“เขาชื่อริวาโก้ คาสซายะ”
“อ๋อ...อะไรนะ วันวันโก้ คัดจายะ เออ...แปลกดีนะ ทั้งชื่อทั้งนามสกุลเลย พ่อแม่ตั้งมาได้ไงหว่า? ชื่อยังกับคนเป็นหวัด” แสงกล้าแกล้งผันชื่ออีกฝ่ายให้ผิดเพี้ยนไปด้วยตั้งใจล้อเพื่อน
“รู้ไหมยายลูกเจี๊ยบ ตอนนั้นกลัวใจแกจะแย่ กลัวทนเก็บความรักเอาไว้ในอกไม่ไหว รีบไปสารภาพรักและเอาไม้หน้าสามตีหัวไอ้ฝรั่งดองนั่นพาเข้าห้องปล้ำเขาเสียแล้วนะ” แบะปาก พร้อมเสียงขลุกขลักในลำคอ กลั้นหัวเราะจนหน้าคล้ำแดดเริ่มมีสีแดงแต้ม
“เออ...ทีใครทีมันนะไอ้กล้า” กฤติกายกมือชี้หน้าเพื่อน จมูกเล็กโด่งได้รูปยู่ย่น กลีบปากอิ่มนุ่มยู่ยื่น
ถึงวันนี้เธอก็ยังไม่กล้าบอกความในใจให้กับเพื่อนหนุ่มคนที่ถูกเอ่ยถึงได้รู้ แต่ยังดีที่ก่อนอีกฝ่ายจะตามบิดากลับไปประเทศ เธอและริวาโก้ได้กลายเป็นเพื่อนกันแล้ว จึงไดมีการติดต่อทางจดหมาย ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นการสื่อสารในโลกออนไลน์อย่างปัจจุบัน และไม่ค่อยจะอายสักเท่าไหร่ ถ้าจะพูดคุยเรื่องความรู้สึกภายในที่เหมือนกับการแย้มๆ เปิดหัวใจให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้ถึงความภายในใจที่มีให้
“ไม่แขวะฉันสักครั้ง แกกินปลาแล้วก้างมันติดคอหรือไงวะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกระแทกกระทั้น หน้าบูดบึ้ง
“เปล่าโว้ย ฉันแค่สงสัยเท่านั้นเอง ทำไมไอ้เจ้านั่นไม่ใช้บริการไปรษณีย์ล่ะ สะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ ส่งถึงมือแกด้วย อีกอย่างไม่ต้องกลัวว่าคนเฟอะฟะอย่างแกจะพาไปทำตกหล่นหายที่ไหน ให้เจ้าของเขาต้องตามหาของสำมะคัน” แสงกล้ากระดกลิ้นขณะพูดเสียงเลยเพี้ยนไปเล็กน้อยให้กฤติกาได้ตวัดค้อนใส่อีกขวับใหญ่
“ก็ถามไปแล้วนะ เห็นบอกตอนแรกจะเอามาให้เลย แต่มีคำสั่งด่วนหรืออะไรก็ไม่รู้ ให้แวะทำธุระที่สิงคโปร์ก่อน เขาเลยจะฝากเพื่อนฝากอะไรเขาก็ไม่รู้ ให้ฉันไปรับที่สนามบินน่ะ” กฤติกาบอกอย่างงวยงงเช่นกัน ไหล่กว้างเลิกขึ้นเล็กน้อย “ช่างเถอะ จะยังไง ฉันแค่ไปเอาของอย่างเดียวพอ ว่าแต่แกเถอะ ไปหรือไม่ไป”
“ยังไม่รู้ เอาเป็นว่าแกเอาเบอร์มา ไปหรือไม่ไปยังไง ฉันจะโทรไปบอก”
“อือ...ขอบใจนะแก” กฤติกาพยักหน้ารับ บอกเบอร์แสงกล้าไปก่อนอีกฝ่ายหยอดมาให้เธอบันทึกเบอร์ไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ทันจะได้เก็บโทรศัพท์ไว้ก็มีอีกสายเข้ามา
“ว้า...เสียดายจัง ยังคุยยังไม่มันเลย แม่โทรมาตามแล้ว” ไม่เพียงแค่น้ำเสียงที่บอกเสียดายสุดๆ ดวงหน้าขาวใสก็แบะออกเหมือนจะติดรำคาญ แต่ปากกลับคลี่ยิ้ม ดวงตาใสแจ๋วเป็นประกาย เมื่อหวนคิดถึงคุณนายแม่หุ่นอวบอ้วน ที่กลับบ้านไปเมื่อไหร่ เธอจะต้องอ้อนขอนอนกอดเสียทุกครั้งไป ร้อนถึงผู้เป็นบิดาที่ตวัดหน้างอนๆ ไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันว่างเมื่อไหร่ จะแวะเวียนไปเที่ยวร้านแกแล้วกัน จะได้หาอะไรกิน ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วย”
“ร้านฉันไม่ใช่โรงทานนะยะ ที่จะมีที่ให้แกนอนหลับ มีอาหารให้แกกินฟรีน่ะ”
“งก!” แสงกล้าเอ่ยว่าสีหน้ายิ้มๆ ด้วยรู้ดีแก่ใจ กฤติกาพูดไปอย่างนั้นเอง เพื่อนสาวเขาใจดีจะตาย
“ก็ใช่สิ ของซื้อมานี่หว่า ไม่ใช่ได้มาฟรีๆ จะให้กินฟรีๆ ได้ไงล่ะ” ตอบกลับเสียงใส ตาแป๋วซื่อบริสุทธิ์ แต่ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก “แต่ถ้าแกไปจริงๆ ก็ดีนะ ร้านฉันเพิ่งทำเสร็จไม่นาน ข้าวของยังวางเกะกะอยู่เลย หาคนงานยกของยากเสียด้วย มีคนหลงไปให้ใช้ฟรีๆ แถมได้กำจัดพวกข้าวของเหลือใช้ ทิ้งไว้รกร้านก็ดีเหมือนกัน”
“ไม่พูดกับแกแล้วไอ้ลูกเจี๊ยบ จะกลับแล้วใช่ไหม รอเดี๋ยว ฉันไปเอารถออกก่อน จะขับไปส่ง”
อยากอาละวาดใส่ไอ้เพื่อนผิวหมึก แต่อีกฝ่ายน่ะหัวเราะลั่นและรีบชิ่งวิ่งข้ามถนนไปเสียแล้ว กฤติกาได้แต่ชี้มือไล่ตามแผ่นหลังกว้าง “ฝากไว้ก่อนเถอะแก อย่าให้ฉันมีโอกาสนะ จะเอาคืนให้หนักเชียว”
“หยุดเลยนะแกไอ้ปลาหมึก” กฤติกาทำหน้ามุ่ย ชี้หน้าเพื่อนหนุ่มที่ยังไม่รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘คอขาด’ เพราะยังล้อเรื่องที่เธอทำใจกล้าเอาบัวลอยไข่หวานไปให้กับเด็กชายข้างห้องที่แอบสนใจสมัยชั้นประถม
เพราะตั้งใจมากเกินไปหรือเพราะกระเปิ๊บกระป๊าบมากไปก็ไม่รู้ได้ แทนที่อีกฝ่ายจะได้กินกลับกลายเป็นว่า บัวลอยไข่หวานถ้วยนั้นอันตรธานลอยไปราดไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมเธอยังไถลไปชนเข้าไผ่น้อยซ้ำอีก จนอีกฝ่ายเจ็บจุกหน้าเขียวหน้าเหลือง แผดร้องดังลั่นโรงเรียน นับตั้งแต่วันนั้นเด็กชายก็จะคอยหลบหน้าหลบตาเธอ แต่เมื่อไหร่ที่เจอจังๆ ก็จะทำราวกับเจอหมาแมวเป็นโรคเรื้อน ต้องไล่ให้ไปไกลๆ ก่อนวิ่งหนีไปตูดสั่น ไม่เหลียวหลังกลับมามอง
“ถ้าไม่หยุดล้อฉันนะ ฉันจะ...” กฤติกาคิดไม่ออกว่าจะเอาคืนเพื่อนรักยังไงดี
“จะอะไรยายลูกเจี๊ยบ จะเอาขนมบัวลอยราดฉันหรือ” แสงกล้าถามเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ จะว่าไปเพื่อนเขาก็สวยอยู่นะ ดวงหน้ารูปหัวใจ แก้มนวลเนียนใสจนเห็นเส้นเลือดฝาด ดวงตากลมโตใสแจ๋วสีดำสนิทราวกับนิล ล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกเล็กโด่งได้รูปรับกับกลีบปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อ อย่างที่เขาเรียกปากนิดจมูกหน่อย
ผิวหรือถึงจะไม่ขาวอย่างที่เขาเรียกว่าไข่ปอก แต่ก็นวลเนียนเป็นสีน้ำผึ้งจางๆ รูปร่างไม่ถึงกับสูงโปร่งอย่างนางแบบ แต่ก็ไม่จัดว่าเตี้ย น่าจะเรียกว่าเล็กกะทัดรัดฉบับกระเป๋า แต่อ้อนแอ้นอรชรด้วยสัดส่วนอกเป็นอก เอวเป็นเอว แต่อวบอัดไปทุกส่วน เป็นคนสดใสร่าเริง มนุษย์สัมพันธ์ก็ดี แต่ทำไมถึงยังไม่มีแฟน?
“ถามจริงยายลูกเจี๊ยบ หน้าตาแกจัดว่าสวยแต่น้อยกว่าแฟนฉันนิดหนึ่งนะ แล้วยังไปเรียนกรุงเทพฯ ตั้งนาน ทำไมถึงยังไม่มีแฟนวะ ไหนเขาพูดกันว่าที่นั่นน่ะ หาผู้ชายง่ายยิ่งกว่าหาเงินเข้ากระเป๋าอีก”
“บ้าแล้วแก หาแฟนนะ ไม่ใช่สุนัขคุ้ยหาขยะข้างถนน ที่จะได้ง่ายขนาดนั้น ฉันเป็นผู้หญิงนะโว้ย มันต้องดูให้ดีหน่อย ไอ้ประเภทที่ว่าเห็นหน้าปุ๊บรักปั๊บ ไม่สนใจว่าจะมาจากไหน นิสัยยังไงอย่างในนิยายน้ำเน่านะ ไม่มีหรอกโว้ย”
“เออ...แกก็เลยเลือกจะปีนขึ้นไปนั่งบนคาน คอยมองหาผู้ชายแสนจะเลิศเลอเฟอร์เฟ็กมาสะดุดคุณทีนว่างั้นเถอะ เฮ้อ...” แสงกล้าแกล้งผ่อนลมหายใจออกจากปอดหนักๆ ให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย
“เลือกมากขนาดนั้น ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะหาได้หรือเปล่านะ ไอ้พัดลมน่ะ” ล้ออย่างนึกขึ้นได้ กฤติกากระเปิ๊บกระป๊าบและซุ่มซ่าม อีกอย่างก็คล้ายกับคนดวงไม่ดีเรื่องผู้ชาย ไม่ว่าจะสนใจผู้ชายคนไหนก็มีอันทำให้เขาต้องเจ็บตัวก่อน เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้สมัครเป็นแฟนยายนี่
“ใครจะเหมือนแกล่ะ เห็นผู้หญิงแล้วทำอาย หน้าแดง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าสบตาเขา เผลอแป๊บเดียวไปขอเขาเป็นแฟนแล้ว ชิชะ...ช่างกล้าจริงๆ นะแก คอยดูนะ เจอหน้าแฟนแกเมื่อไหร่ ฉันจะไปเบียดกระแซะ และกระซิบว่า...” กฤติกาทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์ แล้วยังจะผุดรอยยิ้มที่มุมปากให้แสงกล้าร้อนๆ หนาวๆ เล่น
“แกจะทำอะไรยายลูกเจี๊ยบ”
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ยิ้มนะลูกไก่ ให้กำลังใจฉันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เอาชนะพวกมารและจะได้รีบกลับมาหาเธอ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาตั้งใจเอ่ยคำนี้หรือเปล่า แต่เอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่เนื้อนุ่มหวาน“คุณเจ” หัวใจถึงกับโป่งพองราวลูกโป่งอัดแก๊ส จนลอยลิ่วไปบนฟากฟ้าสีครามสดใส ก่อนดวงหน้าผ่องพรรณจะหมองหม่นลงเมื่อเสียงประกาศเตือนดังมาอีกครั้ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอย่างแสงกล้าพูด...เอ่ยบอกเขาให้รู้ความจริงในใจ ดีกว่าเก็บเอาไว้ในอกพร้อมความเจ็บช้ำ ได้บอกรักแม้ต้องผิดหวัง ยังดีกว่าไม่ได้บอกให้เขารู้กฤติกาจับมือใหญ่ มองเข้าไปในแววตาเข้ม “ลูกไก่มาเพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณเจค่ะ...” สูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมความกล้า“ลูกไก่...รักคุณเจค่ะ” กฤติกาเอ่ยเสียงเข้มและหนักแน่นอันเจโล่เต็มตื้นกับคำรักที่ได้ยินจนหัวใจคล้ายลูกโป่งที่ถูกสูบแก็สอัดไปจนเต็มลอยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้าในทันควัน “ลูกไก่!” สมควรเป็นเขาที่ต้องเอ่ยบอกคำนี้ออกไปก่อน แต่นี่คนตัวเล็กกลับ...เขายอมแพ้ใจเธอจริงๆ แขนกำยำสอดรวบกอดร่างเล็กแนบอก“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงมีแค่คำนี้...ขอบใจนะลูกไก่ที่รักคนนิสัยไม่ดีอย่างฉัน” คำเล็ก ๆ ที่มีอาน
อันเจโล่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา แม้อยากยืดเวลาออกไปแม้แค่เสียววินาที เพื่อให้ตัวเองได้เฝ้ารอด้วยความหวังอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องยอมรับความจริง กฤติกาไม่มาร่างหนาผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยเท้าที่หนักอึ้งจนแทบเดินต่อไม่ไหว ในหัวใจราวกับถูกเศษแก้วแตกที่ฝังอยู่ในก้อนเนื้อบาดเฉือนทุกการหายใจ เหมือนโลกที่ยืนอยู่แปรปรวน แผ่นดินไหวโยกทำให้เขายืนทรงตัวไม่อยู่ จนต้องเฝ้าถามย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เป็นอะไรไป?“นายครับ”“มีอะไร”“จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ” กลับไปคราวนี้ศึกหนักหนาสาหัสรอนายอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงสามารถเคลียร์เรื่องราวให้มันจบลงไปด้วยดี เขาอยากให้นายได้มีเวลาอยู่กับกฤติกาอีกหน่อย ได้เก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นกำลังใจยามที่ต้องต่อสู้กับเรื่องร้าย“ฉันไม่เป็นไร” อาการเขาคงหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งลูกน้องยังสังเกตเห็นได้“จะให้คุณ...”“อย่าเลย” รู้ว่าเดโก้จะเสนออะไร เขาเองก็เคยคิดแวบ ๆ แต่คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของกฤติกา แต่อีกส่วนก็มาจากตัวเองที่ดันปากหนักเองช่วยไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากชวนแม่เนื้อนุ่มไปด้วยนะ ป่านนี้ก็มีเธอข้างกายเรียบร้
“ลูกไก่” เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า ฝ่ามือหนาไล้ลูบอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับจุมพิตไต่เลื่อนเคลื่อนไปบนผิวกายเนียนนุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างเชื่องช้า“ขา...” กฤติกาขานรับ เพียงแค่มองสบนัยน์ตากับอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูดอีกแล้ว... “เมื่อไหร่คะคุณเจ” เธออยากรู้ มีเวลานานเท่าไหร่ในอ้อมแขนแกร่งนี้“พรุ่งนี้” ตอบกลับเสียงพร่าแหบราวกับในอกถูกก้อนหินไร้น้ำหนักกดทับอยู่“เร็วจังเลยนะคะ” เปรยเสียงแหบแห้ง อยากขอเขาว่าอย่างเพิ่งไปได้ไหม อยู่กับเธออีกสักวันได้ไหม แต่กฤติกาก็พูดไม่ออก ด้วยรู้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย คงทำได้แค่...ใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่าที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำในวันต้องจากร้างห่างลากัน“ฉัน...” ถ้าเธอพูดอะไรนอกจากนี้สักคำ เขาคงรู้สึกดีกว่าการได้รับรอยยิ้มแห้งๆ นัยน์ตาหวานเศร้าอมโศกอย่างนี้นิ้วยาวเล็กยื่นไปทาบบนปากหนา “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไก่รู้ว่าคุณเจจำเป็น แค่...คืนนี้ เรา...” ปวดร้าวไปหมดทั้งทรวงจนพูดไม่ออก“ฉันรู้...คืนนี้ จนถึงเวลานั้น” ไม่อยากพูดถึงเวลาจำต้องลาจาก “เราจะมีกันและกันใช่ไหมลูกไก่”“ค่ะ...เราจะมีกันและกัน” กฤติกา
“ว่าไงอันเจโล่ จะบอก หรือจะให้ลูกไก่เจ็บมากกว่านี้”“อย่านะคุณเจ อย่า...‘บอก’” กลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน เมื่อบาดแผลถูกกดเปิดออกจนเลือดไหลซึมออกมา“ลูกไก่!” กัดฟันกรอด อยากลุกขึ้นไปช่วยแม่หวานใจจนตัวสั่น แต่เพราะถูกจับเอาไว้เลยต้องทนเห็นแม่เนื้อนุ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จะไม่สัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีโอกาสพาตัวเองหลุดรอดไปเมื่อไหร่ ริวาโก้ต้องรับผิดชอบในความเจ็บของลูกไก่น้อย แน่นอน!“ว่าไงอันเจโล่ หรือจะให้ฉัน...” ไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของใคร แต่มันจำเป็น“ได้” กัดฟันกรอดขณะตอบอีกฝ่าย “ฉันยอมบอก แต่แกห้ามทำร้ายลูกไก่”“ไม่นะคุณเจ! ยะ...อย่า...” กฤติการ้องห้ามก่อนเสียงจะขาดหายไป ด้วยเจ็บและหน้ามืด พ่วงด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดไหลข้างขมับและแผ่นหลัง“อย่าคิดตุกติกนะอันเจโล่ แกทำเมื่อไหร่ เตรียมตัวเห็นลูกไก่กลายเป็นคนที่มีร่างที่ไร้วิญญาณแน่นอน” ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว เอาจริงทุกคำพูดด้วย เขายอมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อให้อันเจโล่และครอบครัวประสบกับความหายนะ แก้แค้นให้กับตัวเองและทุกๆ คนที่ถูกกระทำจากครอบครัวนี้ให้สาสม!อันเจโล่มองดวงหน้าผุดผาดขาวซีด