“เออ... ให้มันเจริญๆ แล้วกัน” ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะอึ้งจนพูดไม่ออกเสียมากกว่า
“อ้าว แกพูดอย่างนี้หมายความว่าไงไอ้พระแสงกล้ามีดบิ่น แช่งกันนี่หว่า” ดวงหน้าขาวใสงอง้ำ นัยน์ตากลมใสเริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า กลีบปากอิ่มสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันอย่างเอาเรื่อง
แสงกล้าสะบัดศีรษะ ขึ้นชื่อเขาด้วยไอ้และเรียกยาวต่อท้ายมาด้วยสรรพนามแปลกๆ เมื่อไหร่ แสดงว่าเพื่อนสาวไม่เริ่มไม่พอใจแล้ว ให้เขารีบดึงการสนทนาออกไปเส้นทางอื่น ก่อนความโกรธนั้นจะทำให้อีกฝ่ายงัดเรื่องน่าอายๆ ของเขามาพูดประจานให้อายเพื่อนฝูง
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แกคิดมากไปเองต่างหากล่ะ ว่าแต่แกเถอะ มาจากไหนนะ ไหนว่าเปิดร้านแล้วทำไมถึงไม่เฝ้าร้าน”
“ฉันก็มีธุระปะปังกันบ้างสิ จะให้นั่งเฝ้าร้านตลอดยีบสี่ (ยี่สิบสี่) ชั่วโมงได้ไงกัน” หญิงสาวตวัดค้อนขวับๆ ใส่เพื่อนที่พอมีแฟนแล้วรู้สึกว่าหน้าตาจะแจ่มใสขึ้น ยิ้มเก่งหัวเราะง่ายเสียเหลือเกิน เห็นอย่างนี้แล้วชักจะอิจฉา อยากมีแฟนมาคอยดูและกะเขามั่งจัง แต่พอคิดอีกที ไม่ดีกว่า มีลูกกวนตัว มีแฟน (ผัว) กวนใจ มีทั้งลูกมีทั้งแฟน (ผัว) กวนทั้งตัวกวนทั้งใจ
“พอดีแม่มาหานะ ฉันเลยถือโอกาสมาส่งของไปรษณีย์ก่อน เห็นว่าร้านอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เลยเดินกลับ จะได้ดูโน่นดูนี่ไปบ้าง เพื่อเจออะไรดีๆ จะได้นำไปปรับปรุงร้านให้มันเลิศสะแมนแตน จะได้เรียกลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ ทีนี้ ฉันก็รวย นั่งนับเงินเป็นคุณนายไงแก” กฤติกาพูดให้เว่อร์ไว้ก่อน กลบเกลื่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ในใจ แต่คนฟังคือเพื่อนซึ่งคบหากันมาตั้งแต่เด็ก มีหรือที่แสงกล้าจะไม่รู้น่ะ
“ทำไมถึงไม่ขับรถมาเอง...นี่แกยังขับรถไม่เป็นอีกหรือลูกไก่ ไหนบอกฉันว่าจะไปหัดไง ขับรถมอไซด์คันนิดเดียวเท่านั้นนะแก ง่ายกว่าแกไปขับเรือในทะเลเสียอีก” แสงกล้าถามพร้อมสะบัดศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ กลอกตาไปมา ทีอย่างนี้ละก็กลัวเจ็บ กะอีแค่เอาตัวไปคลุกฝุ่น วัดดูความหนาความแกร่งของพื้นถนนสักทีสองทีมันจะเจ็บสักแค่ไหนเชียว ทีไปตะลอนๆ ปีนเขาลงห้วย ดำน้ำดูปะการังไม่เห็นจะกลัวเป็นอะไรเลย
ขนาดมีคนทักว่าไปวิ่นวุ่นกลางแดดแบบนั้น ไม่กลัวตัวจะดำเมี่ยงเป็นถ่านแล้วจะขายไม่ออกหรือไง คำตอบที่เขามักได้ยินเธอโต้กลับไปก็คือ...
“โอ๊ย!! จะไปกลัวอะไรล่ะจ๊ะ ไม่มีผัว หนูก็ไม่เห็นจะตายนี่น่า มือเท้าหนูมีครบ ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ ไปพึ่งผัวนะ เห็นท่าจะยากล่ะจ้ะ เพราะมันคอยแต่จะไถเรามากกว่าจะช่วยทำมาหากิน เห็นแต่จะพากันจมลงก้นทะเลมากกว่าจ้า” จากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถามอีก คงเพราะเบื่อระอากับคำตอบแปลกๆ ที่กฤติกาช่างสรรหามานั่นเอง
“เปล่านะ...ขับเป็นโว้ย” กฤติกาโวยวายให้เสียงดังข่มไว้ก่อน “ก็น้ำมันแพงนี่หว่า เปลืองนะแกเข้าใจไหม เปลืองตังค์ เข้าใจไหม” หญิงสาวทำหน้าใสซื่อ แต่น้ำเสียงกลับเบาลงไปผิดกันราวหนังคนละม้วน มวยคนละรุ่น
“อีกอย่าง ขับรถไม่เป็นน่ะดีจะตายนะแก เวลาไปไหนมาไหนก็ได้นั่งซ้อนท้าย ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยด้วย” ขอให้ได้เถียงก่อนแล้วกัน แม้เหตุผลที่อ้างไปนั้นจะข้างๆ คูๆ ก็ตามทีเถอะ
แล้วสองหนุ่มสาวก็นั่งคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเล่าเรื่องที่ผ่านมา พร้อมฟื้นฝอยคุดคุ้ยเรื่องน่าอายของแต่ละคน ให้ได้หัวเราะกันเสียงดังลั่น อย่างไม่อายคนที่ผ่านไปผ่านมาต้องเหลียวหน้ามอง ก่อนกฤติกาจะนึกได้ เธอยังไม่ได้ถามเลยแสงกล้าทำงานตำแหน่งอะไร
“ฉันเป็นคนขับรถรับแขก แกมีอะไรจะไหว้วานฉันใช่ไหมล่ะ” บอกแล้วว่าคบเป็นเพื่อนกันมานาน แม้หลายปีมานี้จะห่างกันไป แต่เพียงแค่อีกฝ่ายส่งสายตามาแสงกล้าก็เข้าใจความนัย
“เปล่าสักหน่อย” หญิงสาวตอบกลับอย่างเกรงใจเอาไว้ก่อน แต่กลับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่ขาวสะอาด เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจรัส
“แน่ใจนะ”
“แหม...แกนี่นะ ทำเป็นไม่รู้บ้างก็ได้นะยะ” กฤติกาตวัดค้อนคมๆ ใส่เพื่อน
“อ้าว...ก็ถ้าฉันไม่ถามอย่างนี้ แล้วจะรู้หรือว่าแกดีใจจนหน้าระรื่นทำไม”
“เออ...ฉันก็แค่อยากรู้ว่า อาทิตย์หน้าแกมีโปรแกรมไปรับหรือส่งแขกสนามบินที่ภูเก็ตบ้างหรือเปล่า” ถ้ามีไปก็ดี เพราะถ้าให้เธอไปเองก็ต้องใช้บริการรถโดยสาร ตั้งสองสามต่อแนะ เปลืองเงินในกระเป๋าน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันเสียเวลาแล้วก็...ยุ่งยากด้วยน่ะสิ
“อาทิตย์หน้าเหรอ อืม...” แสงกล้าคิดถึงตารางการทำงานของเขา ปกติคนขับรถมีอยู่ด้วยกันอยู่หกคน ลากลับบ้านเสียสอง อีกหนึ่งนั้นตอนนี้ป่วยหนักเขาโรงพยาบาล “ไม่แน่ใจนะ ถ้าจะให้ชัวร์ก็ต้องไปดูบอร์ดก่อน แกมีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ได้เลย” ไม่เอ่ยตกลงไปก่อน ด้วยโรงแรมเขากฎมันเข้มงวดอยู่ ผิดเพียงนิดเดียวกระทบถึงผลรายได้เข้ากระเป๋าในทันที
“คือฉัน อยากขอติดรถแกไปด้วยคนน่ะ” ตอบกลับอย่างเกรงใจ ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน
“แกจะไปไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย ก็ไหนว่าเรียนจบแล้ว งานการที่ทำก็อยู่ที่นี่ แล้วจะไปสนามบิน แถมยังจะเป็นสนามบินภูเก็ตอีก ทั้งที่ตัวเองน่ะอยู่กระบี่ ไปทำไม ธุระอะไร? คิ้วหนาเป็นปื้นขมวดเข้าหากัน ร่องตรงกลางมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่ชัดเจน
“เปล่า ฉันจะไปเอาของน่ะ เพื่อนวานให้ไปรับและฝากไปเก็บไว้ให้ก่อน เดี๋ยวเขาค่อยมาเอา” พูดอย่างเกรงใจสุดๆ แต่ประกายในดวงตาน่ะวับวาบเว้าวอนให้ใจอ่อน
“เพื่อนคนไหน ของอะไร จากที่ไหน คงไม่ใช่แฟนนะแก” ถามเสียงสูงอย่างตกใจเป็นที่สุด
“เฮ้ย!! เปล่าโว้ย อย่างฉันนี่นะจะมีแฟน หน้าตาดำปิ๊ดปี๋อย่างกับเฉาก๊วย ปากก็ยังจัดอีก ใครจะมาจีบเป็นแฟนวะ ถามอะไรให้มันเข้ารูหูหน่อยนะแก แทงใจดำอย่างนี้เดี๋ยวป้าด...” กฤติกาเงื้อมมือขึ้นคล้ายจะฟาดบนท่อนแขนกำยำ
“ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนคิดสั้น กล้าจีบและขอแกเป็นแฟนเสียอีก”
“ไอ้...ไอ้แสงกล้า ล้อฉันหรือแกไอ้ผิวหมึก เดี๋ยวเถอะ พ่อป้าด...ยันตูดด้วยฝ่าเท้าเสียหรอก ชอบจริงๆ เล้ย...พูดแทงใจด้ำเพื่อนงี้” กฤติกาพูดเสียงต่ำๆ สูงๆ ตวัดค้อนใส่เพื่อนขวับๆ วงหน้างอง้ำ แต่ดวงตายังเปล่งประกายสดใส
“อ้าว...ฉันพูดผิดตรงไหน ก็เห็นแกแอบมองไอ้เด็กลูกครึ่งรุ่นพี่ที่เคยมาเรียนร่วมตอนม.ปลาย ชื่ออะไรแล้วหว่า?...ฉันก็ดันความจำไม่ค่อยดีซะด้วย ชื่อไอ้เจ้านั่นก็ดันเรียกยากซะอีก แต่อย่างหนึ่งที่ฉันจำได้คือ ตาแกยายลูกเจี๊ยบ ตอนที่แกมองไอ้เจ้านั่นนะ...ตางี้หวานเจี๊ยบจนฉันขนลุกเกรียวๆ เลย” ไม่พูดเปล่า แสงกล้ายังแกล้งยกมือขึ้นลูบแขนล่ำๆ ทำหน้าทำตาอย่างกับคนเห็นผีกลางวันแสกๆ
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ยิ้มนะลูกไก่ ให้กำลังใจฉันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เอาชนะพวกมารและจะได้รีบกลับมาหาเธอ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาตั้งใจเอ่ยคำนี้หรือเปล่า แต่เอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่เนื้อนุ่มหวาน“คุณเจ” หัวใจถึงกับโป่งพองราวลูกโป่งอัดแก๊ส จนลอยลิ่วไปบนฟากฟ้าสีครามสดใส ก่อนดวงหน้าผ่องพรรณจะหมองหม่นลงเมื่อเสียงประกาศเตือนดังมาอีกครั้ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอย่างแสงกล้าพูด...เอ่ยบอกเขาให้รู้ความจริงในใจ ดีกว่าเก็บเอาไว้ในอกพร้อมความเจ็บช้ำ ได้บอกรักแม้ต้องผิดหวัง ยังดีกว่าไม่ได้บอกให้เขารู้กฤติกาจับมือใหญ่ มองเข้าไปในแววตาเข้ม “ลูกไก่มาเพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณเจค่ะ...” สูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมความกล้า“ลูกไก่...รักคุณเจค่ะ” กฤติกาเอ่ยเสียงเข้มและหนักแน่นอันเจโล่เต็มตื้นกับคำรักที่ได้ยินจนหัวใจคล้ายลูกโป่งที่ถูกสูบแก็สอัดไปจนเต็มลอยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้าในทันควัน “ลูกไก่!” สมควรเป็นเขาที่ต้องเอ่ยบอกคำนี้ออกไปก่อน แต่นี่คนตัวเล็กกลับ...เขายอมแพ้ใจเธอจริงๆ แขนกำยำสอดรวบกอดร่างเล็กแนบอก“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงมีแค่คำนี้...ขอบใจนะลูกไก่ที่รักคนนิสัยไม่ดีอย่างฉัน” คำเล็ก ๆ ที่มีอาน
อันเจโล่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา แม้อยากยืดเวลาออกไปแม้แค่เสียววินาที เพื่อให้ตัวเองได้เฝ้ารอด้วยความหวังอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องยอมรับความจริง กฤติกาไม่มาร่างหนาผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยเท้าที่หนักอึ้งจนแทบเดินต่อไม่ไหว ในหัวใจราวกับถูกเศษแก้วแตกที่ฝังอยู่ในก้อนเนื้อบาดเฉือนทุกการหายใจ เหมือนโลกที่ยืนอยู่แปรปรวน แผ่นดินไหวโยกทำให้เขายืนทรงตัวไม่อยู่ จนต้องเฝ้าถามย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เป็นอะไรไป?“นายครับ”“มีอะไร”“จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ” กลับไปคราวนี้ศึกหนักหนาสาหัสรอนายอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงสามารถเคลียร์เรื่องราวให้มันจบลงไปด้วยดี เขาอยากให้นายได้มีเวลาอยู่กับกฤติกาอีกหน่อย ได้เก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นกำลังใจยามที่ต้องต่อสู้กับเรื่องร้าย“ฉันไม่เป็นไร” อาการเขาคงหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งลูกน้องยังสังเกตเห็นได้“จะให้คุณ...”“อย่าเลย” รู้ว่าเดโก้จะเสนออะไร เขาเองก็เคยคิดแวบ ๆ แต่คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของกฤติกา แต่อีกส่วนก็มาจากตัวเองที่ดันปากหนักเองช่วยไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากชวนแม่เนื้อนุ่มไปด้วยนะ ป่านนี้ก็มีเธอข้างกายเรียบร้
“ลูกไก่” เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า ฝ่ามือหนาไล้ลูบอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับจุมพิตไต่เลื่อนเคลื่อนไปบนผิวกายเนียนนุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างเชื่องช้า“ขา...” กฤติกาขานรับ เพียงแค่มองสบนัยน์ตากับอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูดอีกแล้ว... “เมื่อไหร่คะคุณเจ” เธออยากรู้ มีเวลานานเท่าไหร่ในอ้อมแขนแกร่งนี้“พรุ่งนี้” ตอบกลับเสียงพร่าแหบราวกับในอกถูกก้อนหินไร้น้ำหนักกดทับอยู่“เร็วจังเลยนะคะ” เปรยเสียงแหบแห้ง อยากขอเขาว่าอย่างเพิ่งไปได้ไหม อยู่กับเธออีกสักวันได้ไหม แต่กฤติกาก็พูดไม่ออก ด้วยรู้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย คงทำได้แค่...ใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่าที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำในวันต้องจากร้างห่างลากัน“ฉัน...” ถ้าเธอพูดอะไรนอกจากนี้สักคำ เขาคงรู้สึกดีกว่าการได้รับรอยยิ้มแห้งๆ นัยน์ตาหวานเศร้าอมโศกอย่างนี้นิ้วยาวเล็กยื่นไปทาบบนปากหนา “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไก่รู้ว่าคุณเจจำเป็น แค่...คืนนี้ เรา...” ปวดร้าวไปหมดทั้งทรวงจนพูดไม่ออก“ฉันรู้...คืนนี้ จนถึงเวลานั้น” ไม่อยากพูดถึงเวลาจำต้องลาจาก “เราจะมีกันและกันใช่ไหมลูกไก่”“ค่ะ...เราจะมีกันและกัน” กฤติกา
“ว่าไงอันเจโล่ จะบอก หรือจะให้ลูกไก่เจ็บมากกว่านี้”“อย่านะคุณเจ อย่า...‘บอก’” กลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน เมื่อบาดแผลถูกกดเปิดออกจนเลือดไหลซึมออกมา“ลูกไก่!” กัดฟันกรอด อยากลุกขึ้นไปช่วยแม่หวานใจจนตัวสั่น แต่เพราะถูกจับเอาไว้เลยต้องทนเห็นแม่เนื้อนุ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จะไม่สัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีโอกาสพาตัวเองหลุดรอดไปเมื่อไหร่ ริวาโก้ต้องรับผิดชอบในความเจ็บของลูกไก่น้อย แน่นอน!“ว่าไงอันเจโล่ หรือจะให้ฉัน...” ไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของใคร แต่มันจำเป็น“ได้” กัดฟันกรอดขณะตอบอีกฝ่าย “ฉันยอมบอก แต่แกห้ามทำร้ายลูกไก่”“ไม่นะคุณเจ! ยะ...อย่า...” กฤติการ้องห้ามก่อนเสียงจะขาดหายไป ด้วยเจ็บและหน้ามืด พ่วงด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดไหลข้างขมับและแผ่นหลัง“อย่าคิดตุกติกนะอันเจโล่ แกทำเมื่อไหร่ เตรียมตัวเห็นลูกไก่กลายเป็นคนที่มีร่างที่ไร้วิญญาณแน่นอน” ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว เอาจริงทุกคำพูดด้วย เขายอมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อให้อันเจโล่และครอบครัวประสบกับความหายนะ แก้แค้นให้กับตัวเองและทุกๆ คนที่ถูกกระทำจากครอบครัวนี้ให้สาสม!อันเจโล่มองดวงหน้าผุดผาดขาวซีด