื่องเยี่ยงนั้น!
ครั้นนึกขึ้นมาก็คล้ายได้ยินเสียงหนึ่งจากดินแดนแสนไกล
‘จิตวิญญาณเจ้าผสานหยดเลือดข้า ขอชาติหน้าได้ผูกวาสนา มิต้องเข่นฆ่าเฉกเช่นชาตินี้’
สองตาของหมิงเยว่เหลือกไปเหลือกมาเลิ่กลั่ก
แน่นอนว่าหญิงสาวยามนี้มืดมิดทั้งแปดด้าน นางไม่รู้เรื่องวิชานอกรีตนั้น และยิ่งไม่รู้ว่าใครกัน นางได้ยินแค่เสียงอันแผ่วเบาจากดินแดนแสนไกลที่ติดวิญญาณของนางมา
เจ้าผู้นั้นเป็นใครกัน? หลงรักข้าถึงเพียงนี้ ชั่วช้ายิ่ง!
ขณะกำลังตัดพ้อด่าทอ ความทรงจำค่อยๆ ไหลเวียนเข้ามาในห้วงภวังค์
หมิงเยว่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้สามวันหลังจากเจ้าของร่างเดิมตรอมตรมใจสลายจนสำลักโลหิตออกมาเป็นลิ่มๆ แล้วสลบแน่นิ่งไป
หญิงสาวค่อยๆ ระลึกถึงอดีตของร่างใหม่ที่ตนพลั้งพลัดหลงเข้ามาอาศัยโดยมิได้ไปเกิดใหม่อย่างใครเขา
ไป๋หมิงเยว่ผู้นี้เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนขุนนางไป๋ บิดาหลงใหลภรรยารองจนภรรยาเอกตรอมใจตายไป มีน้องสาวคนหนึ่งก็ทำตัวน่าชังแย่งชิงคนรักอย่างเลือดเย็น ส่วนชายคนนั้นที่เป็นคนรักก็มักง่ายโลภมากและเห็นแก่ตัว คิดจะกุมหัวใจทั้งพี่ทั้งน้องในคราวเดียว
ไป๋หมิงเยว่เริ่มป่วยบ่อยอย่างปริศนา
ท้ายที่สุดก็ถูกสหายรักชักชวนล่อลวงให้ดื่มน้ำชา ไม่นานต่อมาพลันนอนหลับมิรู้ตื่น
ยามสะลึมสะลือนอนซมสิ้นสติ สาวใช้จิ่นซินไปเรียกให้คนช่วยก็ประจวบเหมาะกับบิดาไม่อยู่ แม่เลี้ยงไม่สนใจ น้องสาวหรือ? ยิ่งปิดประตูใส่หน้าไม่ไยดี
ไป๋หมิงเยว่จึงกลายเป็นผีได้ปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่ ทิ้งให้หมิงเยว่ต้องเข้ามาสวมรอยชดใช้กรรมแทนปะไร!
เฮอะ! ชดใช้กรรมรึ?
มีเพียงต้องเรียกคืนความยุติธรรมต่างหาก!
ทว่าแม้ใจคิดเช่นนั้น แต่จะทันกาลหรือไม่นั่นล่ะคือปัญหา เพราะยามนี้หมิงเยว่ถูกจับมาแต่งตัวราวตุ๊กตาหยกสวมผ้าสีชาดจนกลายร่างเป็นเจ้าสาวแล้วโดยสมบูรณ์
จวนแม่ทัพใหญ่โตโออ่าและกว้างขวาง ขนาดและอาณาเขตของมันบ่งบอกถึงอิทธิพลและอำนาจแห่งเจ้าของ รับรู้ได้ถึงความมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเปี่ยมไปด้วยบารมีมากล้น ผู้คนที่มาร่วมงานจึงมีมากมายจากทั่วสารทิศ
แม้จะถูกผ้ามงคลปิดหน้าบดบังสายตาไปกว่าครึ่ง แต่หมิงเยว่ก็สัมผัสได้ถึงอำนาจน่าเกรงขามยามที่แขกเหรื่อโค้งกายนอบน้อมให้แก่เจ้าบ้าน
โดยเฉพาะยามที่เจ้าบ่าวข้างกายพานางเดินผ่านผู้คนเหล่านั้น ความยำเกรงพินอบพิเทาของเหล่าผู้คนยังแผ่ซ่านออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด
เจ้าบ่าวหรือก็ตัวโตสูงใหญ่ กำจายกลิ่นอายอันน่าครั่นคร้ามกดทับผู้คนอย่างประหลาด เป็นอำนาจแห่งพลังการกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีอย่างมหาศาล
พิธีการมงคลถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่พร้อมพรั่ง กระทั่งจบลงในห้องหออย่างเรียบง่ายเงียบสงบ ผิดแผกจากบรรยากาศครึกครื้นชื่นมื่นภายนอกอย่างสิ้นเชิง
หมิงเยว่ยังคงฉงนมึนงงในดงบุปผาแดงฉานแสบตา ท่ามกลางผ้าสีชาดที่ถูกรังสรรค์อย่างประณีตบรรจงเหล่านั้น นางนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงหมดพลัง ร่างกายนี้ช่างบอบบางเยี่ยงคุณหนูในห้องหอทุกประการ ปราศจากซึ่งกำลังภายในพื้นฐาน ลมปราณอันใดก็ไม่มี
หมิงเยว่ให้รู้สึกอึดอัดทรมานยิ่งนัก
สิ่งหนึ่งที่นางอยากกัดลิ้นตัวเองให้สิ้นใจตายวันละหลายรอบยิ่งกว่าการที่ต้องเป็นวิญญาณมาสิงร่างนี้ก็คือ การแต่งงานกับบุรุษที่นางยินดีตายภายใต้คมกระบี่ของเขา แต่จะไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา
หยางเจี้ยน...
หมิงเยว่คิดในใจอย่างอดสู ไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องเข้าสิงร่างบุปผากลีบบางที่ต้องเป็นภรรยาของเขา
เมื่อรถม้าคันที่หลิวไท่หยางนั่งอยู่ด้านในหายลับไปจากสายตา โจวซู่ฉินจึงหันมองสตรีที่นางเพิ่งถูกฝากฝังจากว่าที่สามี แววตาที่มองประเมินมีแต่ความกังขา หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุรุษสูงส่ง รูปโฉมงดงาม ความสามารถน่าทึ่งไร้ที่ติอย่างหลิวไท่หยางถึงได้พึงใจเพียงสาวใช้ต่ำต้อยนางหนึ่งคนอย่างเขาแต่งท่านหญิงสูงศักดิ์เป็นฮูหยินก็ยังได้โจวซู่ฉินรู้สึกว่าสหายไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างยิ่งแม้ใจคิดเช่นนั้นแต่สัจจะที่นางรับปากกับว่าที่สามีไว้ย่อมมิอาจเพิกเฉยหรือละเลยคนของเขาหญิงสาวหันไปสั่งสาวใช้คนสนิท “เจ้าไปเรียกซิงเยว่มาพบข้าที่เรือนรับอรุณ”“เจ้าค่ะ”มิใช่ว่ามองไม่ออกถึงสายตาดูแคลน ทว่าสิ่งนั้นมิใช่ประเด็นสำคัญที่ซิงเยว่ต้องใส่ใจ เรื่องที่นางสนใจคือคำถามที่นางต้องการคำตอบจากโจวซู่ฉินต่างหากเมื่อเดินมาพบอีกฝ่ายถึงเรือนรับอรุณ ซิงเยว่เพียงยืนนิ่งเพื่อเลือกรับฟังก่อนว่าโจวซู่ฉินเรียกนางมาพบทำไมยามนี้ภายในห้องมีเพียงสตรีสองนาง ไม่มีผู้อื่น จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมทั้งสิ้น“เจ้าคงรู้แล้วว่าไท่หยางฝากข้าให้ดูแลเจ้า”โจวซู่ฉินเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งจิบน้ำชาอยู่ครู่หนึ่ง ท่วงท่ากิริยาที่แสดงออกต่อซิงเยว่
สืบเนื่องจากความทรงจำที่เลือนหาย ตัวตนแท้จริงยิ่งกว่าการเป็นคุณหนูจวนซ่งนางคงเป็นใครสักคนที่มิอาจจะใช้ชีวิตภายนอกแบบไร้ทิศทางให้อยู่รอดได้“ท่านควรพักผ่อนเสียที ดึกมากแล้ว เรื่องปวดหัวเอาไว้ค่อยๆ ขบคิดแก้ไขเถิด”ซิงเยว่ว่าพลางขยับนิ้วคลึงขมับแกร่งคลายการเกร็งร่างสูงจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทราอย่างเชื่อฟังเช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าถูกเตรียมไว้พร้อมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันต้องเดินทางอีกแล้วหรือ?” จ้าวซินเจี๋ยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น้ายังไม่หายคิดถึงเลย”รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มมุมปากของหลิวไท่หยาง เขาไม่เคยโกรธเคืองแม่เลี้ยงผู้นี้ได้นานเลย“ข้าต้องติดต่อการค้ากับผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น จำต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง มิอาจหลีกเลี่ยง”หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ นางกล่าวอวยพรและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอีกหลายประโยคค่อยปล่อยชายหนุ่มหมุนกายเดินห่างไปเพื่อเตรียมขึ้นรถม้าโจวซู่ฉินยืนยิ้มหวานรออยู่ที่รถม้า เมื่อหลิวไท่หยางเดินเข้าหา นางจึงเงยทักทาย ร่างสูงก้มหน้ายิ้มส่งให้ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนมปรองดอง ทำให้ผู้มองเบาใจจ้าวซินเจี๋ยยิ้มละไมให้กับภาพนั้น ก่อนหมุนกายกลับเข้าเรือนเพื่อไปหาสาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้วบุรุษผู้กลัดกลุ้มยังคงต้องอาศัยนอนหนุนตักนุ่มนิ่มเพื่อคลายอาการเคร่งเครียดในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวจันทร์ ซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางยึดตัวไว้ที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนางนั่ง เขานอน ศีรษะหนุนอยู่บนตักนางตลอดคืนกลิ่นหอมสบายจากร่างเนื้อนวลอบอวลคละเคล้ากับกลิ่นอายกร้าวแกร่งจากคนร่างใหญ่ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายไหนๆไม่มีเรื่องกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าไม่อาจข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาวได้แม้แต่น้อย เหตุเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษที่มีคู่หมั้นแล้วและอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งถือตัวมากพอที่จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับผู้ชายที่มีเจ้าของหลิวไท่หยางไม่มีทางทำลายเกียรติของนางในดวงใจซิงเยว่เองก็ไม่คิดเป็นอนุใครเช่นกันแม้ว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นอื่น หากแต่ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สองชายหญิงรู้ดีแก่ใจก็เพียงพอแล้ว“ข้าส่งคนไปตามหาผู้แซ่เนี่ยทุกสารทิศทั่วแคว้น กระทั่งจิ้นสิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา แต่ยังคงไร้ข่าว”หลิวไท่หยางเปรยอย่างเหนื่อยใจขณะนอนเอนกายให้ซิงเยว่คลึงหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นระดับจอมยุทธ์เร้นกายขนาดผู้เยี่ยมยุทธ์ทัดเทียมกันยังไม่แน่ว่าจะหาต
ชายหนุ่มปัดความคิดนี้ไปสิ้น เขาแน่ใจว่าไม่มีแน่ จึงหันมาสนใจคู่สนทนา“ซู่ฉิน เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าถึงได้ใจร้อนวู่วามด่วนตัดสินเยี่ยงนี้”หญิงสาวนัยน์ตาแข็งกร้าวทันที“สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานก็มีหัวใจนะ เมื่อเจอสภาพคนรักเช่นนั้น เรี่ยวแรงมหาศาลมันก็มาเอง”เจ้าผู้แซ่เนี่ยก็ช่างกระไร ไยมิใช่อธิบายอย่างจริงจัง ไฉนโง่งมยืนให้คนรักแทงจนหมดโอกาสพูด!หลิวไท่หยางเข่นเขี้ยวในใจโจวซู่ฉินเสียงสั่น “ข้าก็เพิ่งสืบรู้ภายหลังว่าเข้าใจผิด ทุกวันนี้ยังเสียใจมิเสื่อมคลาย ท่านจะซ้ำเติมข้าเพื่ออันใด”“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าต้องการประชดเขาถูกไหม”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ข้าแค่อยากรักษาตัวเองไว้ หากข้าไม่แต่งกับท่าน คงไม่พ้นแต่งให้หนึ่งในสองสกุลเซี่ยโอว คืนเข้าหอ ข้ายังจะรักษาสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีได้หรือ? วันหนึ่งเมื่อได้เจอพี่เนี่ย ข้ายังจะมองเขาได้เต็มตาอีกหรือ?”หลิวไท่หยางมองโจวซู่ฉินอย่างอึ้งๆ เมื่อคาดเดาความคิดของนางได้ทั้งหมดแล้วแน่นอนว่าโจวซู่ฉินเองก็รับรู้ได้ถึงความปราดเปรื่องของสหาย นางจึงคุกเข่าลง ดวงตาหวานมีประกายวอนขอ ไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้“ข้าใช้การแต่งงานกับท่านเพื่อรักษาความบร
นางรีบเอ่ย “ไท่หยาง ท่านใจเย็นเถิด เห็นแก่ที่เราเป็นสหายมาหลายปี ทุกสิ่งที่ทำไปข้ามีเหตุผลนะ”โจวซู่ฉินพูดเสียงนุ่มนวลหวังคลายโทสะคู่สนทนา ท่วงท่ากิริยายังคงอ่อนโยนทว่าไม่กล้าเชิดหน้ามั่นใจอีกชายหนุ่มยังคงเดือดดาล “อย่าเล่นลิ้นกับข้า ”เรือนร่างกลมกลึงสะดุ้งอีกคราสีหน้าเผือดลงทันควัน นางก้มหน้าเม้มปาก กะพริบขนตาที่เปียกชื้น สลดลงทันใด ช่างเป็นภาพของโฉมสะคราญงามล่มเมืองผู้น่าสงสารที่ทำคนต้องมองแล้วมองอีกทว่าหลิวไท่หยางกลับแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดหรือว่าหากเป็นน้องสาวเจ้าก้าวเข้ามาข้าจะจัดการนางอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงยินยอมเจรจา บอกมา เนี่ยจื่อหานคนรักของเจ้า รู้เรื่องนี้หรือไม่? มิใช่ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันถึงได้ประชดประชันกันด้วยวิธีนี้ ข้าไม่สะดวกเล่นสนุกด้วย”ครั้นได้ยินนามนั้น โจวซู่ฉินพลันสะอึก นางมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไป น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดมุกขาดจากสาย ท่าทางบอบบางน่าสงสารจับใจมากกว่าเดิมเรื่องที่โจวซู่ฉินแอบคบหากับเนี่ยจื่อหานไม่มีใครรู้ นอกจากหลิวไท่หยาง เนื่องจากอีกฝ่ายคือศิษย์ร่วมสำนักกับเนี่ยจื่อหานและเป็นสหายกับนางเมื่อเห็นโจวซู่ฉินร้องไห้ต่อหน้า หลิวไท่หยา
เรือนหลังด้านในล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าสตรีบุรุษคนใดไม่มีสิทธิ์ย่างกรายตามอำเภอใจทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชายน้องชายวัยหนุ่มแน่นหรือกระทั่งบิดามาเยือน ยังต้องรั้งตัวรออยู่เรือนหน้าด้านนอกต้องเป็นผู้ที่มีฐานะพิเศษกับเจ้าของเรือนเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ นั่นก็คือว่าที่สามีชายเดียวที่จะเข้าใกล้หญิงสาวเจ้าของเรือนได้หลิวไท่หยางยืนมองหน้าประตูชั่วครู่ ทั่วร่างยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบชวนขนลุกด้วยความเหน็บหนาวกระนั้นเหล่าสาวใช้กลับมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหม่อลอย พวงแก้มแดงก่ำ ในใจอดมิได้ที่จะวูบวาบสั่นไหว นึกกระอักกระอ่วนกับเสน่ห์เพศอันดึงดูดของเจ้านายหนุ่มพวกนางต่างถูกคัดสรรเลือกเฟ้นมาอย่างดีเยี่ยม เพื่อติดตามนายสาวมาจากจวนเดิม ทั้งรูปร่างและหน้าตาล้วนงดงามเกินฐานะ หมายช่วยเสริมความโปรดปรานและเหนี่ยวรั้งให้สามีของเจ้านายมาเยือนเรือนนี้บ่อยๆนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานในตระกูลใหญ่ อนุของสามีสมควรเป็นคนของภรรยาเอกแต่ดั้งเดิมให้มากเข้าไว้ เรือนหลังจึงจะไม่วุ่นวายเกินไปบุรุษหนุ่มผู้ถูกกลุ่มสตรีมองอย่างหมายมาดเพียงกวาดตามองตอบอย่างช้าๆ ก่อนโบกมือสั่งเสียงเย็นชา “พวกเจ้าออ