หอสูงตระหง่านอักษรสีทองประดับประดาโคมแดง ค่ำคืนยาวนาน บุรุษหาความสำราญ ยากข่มตาหลับได้ลง
หยางเจี้ยนยังคงคิดคำนึงถึงใครบางคนที่ตายภายใต้คมกระบี่สุริยันของเขา
แววตาเจิดจรัสแก่กล้าของนางทำให้เขาคล้ายรับรู้ได้ถึงคำขอบคุณกับการปลดปล่อย ซึ่งครุ่นคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ
“เหตุใดทำหน้าอมทุกข์เช่นนั้นเล่า เจ้ากำลังจะมีงานมงคลมิใช่หรือไร? ไยไม่รู้สึกดีที่จะมีสตรีให้นอนกอด”
องค์รัชทายาทแคว้นเยี่ยนที่คืนนี้ปลอมตัวมาร่ำสุราที่หอบุปผากับสหายอย่างแม่ทัพหยางยังคงหยอกเย้าอารมณ์ดี มิได้รับรู้ถึงความทุกข์ใจของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“มาเถิด ยกจอก ไม่เมาไม่เลิกรา”
หยางเจี้ยนจึงสลัดความคิดคำนึง ยกจอกเหล้าขึ้นเบื้องหน้าของตน แล้วดื่มรวดเดียวหมดจอก
“อ่า...ต้องอย่างนี้ สหายข้า”
รัชทายาทหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเช่นกัน ข้างกายสูงค่าของเขานั้นห้อมล้อมไปด้วยสตรีงดงามทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
หยางเจี้ยนยกมือปาดน้ำเมาออกจากริมฝีปากได้รูปอย่างเย็นชา ทว่าท่วงท่ากลับงามสง่าอย่างมาก
แรงที่นิ้วแกร่งขยี้กลีบปากจนช้ำทำให้สีแดงสดนั้นคล้ายดอกกุหลบก็มิปาน ใบหน้าคมคายยังฉายเสน่ห์ลึกล้ำ ทำเอามวลผกาประจำหอบุปผาที่ได้รับสิทธิ์ให้ปรนนิบัติคืนนี้ต่างจับจ้องไม่วางตา
พวกนางเผลอไผลไปกับความหล่อเหลาที่ผสานความกร้าวแกร่งทรงพลังอย่างลงตัวนั้นกันถ้วนหน้า
“คุณชาย ดื่มอีกนะเจ้าคะ ข้ารินให้เจ้าค่ะ”
สาวงามคนหนึ่งรีบยกกาเหล้าขึ้นรินใส่จอกให้เขา หวังมอมเมาอีกฝ่ายให้ขาดสติ จะได้พากันขึ้นห้องไปทำอะไรต่อมิอะไรกันสองต่อสอง
นางผู้นี้เป็นสตรีอันดับหนึ่งของหอบุปผา ทั้งท่วงท่าและกิริยาจึงไม่ต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่สักนิด นางมีจริตน่ามอง ใบหน้าสวยสดหมดจด เนตรงามฉ่ำหวานบาดตาบาดใจ บุรุษส่วนใหญ่เพียงถูกนางปรายตามองเป็นต้องลุ่มหลง ทั้งตัวและหัวใจอ่อนยวบแทบเท้านางทั้งสิ้น
หญิงสาวฉลาดหลักแหลมมาก เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าบุรุษตรงหน้าฐานะไม่ธรรมดา ต่อให้เขาปลอมตัวปกปิดฐานะแท้จริงก็ไม่อาจบดบังรัศมีอันแก่กล้าได้สักเสี้ยว นางคิดว่าหากได้บุรุษตรงหน้าซื้อตัวกลับไป ชาตินี้ทั้งชาติย่อมสุขสบายไร้กังวล ต่อให้เขามีฮูหยินอยู่แล้ว นางก็ไม่สน
สาวงามรอจนหยางเจี้ยนดื่มสุราจอกที่นางยื่นให้จนหมดเกลี้ยงก็รีบคะยั้นคะยอ
“คุณชาย อีกจอกนะเจ้าคะ”
สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบ นอกจากกำยานปรุงพิเศษเพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้บุรุษโอนอ่อนตามสาวงามแล้วในน้ำเหล้ายังผสมสิ่งหนึ่งที่ทำให้บุรุษยิ่งกว่ามัวเมา ทุกจอกที่ดื่มลงคอยิ่งส่งผลให้คนลุ่มหลงยากถอนใจ
คงไม่ต้องบรรยายว่าคือสิ่งใด ชายใดแค่ได้ชิดใกล้ย่อมปรารถนาได้ลิ้มลอง ซึ่งมิใช่แค่น้ำเมา
หลายครั้งที่พวกเขาถึงขั้นหลงลืมภรรยาเพราะกำลังติดอกติดใจในหญิงงาม มิใช่จอกเหล้าในมือตน
รสเสน่หากามารมณ์อันล้ำเลิศจากบุปผาอันดับหนึ่งคือสุดยอดแห่งปรารถนา
หยางเจี้ยนหรี่ตามองเจ้าของเนินอกอวบอิ่มที่พยายามเบียดชิดท่อนแขนแกร่งของตน
“ดื่มอีกจอกนะเจ้าคะ คุณชาย...”
“ถอยออกไป...”
น้ำเสียงกล่าวอย่างเย็นชา ดวงตาคู่คมมองอย่างเยือกเย็น แม่ทัพหนุ่มเพียงรับจอกเหล้ามาดื่มเท่านั้น ไม่คิดดับกระหายด้วยเรือนกายอิสตรีนางใด
สาวงามถึงกับหน้าเจื่อน
เมื่อสาวงามอันดับหนึ่งถูกไล่เช่นนั้น แม่นางทั้งหลายจึงถึงคราวได้ทีบ้าง รีบเข้ามาพะเน้าพะนอแทนที่
“คุณชาย ดื่มจอกของข้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
ทั้งจอกเหล้าและกับแกล้มถูกสาวงามสองนางยื่นมาตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ แต่หยางเจี้ยนขึงตาใส่
รัชทายาทหนุ่มมองอย่างหมั่นไส้ “จะหวงเนื้อหวงตัวไปถึงไหนเล่า?”
เพราะปลอมตัวเป็นเพียงคุณชายไร้บรรดาศักดิ์ กิริยาวาจาและท่าทีจึงมิจำเป็นต้องสูงส่งหรือมีสัมมาคารวะนอบน้อมอันใด
หยางเจี้ยนจึงเอ่ยเสียงหนักไปทางรัชทายาท
“ข้าไม่สะดวก”
“ไม่สะดวกหรือรังเกียจกันเล่า เอาเถิด คืนนี้แค่เลือกซื้อตัวสาวบริสุทธิ์สักคนก็ใช้ได้แล้ว พาไปเลี้ยงดูยังได้นะ”
คำของรัชทายาททำแม่นางสองคนที่นั่งจ้องมองอยู่พลันมีดวงตาที่ทอประกายวาววับ นึกหาญกล้าขึ้นมา
“ข้าน้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยผุดผ่องยิ่งนัก”
“ข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ไม่เคยรับแขกคนใดเลย”
สาวงามอันดับหนึ่งมีหรือจะช้า นางรีบผลักสาวงามสองคนออกไปแล้วถลันเข้ามา
“ฮวาเอ๋อร์มอบชีวิตให้ท่าน”
ทว่าหยางเจี้ยนไม่ตอบรับแม้ครึ่งคำ ยังคงดื่มเหล้าอย่างเงียบงันเย็นชา ปล่อยความแสบร้อนของน้ำเมาไหลผ่านลำคออย่างช้าๆ ฤทธิ์ของมันทำเขาเคลิบเคลิ้มและคิดถึงแววตาชวนสนเท่ห์และเปี่ยมเสน่ห์มนต์มารอีกครั้ง
รัชทายาทจึงแค่นเสียงเฮอะก่อนหันไปสนใจสาวงามของตนโดยไม่สนใจสหายรักอีก
แค่ได้สมรสพระราชทานกับสตรีที่ไม่ได้รักจะทุกข์ใจอันใดนักหนาเล่า ตัวเขาต้องแต่งชายาเข้าวังบูรพามากมาย โดยไม่มีสตรีใดน่าพึงใจสักคนยังไม่บ่นสักคำ
หลังจากแยกย้ายจากรัชทายาท หยางเจี้ยนก็ควบม้ากลับเข้าจวนสกุลหยาง เมื่อกลับถึงห้อง เขาก็ล้มตัวลงนอน ในห้วงนิทรา เขาเห็นแต่ภาพเงาเลือนรางของสตรีนางหนึ่ง
นางผู้นี้ล่องลอยยั่วยวนชวนหวั่นไหวอยู่ในอากาศ ฝ่ามือหนาค่อยๆ เอื้อมคว้าสุดแขน หมายดึงนางเข้ามากอดเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นทดแทนคมดาบเย็นเยียบที่สะบั้นคอนาง หัวใจของหยางเจี้ยนเต้นระส่ำรุนแรง โลหิตในกายพลุ่งพล่าน เขาจ้องนางไม่วางตา ด้วยเกรงว่านางจะหายไป
ภายใต้สีหน้าเย็นชา หัวใจบุรุษปวดร้าวเกินบรรยาย
สืบเนื่องจากความทรงจำที่เลือนหาย ตัวตนแท้จริงยิ่งกว่าการเป็นคุณหนูจวนซ่งนางคงเป็นใครสักคนที่มิอาจจะใช้ชีวิตภายนอกแบบไร้ทิศทางให้อยู่รอดได้“ท่านควรพักผ่อนเสียที ดึกมากแล้ว เรื่องปวดหัวเอาไว้ค่อยๆ ขบคิดแก้ไขเถิด”ซิงเยว่ว่าพลางขยับนิ้วคลึงขมับแกร่งคลายการเกร็งร่างสูงจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทราอย่างเชื่อฟังเช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าถูกเตรียมไว้พร้อมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันต้องเดินทางอีกแล้วหรือ?” จ้าวซินเจี๋ยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น้ายังไม่หายคิดถึงเลย”รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มมุมปากของหลิวไท่หยาง เขาไม่เคยโกรธเคืองแม่เลี้ยงผู้นี้ได้นานเลย“ข้าต้องติดต่อการค้ากับผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น จำต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง มิอาจหลีกเลี่ยง”หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ นางกล่าวอวยพรและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอีกหลายประโยคค่อยปล่อยชายหนุ่มหมุนกายเดินห่างไปเพื่อเตรียมขึ้นรถม้าโจวซู่ฉินยืนยิ้มหวานรออยู่ที่รถม้า เมื่อหลิวไท่หยางเดินเข้าหา นางจึงเงยทักทาย ร่างสูงก้มหน้ายิ้มส่งให้ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนมปรองดอง ทำให้ผู้มองเบาใจจ้าวซินเจี๋ยยิ้มละไมให้กับภาพนั้น ก่อนหมุนกายกลับเข้าเรือนเพื่อไปหาสาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้วบุรุษผู้กลัดกลุ้มยังคงต้องอาศัยนอนหนุนตักนุ่มนิ่มเพื่อคลายอาการเคร่งเครียดในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวจันทร์ ซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางยึดตัวไว้ที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนางนั่ง เขานอน ศีรษะหนุนอยู่บนตักนางตลอดคืนกลิ่นหอมสบายจากร่างเนื้อนวลอบอวลคละเคล้ากับกลิ่นอายกร้าวแกร่งจากคนร่างใหญ่ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายไหนๆไม่มีเรื่องกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าไม่อาจข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาวได้แม้แต่น้อย เหตุเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษที่มีคู่หมั้นแล้วและอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งถือตัวมากพอที่จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับผู้ชายที่มีเจ้าของหลิวไท่หยางไม่มีทางทำลายเกียรติของนางในดวงใจซิงเยว่เองก็ไม่คิดเป็นอนุใครเช่นกันแม้ว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นอื่น หากแต่ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สองชายหญิงรู้ดีแก่ใจก็เพียงพอแล้ว“ข้าส่งคนไปตามหาผู้แซ่เนี่ยทุกสารทิศทั่วแคว้น กระทั่งจิ้นสิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา แต่ยังคงไร้ข่าว”หลิวไท่หยางเปรยอย่างเหนื่อยใจขณะนอนเอนกายให้ซิงเยว่คลึงหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นระดับจอมยุทธ์เร้นกายขนาดผู้เยี่ยมยุทธ์ทัดเทียมกันยังไม่แน่ว่าจะหาต
ชายหนุ่มปัดความคิดนี้ไปสิ้น เขาแน่ใจว่าไม่มีแน่ จึงหันมาสนใจคู่สนทนา“ซู่ฉิน เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าถึงได้ใจร้อนวู่วามด่วนตัดสินเยี่ยงนี้”หญิงสาวนัยน์ตาแข็งกร้าวทันที“สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานก็มีหัวใจนะ เมื่อเจอสภาพคนรักเช่นนั้น เรี่ยวแรงมหาศาลมันก็มาเอง”เจ้าผู้แซ่เนี่ยก็ช่างกระไร ไยมิใช่อธิบายอย่างจริงจัง ไฉนโง่งมยืนให้คนรักแทงจนหมดโอกาสพูด!หลิวไท่หยางเข่นเขี้ยวในใจโจวซู่ฉินเสียงสั่น “ข้าก็เพิ่งสืบรู้ภายหลังว่าเข้าใจผิด ทุกวันนี้ยังเสียใจมิเสื่อมคลาย ท่านจะซ้ำเติมข้าเพื่ออันใด”“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าต้องการประชดเขาถูกไหม”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ข้าแค่อยากรักษาตัวเองไว้ หากข้าไม่แต่งกับท่าน คงไม่พ้นแต่งให้หนึ่งในสองสกุลเซี่ยโอว คืนเข้าหอ ข้ายังจะรักษาสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีได้หรือ? วันหนึ่งเมื่อได้เจอพี่เนี่ย ข้ายังจะมองเขาได้เต็มตาอีกหรือ?”หลิวไท่หยางมองโจวซู่ฉินอย่างอึ้งๆ เมื่อคาดเดาความคิดของนางได้ทั้งหมดแล้วแน่นอนว่าโจวซู่ฉินเองก็รับรู้ได้ถึงความปราดเปรื่องของสหาย นางจึงคุกเข่าลง ดวงตาหวานมีประกายวอนขอ ไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้“ข้าใช้การแต่งงานกับท่านเพื่อรักษาความบร
นางรีบเอ่ย “ไท่หยาง ท่านใจเย็นเถิด เห็นแก่ที่เราเป็นสหายมาหลายปี ทุกสิ่งที่ทำไปข้ามีเหตุผลนะ”โจวซู่ฉินพูดเสียงนุ่มนวลหวังคลายโทสะคู่สนทนา ท่วงท่ากิริยายังคงอ่อนโยนทว่าไม่กล้าเชิดหน้ามั่นใจอีกชายหนุ่มยังคงเดือดดาล “อย่าเล่นลิ้นกับข้า ”เรือนร่างกลมกลึงสะดุ้งอีกคราสีหน้าเผือดลงทันควัน นางก้มหน้าเม้มปาก กะพริบขนตาที่เปียกชื้น สลดลงทันใด ช่างเป็นภาพของโฉมสะคราญงามล่มเมืองผู้น่าสงสารที่ทำคนต้องมองแล้วมองอีกทว่าหลิวไท่หยางกลับแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดหรือว่าหากเป็นน้องสาวเจ้าก้าวเข้ามาข้าจะจัดการนางอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงยินยอมเจรจา บอกมา เนี่ยจื่อหานคนรักของเจ้า รู้เรื่องนี้หรือไม่? มิใช่ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันถึงได้ประชดประชันกันด้วยวิธีนี้ ข้าไม่สะดวกเล่นสนุกด้วย”ครั้นได้ยินนามนั้น โจวซู่ฉินพลันสะอึก นางมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไป น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดมุกขาดจากสาย ท่าทางบอบบางน่าสงสารจับใจมากกว่าเดิมเรื่องที่โจวซู่ฉินแอบคบหากับเนี่ยจื่อหานไม่มีใครรู้ นอกจากหลิวไท่หยาง เนื่องจากอีกฝ่ายคือศิษย์ร่วมสำนักกับเนี่ยจื่อหานและเป็นสหายกับนางเมื่อเห็นโจวซู่ฉินร้องไห้ต่อหน้า หลิวไท่หยา
เรือนหลังด้านในล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าสตรีบุรุษคนใดไม่มีสิทธิ์ย่างกรายตามอำเภอใจทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชายน้องชายวัยหนุ่มแน่นหรือกระทั่งบิดามาเยือน ยังต้องรั้งตัวรออยู่เรือนหน้าด้านนอกต้องเป็นผู้ที่มีฐานะพิเศษกับเจ้าของเรือนเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ นั่นก็คือว่าที่สามีชายเดียวที่จะเข้าใกล้หญิงสาวเจ้าของเรือนได้หลิวไท่หยางยืนมองหน้าประตูชั่วครู่ ทั่วร่างยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบชวนขนลุกด้วยความเหน็บหนาวกระนั้นเหล่าสาวใช้กลับมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหม่อลอย พวงแก้มแดงก่ำ ในใจอดมิได้ที่จะวูบวาบสั่นไหว นึกกระอักกระอ่วนกับเสน่ห์เพศอันดึงดูดของเจ้านายหนุ่มพวกนางต่างถูกคัดสรรเลือกเฟ้นมาอย่างดีเยี่ยม เพื่อติดตามนายสาวมาจากจวนเดิม ทั้งรูปร่างและหน้าตาล้วนงดงามเกินฐานะ หมายช่วยเสริมความโปรดปรานและเหนี่ยวรั้งให้สามีของเจ้านายมาเยือนเรือนนี้บ่อยๆนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานในตระกูลใหญ่ อนุของสามีสมควรเป็นคนของภรรยาเอกแต่ดั้งเดิมให้มากเข้าไว้ เรือนหลังจึงจะไม่วุ่นวายเกินไปบุรุษหนุ่มผู้ถูกกลุ่มสตรีมองอย่างหมายมาดเพียงกวาดตามองตอบอย่างช้าๆ ก่อนโบกมือสั่งเสียงเย็นชา “พวกเจ้าออ
เมื่ออยู่เพียงลำพังสองต่อสอง นางจึงเริ่มไกลเกลี่ย “หยางเอ๋อร์ มิใช่ว่าน้าอยากขู่เข็ญหรือบีบบังคับเจ้า เพียงแต่เมื่อก่อนน้าก็ตามใจให้เจ้าออกไปทำสิ่งที่ชอบแล้ว เจ้าอยากฝึกวรยุทธ์ ปรารถนาท่องหล้า ข้าไม่เคยขัดสักครา”นางเว้นวาจาถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงพลิ้วแผ่วทว่ากลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาดไม่ให้โอกาสคนโต้แย้ง “เจ้าก็รู้ว่าแคว้นเยี่ยนมีสกุลทรงอิทธิพลที่คอยจ้องกลืนกิน หมายมาดคิดกำราบเราให้ตกต่ำโดยตลอด สี่สกุล หลิว โจว เซี่ย โอว ต่างขับเคี่ยวกันและกันเสมอมา”หลิวไท่หยางนิ่งฟังมิเอ่ยวาจา แววตายังคงเย็นชาไร้ความรู้สึก สีหน้าไม่บ่งบอกความคิดใด ยากคาดเดาทุกสิ่ง เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ“หยางเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ดีปานใด สกุลโจวคิดเชื่อมสัมพันธ์หนึ่งในสามสกุล หากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ปล่อยให้สกุลเซี่ยหรือสกุลโอวได้สกุลโจวไป สกุลหลิวจะรักษาอันดับหนึ่งได้หรืออย่างไร ยังจะยืนหยัดเพื่อบรรพบุรุษที่เพียรสร้างมาอย่างยากลำบากได้หรือ?”นางส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวต่ออย่างทอดถอนใจว่า“หยางเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ ด้วยตำแหน่งผู้สืบทอดของเจ้าและความสามาถที่มีมากกว่าน้องเล็ก ใช่ว่าเจ้าอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธไ