หมิงเยว่คิดในใจอย่างอดสู ไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องเข้าสิงร่างบุปผากลีบบางที่ต้องภรรยาของเขา
จังหวะนั้นประตูห้องหอพลันถูกเปิดออกแล้วปิดลงอย่างไม่ใส่ใจ
เรือนร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปรากฏกายตรงเข้ามา
หญิงสาวมองเห็นบุรุษสง่างามน่าเกรงขามผู้ซึ่งอยู่ในห้วงคำนึงแค่รำไรผ่านผ้าคลุมสีแดงที่ปิดใบหน้า
แม้จะเห็นแค่เพียงรำไร ทว่ากลิ่นอายอำมหิตสังหารกลับเข้มข้นขุ่นคลั่กผสมผสานกลิ่นสุราคละคลุ้งทั่วทั้งตัว
หยางเจี้ยนเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ริมโต๊ะข้างเตียง คันชั่งหรือสุรามงคลล้วนไม่ถูกแตะต้อง ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเจ้าสาวของตน ใบหน้าหล่อเหลายิ่งนานยิ่งเยือกเย็นดั่งมีน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลายเกาะกุมอย่างแน่นหนา
หมิงเยว่จึงเปิดผ้าคลุมหน้าด้วยตัวเองเสียงดังพรึบ นางไม่จำเป็นต้องง้อบุรุษผู้นี้แต่อย่างใด ใส่ใจแค่ความเป็นอยู่ของร่างใหม่ก็พอกระมัง
หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเขา หยิบอาหารมงคลกินอย่างไม่เกรงใจ ช่วยไม่ได้ที่นางหิ้วท้องจนปวดมาทั้งวัน จะอดทนหิวโหยต่อไปเพื่ออันใด?
ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบเห็นหยางเจี้ยนมองมา โดยไม่พูดจา สีหน้าและสายตาเย็นชาที่สุด
เขายกสุราขึ้นดื่มอึกๆ
ดื่มเอาๆ ราวกับต้องการลืมเรื่องราวช้ำใจอันใด
แน่นอนว่าหมิงเยว่ไม่คิดถามแม้ครึ่งคำ เพราะเพียรสังเกตเอาเองย่อมได้คำตอบแน่ชัดไม่มากก็น้อยในไม่ช้า
ทว่าเขาผู้นี้แม้หล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์ร้ายกาจ แต่กลับมีใบหน้าไร้อารมณ์เป็นนิตย์ หรือเรียกว่าหน้าตายเป็นเอก ยามนี้หมิงเยว่ย่อมไม่อาจเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เนื่องจากได้เจอกันก็แค่สองครั้ง คือก่อนตายในหุบเขากับหลังกลับชาติมาแล้วได้นั่งในห้องหอกับเขาวันนี้เท่านั้นเอง
สงสัยจะช้ำใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานโดยไม่เต็มใจ
เฮ้อ! พวกคนเมืองหลวงก็เช่นนี้ มีดีที่ใด?
พวกเขาคิดแค่สร้างทายาทไม่สนใจความรักบริสุทธิ์ บุตรสาวมีไว้เชื่อมสัมพันธ์ บุตรชายมีไว้เสริมอำนาจเท่านั้น
แต่หากบุรุษเปี่ยมอำนาจมากเกินไปก็ต้องถูกสตรีฉุดดึงลงมาให้ตกต่ำ ต้องย่ำอยู่กับที่หรือย่ำแย่มากกว่าเดิม ถึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
มองปราดเดียวก็รู้ คนผู้นี้มาตรฐานสตรีสูงลิบ แต่งงานกับสตรีระดับองค์หญิงก็ยังได้ ไหนเลยจะพึงพอใจกับสตรีต่ำต้อยอย่างคุณหนูไป๋เล่า
หญิงสาวล้วนเข้าใจ นางส่ายหน้าน้อยๆ คิดเห็นใจคนตรงหน้าครามครัน พลางยกจอกสุราขึ้นดื่มเป็นเพื่อนเขา
นิสัยใจคอชาวยุทธ์อย่างนางก็เช่นนี้ ห้าวหาญเปิดเผยแถมใจกว้างหยั่งรู้
และเมื่อพบสหายรู้ใจ หมื่นจอกมิเมามายแน่นอน
หมิงเยว่รินสุราใส่จอกที่ว่างเปล่าให้หยางเจี้ยนก่อนแล้วก็รินให้ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่จะว่าไป คนที่น่าเห็นใจที่สุด ไยมิใช่เจ้าของร่างนี้หรอกหรือไร? ถูกคนในครอบครัวทำร้าย สหายเกลียดชัง ยังได้แต่งงานกับบุรุษผู้นี้ ที่มองอย่างไรก็ไม่เต็มใจเป็นสามี
ดูเถิด สายตาคมกริบของเขาเสมือนรั้งรอใครบางคนตลอดเวลา บ่งบอกได้ว่าเขามีใจให้สตรีอื่นไปเรียบร้อยแล้ว หาใช่สตรีตรงหน้าอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่
ยังมีเรื่องน่าสังเวชกว่านี้อีกไหม?
หมิงเยว่เป็นสตรีที่มองคนได้ทะลุปรุโปร่งรู้แจ้งยิ่งนัก หากนางไม่เก่งกาจคงมิใช่อดีตหัวหน้าค่ายโจรจันทราแดงฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ชื่อดังในยุทธภพจนสำนักอื่นต่างริษยา
หยางเจี้ยนผู้นี้แม้ภายนอกแลดูแข็งแกร่งและเย็นชา ท่าทีสุขุมนิ่งขรึมของเขาดูสูงส่งอย่างที่ผู้ใดก็มิอาจเอื้อมถึง ทว่าภายในกลับอบอุ่นอ่อนโยนหากแต่หนักแน่นมั่นคง
ที่สำคัญ เขามีนางในดวงใจแล้ว
การแต่งงานกับคุณหนูไป๋คือเรื่องที่เขาเศร้าใจมาก
คิดพลางดื่มสุราเงียบๆ จอกแล้วจอกเล่า เคียงข้างบุรุษอีกคนที่เอาแต่ดื่มน้ำเมาอย่างแข็งกร้าวดุดัน
เมื่อรถม้าคันที่หลิวไท่หยางนั่งอยู่ด้านในหายลับไปจากสายตา โจวซู่ฉินจึงหันมองสตรีที่นางเพิ่งถูกฝากฝังจากว่าที่สามี แววตาที่มองประเมินมีแต่ความกังขา หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุรุษสูงส่ง รูปโฉมงดงาม ความสามารถน่าทึ่งไร้ที่ติอย่างหลิวไท่หยางถึงได้พึงใจเพียงสาวใช้ต่ำต้อยนางหนึ่งคนอย่างเขาแต่งท่านหญิงสูงศักดิ์เป็นฮูหยินก็ยังได้โจวซู่ฉินรู้สึกว่าสหายไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างยิ่งแม้ใจคิดเช่นนั้นแต่สัจจะที่นางรับปากกับว่าที่สามีไว้ย่อมมิอาจเพิกเฉยหรือละเลยคนของเขาหญิงสาวหันไปสั่งสาวใช้คนสนิท “เจ้าไปเรียกซิงเยว่มาพบข้าที่เรือนรับอรุณ”“เจ้าค่ะ”มิใช่ว่ามองไม่ออกถึงสายตาดูแคลน ทว่าสิ่งนั้นมิใช่ประเด็นสำคัญที่ซิงเยว่ต้องใส่ใจ เรื่องที่นางสนใจคือคำถามที่นางต้องการคำตอบจากโจวซู่ฉินต่างหากเมื่อเดินมาพบอีกฝ่ายถึงเรือนรับอรุณ ซิงเยว่เพียงยืนนิ่งเพื่อเลือกรับฟังก่อนว่าโจวซู่ฉินเรียกนางมาพบทำไมยามนี้ภายในห้องมีเพียงสตรีสองนาง ไม่มีผู้อื่น จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมทั้งสิ้น“เจ้าคงรู้แล้วว่าไท่หยางฝากข้าให้ดูแลเจ้า”โจวซู่ฉินเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งจิบน้ำชาอยู่ครู่หนึ่ง ท่วงท่ากิริยาที่แสดงออกต่อซิงเยว่
สืบเนื่องจากความทรงจำที่เลือนหาย ตัวตนแท้จริงยิ่งกว่าการเป็นคุณหนูจวนซ่งนางคงเป็นใครสักคนที่มิอาจจะใช้ชีวิตภายนอกแบบไร้ทิศทางให้อยู่รอดได้“ท่านควรพักผ่อนเสียที ดึกมากแล้ว เรื่องปวดหัวเอาไว้ค่อยๆ ขบคิดแก้ไขเถิด”ซิงเยว่ว่าพลางขยับนิ้วคลึงขมับแกร่งคลายการเกร็งร่างสูงจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทราอย่างเชื่อฟังเช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าถูกเตรียมไว้พร้อมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันต้องเดินทางอีกแล้วหรือ?” จ้าวซินเจี๋ยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น้ายังไม่หายคิดถึงเลย”รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มมุมปากของหลิวไท่หยาง เขาไม่เคยโกรธเคืองแม่เลี้ยงผู้นี้ได้นานเลย“ข้าต้องติดต่อการค้ากับผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น จำต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง มิอาจหลีกเลี่ยง”หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ นางกล่าวอวยพรและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอีกหลายประโยคค่อยปล่อยชายหนุ่มหมุนกายเดินห่างไปเพื่อเตรียมขึ้นรถม้าโจวซู่ฉินยืนยิ้มหวานรออยู่ที่รถม้า เมื่อหลิวไท่หยางเดินเข้าหา นางจึงเงยทักทาย ร่างสูงก้มหน้ายิ้มส่งให้ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนมปรองดอง ทำให้ผู้มองเบาใจจ้าวซินเจี๋ยยิ้มละไมให้กับภาพนั้น ก่อนหมุนกายกลับเข้าเรือนเพื่อไปหาสาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้วบุรุษผู้กลัดกลุ้มยังคงต้องอาศัยนอนหนุนตักนุ่มนิ่มเพื่อคลายอาการเคร่งเครียดในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวจันทร์ ซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางยึดตัวไว้ที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนางนั่ง เขานอน ศีรษะหนุนอยู่บนตักนางตลอดคืนกลิ่นหอมสบายจากร่างเนื้อนวลอบอวลคละเคล้ากับกลิ่นอายกร้าวแกร่งจากคนร่างใหญ่ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายไหนๆไม่มีเรื่องกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าไม่อาจข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาวได้แม้แต่น้อย เหตุเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษที่มีคู่หมั้นแล้วและอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งถือตัวมากพอที่จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับผู้ชายที่มีเจ้าของหลิวไท่หยางไม่มีทางทำลายเกียรติของนางในดวงใจซิงเยว่เองก็ไม่คิดเป็นอนุใครเช่นกันแม้ว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นอื่น หากแต่ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สองชายหญิงรู้ดีแก่ใจก็เพียงพอแล้ว“ข้าส่งคนไปตามหาผู้แซ่เนี่ยทุกสารทิศทั่วแคว้น กระทั่งจิ้นสิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา แต่ยังคงไร้ข่าว”หลิวไท่หยางเปรยอย่างเหนื่อยใจขณะนอนเอนกายให้ซิงเยว่คลึงหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นระดับจอมยุทธ์เร้นกายขนาดผู้เยี่ยมยุทธ์ทัดเทียมกันยังไม่แน่ว่าจะหาต
ชายหนุ่มปัดความคิดนี้ไปสิ้น เขาแน่ใจว่าไม่มีแน่ จึงหันมาสนใจคู่สนทนา“ซู่ฉิน เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าถึงได้ใจร้อนวู่วามด่วนตัดสินเยี่ยงนี้”หญิงสาวนัยน์ตาแข็งกร้าวทันที“สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานก็มีหัวใจนะ เมื่อเจอสภาพคนรักเช่นนั้น เรี่ยวแรงมหาศาลมันก็มาเอง”เจ้าผู้แซ่เนี่ยก็ช่างกระไร ไยมิใช่อธิบายอย่างจริงจัง ไฉนโง่งมยืนให้คนรักแทงจนหมดโอกาสพูด!หลิวไท่หยางเข่นเขี้ยวในใจโจวซู่ฉินเสียงสั่น “ข้าก็เพิ่งสืบรู้ภายหลังว่าเข้าใจผิด ทุกวันนี้ยังเสียใจมิเสื่อมคลาย ท่านจะซ้ำเติมข้าเพื่ออันใด”“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าต้องการประชดเขาถูกไหม”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ข้าแค่อยากรักษาตัวเองไว้ หากข้าไม่แต่งกับท่าน คงไม่พ้นแต่งให้หนึ่งในสองสกุลเซี่ยโอว คืนเข้าหอ ข้ายังจะรักษาสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีได้หรือ? วันหนึ่งเมื่อได้เจอพี่เนี่ย ข้ายังจะมองเขาได้เต็มตาอีกหรือ?”หลิวไท่หยางมองโจวซู่ฉินอย่างอึ้งๆ เมื่อคาดเดาความคิดของนางได้ทั้งหมดแล้วแน่นอนว่าโจวซู่ฉินเองก็รับรู้ได้ถึงความปราดเปรื่องของสหาย นางจึงคุกเข่าลง ดวงตาหวานมีประกายวอนขอ ไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้“ข้าใช้การแต่งงานกับท่านเพื่อรักษาความบร
นางรีบเอ่ย “ไท่หยาง ท่านใจเย็นเถิด เห็นแก่ที่เราเป็นสหายมาหลายปี ทุกสิ่งที่ทำไปข้ามีเหตุผลนะ”โจวซู่ฉินพูดเสียงนุ่มนวลหวังคลายโทสะคู่สนทนา ท่วงท่ากิริยายังคงอ่อนโยนทว่าไม่กล้าเชิดหน้ามั่นใจอีกชายหนุ่มยังคงเดือดดาล “อย่าเล่นลิ้นกับข้า ”เรือนร่างกลมกลึงสะดุ้งอีกคราสีหน้าเผือดลงทันควัน นางก้มหน้าเม้มปาก กะพริบขนตาที่เปียกชื้น สลดลงทันใด ช่างเป็นภาพของโฉมสะคราญงามล่มเมืองผู้น่าสงสารที่ทำคนต้องมองแล้วมองอีกทว่าหลิวไท่หยางกลับแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดหรือว่าหากเป็นน้องสาวเจ้าก้าวเข้ามาข้าจะจัดการนางอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงยินยอมเจรจา บอกมา เนี่ยจื่อหานคนรักของเจ้า รู้เรื่องนี้หรือไม่? มิใช่ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันถึงได้ประชดประชันกันด้วยวิธีนี้ ข้าไม่สะดวกเล่นสนุกด้วย”ครั้นได้ยินนามนั้น โจวซู่ฉินพลันสะอึก นางมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไป น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดมุกขาดจากสาย ท่าทางบอบบางน่าสงสารจับใจมากกว่าเดิมเรื่องที่โจวซู่ฉินแอบคบหากับเนี่ยจื่อหานไม่มีใครรู้ นอกจากหลิวไท่หยาง เนื่องจากอีกฝ่ายคือศิษย์ร่วมสำนักกับเนี่ยจื่อหานและเป็นสหายกับนางเมื่อเห็นโจวซู่ฉินร้องไห้ต่อหน้า หลิวไท่หยา
เรือนหลังด้านในล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าสตรีบุรุษคนใดไม่มีสิทธิ์ย่างกรายตามอำเภอใจทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชายน้องชายวัยหนุ่มแน่นหรือกระทั่งบิดามาเยือน ยังต้องรั้งตัวรออยู่เรือนหน้าด้านนอกต้องเป็นผู้ที่มีฐานะพิเศษกับเจ้าของเรือนเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ นั่นก็คือว่าที่สามีชายเดียวที่จะเข้าใกล้หญิงสาวเจ้าของเรือนได้หลิวไท่หยางยืนมองหน้าประตูชั่วครู่ ทั่วร่างยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบชวนขนลุกด้วยความเหน็บหนาวกระนั้นเหล่าสาวใช้กลับมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหม่อลอย พวงแก้มแดงก่ำ ในใจอดมิได้ที่จะวูบวาบสั่นไหว นึกกระอักกระอ่วนกับเสน่ห์เพศอันดึงดูดของเจ้านายหนุ่มพวกนางต่างถูกคัดสรรเลือกเฟ้นมาอย่างดีเยี่ยม เพื่อติดตามนายสาวมาจากจวนเดิม ทั้งรูปร่างและหน้าตาล้วนงดงามเกินฐานะ หมายช่วยเสริมความโปรดปรานและเหนี่ยวรั้งให้สามีของเจ้านายมาเยือนเรือนนี้บ่อยๆนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานในตระกูลใหญ่ อนุของสามีสมควรเป็นคนของภรรยาเอกแต่ดั้งเดิมให้มากเข้าไว้ เรือนหลังจึงจะไม่วุ่นวายเกินไปบุรุษหนุ่มผู้ถูกกลุ่มสตรีมองอย่างหมายมาดเพียงกวาดตามองตอบอย่างช้าๆ ก่อนโบกมือสั่งเสียงเย็นชา “พวกเจ้าออ