นัยน์ตาคมที่ฉายแววเย็นชาอยู่บ่อยครั้งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
เขาแค่อยากปัดมือนางที่กำลังจะแตะลงบนหน้าผากให้ออกห่างโดยไม่ได้ทันออมแรงกลายเป็นใช้พลังยุทธ์ผลักนางให้ออกห่าง
“คุณชาย! ข้าขอบอกเรื่องบางอย่างให้ท่านทราบ ต่อจากนี้ท่านจะทำเช่นไรก็สุดแล้วแต่ท่านขอรับ” เป็นเพ่ยตงที่เดินกลับเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำแกงไก่
“ว่ามา”
“ข้าเพียงอยากจะบอกกล่าวคุณชาย ว่าแท้จริงคนที่ดูแลคุณชายตอนที่เป็นไข้จนหมดสติหาใช่พวกข้าเช่นที่เคยรายงาน แต่เป็นคุณหนูรองหมิงที่ช่วยตามท่านหมอและดูแลคุณชายจนหายตัวร้อน เมื่อพวกข้ากลับมาถึงเรือนก็โดนนางตำหนิที่ปล่อยคุณชายไว้ตามลำพังพร้อมกำชับไม่ให้ข้ากับฉงซานบอกเรื่องนี้กับคุณชาย เพราะคุณหนูรองกล่าวว่านางไม่อยากจะถูกว่า ทำดีเอาหน้าขอรับ”
“อืม” เขารับคำสั้น ๆ
“ข้าไม่มีอันใดจะเอ่ยแล้ว ขอตัวไปตักน้ำใส่โอ่งก่อนนะขอรับ” เมื่อเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องปกปิดออกไปแล้ว เพ่ยตงคล้ายจะโล่งใจก่อนจะวางถ้วยน้ำแกงไก่ลงบนโต๊ะแล้วออกจากห้องไป
‘เจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่’ หยวนลี่หมิงคิด
มันไม่แปลกไม่ใช่หรือที่เขายากจะทำใจเชื่อได้ว่าสตรีร้ายกาจจะกลับตัวกลับใจได้ เขาจึงคอยดูอย่างเงียบ ๆ
หากถามว่าที่ผ่านมาเขาโกรธแค้นหมิงเจียวซือหรือไม่ เขาย่อมตอบได้ว่าไม่ถึงกับโกรธแค้น มันเป็นความโกรธเกรี้ยวเสียมากกว่าเพราะมีหลายครั้งที่เขาตอบโต้ไปอย่างแนบเนียน ยามได้รับโทษเขาจึงไม่ได้เจ็บแค้นเพราะไม่ได้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว
แต่เขาก็ทำได้เพียงโกรธเคืองเท่านั้นเพราะอย่างไรท่านน้าหลิวซีและตระกูลหมิงก็ยังเป็นผู้มีพระคุณต่อเขา และเขาก็เข้าใจที่หมิงฮูหยินไม่อยากดูดำดูดีเขาเท่าใดนัก ต่อให้เป็นสตรีมีเมตตาเพียงใดก็คงไม่อาจฝืนใจมองหน้าเด็กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรชายของสามีกับสตรีอื่นได้หรอก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเรียกร้องความเมตตาหรือร้องขอสิ่งใดจากท่านน้าหลิวซีมากนัก แค่รับเขาเข้ามาอยู่ในจวนจนเติบใหญ่เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว
และเขาต้องเปลี่ยนชื่อแซ่จาก ‘หยวนลี่หมิง’ เป็นคุณชายใหญ่หมิงเลี่ยงรุ่ยก็เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูในที่มืดซึ่งลงมือสังหารคนตระกูลหยวนในคืนเทศกาลหยวนเซียวได้ทราบว่าเขาคือผู้รอดชีวิตในคืนนั้น
เขายังจำได้ดีว่าวันนั้นเขาไปลอบปีนกำแพงหลังจวนไปเที่ยวงานเทศกาลหยวนเซียวกับเปี่ยวเกอ[1]จึงไม่ได้รับรู้ว่าคืนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
ในงานเทศกาลเขาซื้อถังหูลู่หน้าตาน่ากินเพื่อนำไปฝากน้องสาว แต่พอถึงจวนเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นบ่าวรับใช้นอนตายเกลื่อน เขาถือถังหูลู่รีบวิ่งตามหาบิดามารดา ก่อนจะเจอบิดาตายอยู่ในโถงกลาง ส่วนมารดาตายอยู่ที่เรือนในอ้อมกอดมีหยวนลี่หรูน้องสาววัยเจ็ดหนาวของเขาในอ้อมกอด
ยามนั้นเขาเป็นเพียงเด็กชายวัยสิบสามหนาวทำอันใดไม่ถูก เขาก้มตัวกอดมารดาและน้องสาวพร้อมกับร้องไห้ออกมา แต่โชคร้ายที่คนชั่วช้าพวกนั้นยังคงอยู่ในจวน พอได้ยินเสียงร้องไห้ของเขา มันจึงถือดาบเดินเข้ามาแล้วแทงแต่เขาเบี่ยงตัวหลบจึงได้รอยแผลที่ต้นแขน แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่เขาก็เคยเรียนวิชาเอาตัวรอดจากเปี่ยวเกอผู้สูงศักดิ์ เขาจึงสามารถหนีออกจากจวนได้ แต่ในขณะที่วิ่งหนีหวังจะไปขอความช่วยเหลือจากเปี่ยวเกอ โดยมีคนร้ายวิ่งตามหวังฆ่าปิดปากเขา จู่ ๆ เมื่อเลี้ยวบริเวณตรอกมืด เขาก็ถูกมือใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งดึงเข้าไปหลบในร้านร้าง จนสามารถเอาตัวรอดจากคนร้ายชุดดำได้
และคนที่ช่วยเหลือให้เขารอดจากการถูกตามล่ามาได้คือท่านน้าหมิงหลิวซีที่บอกว่าเป็นสหายของบิดาเขาที่เคยอาศัยจวนใกล้กันยามอยู่ที่เมืองจิ้นหาน แต่ที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันเพราะท่านพ่อของเขากลัวว่าหากเกิดเรื่องใดกับท่านพ่อ ท่านน้าจะโดนไปด้วย ทั้งสองจึงลอบติดต่อกันอย่างลับ ๆ และเพราะจวนของท่านน้าอยู่ห่างจากจวนเดิมของเขาเพียงคนละฝั่งของเมืองหลวง เขาจึงต้องปกปิดฐานะเดิมแล้วเข้าไปอยู่ในจวนหมิงในฐานะบุตรชายนอกจวนของคหบดีหมิง และต้องเก็บตัวอยู่ในจวนหมิงตลอด จนสิบเจ็ดหนาวที่หน้าเขาเปลี่ยนไปมากเขาจึงสามารถออกจากจวนได้
และที่แรกที่เขาไปคือจวนตระกูลหยวนที่ตอนนี้กลายเป็นจวนร้างไร้ผู้อยู่อาศัยเนื่องจากท่านน้าหลิวซีให้คนที่ไว้ใจไปสร้างเรื่องให้คล้ายเหมือนวิญญาณคนตระกูลหยวนยังไม่ไปไหนเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปวุ่นวายในจวน เมื่อเขาออกจากจวนได้เขาจึงไปเคารพป้ายวิญญาณของบิดามารดาที่อยู่ในศาลบรรพชน ซึ่งก็ได้หมิงหลิวซีคอยดูแลจัดการให้ตลอด
สิ่งที่ท่านน้า สหายของบิดาทำให้เขามันมากมายเสียจนทำให้เขาไม่อาจโกรธเคืองบุตรสาวของอีกฝ่ายได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้นางเจ็บตัวจริง ทว่าหากจะให้เขาไปขอโทษ เขาก็ปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยมันออกมาเช่นกัน
‘ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนแปลงตน ข้าก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองเช่นกัน’ หากต่อจากนี้นางทำดีกับเขา เขาก็จะดีตอบแทนนางเช่นกัน แต่ทว่าหลังจากนั้นหยวนลี่หมิงกลับไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นเป็นปี เพราะหมิงเจียวซือหายหน้าไปตามที่บอกจริง ๆ
[1] ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ที่เป็นผู้ชายและอายุมากกว่า
เสียงกรีดร้องโวยวายของอนุฯ ฝูห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเงียบไป คังอ๋องจึงหันไปสั่งขันทีอาวุโสให้ไปตามชายารองเมิ่งที่เขามอบหมายให้ดูแลตำหนักแห่งนี้ ผ่านไปไม่กี่อึดใจชายารองเมิ่งก็รีบมาพบพระสวามีที่รออยู่ ก่อนจะแสดงความเคารพอย่างอ่อนช้อย “ยามนี้อนุฯ ฝูถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนร้างเจ้าให้คนที่เชี่ยวชาญการแพทย์และเป็นวรยุทธ์สักเล็กน้อยไปคอยดูแลนางด้วย” “เพคะ” ชายารองเมิ่งคิดในใจว่า ท่านอ๋องช่างโปรดปรานสตรีเสแสร้งอย่างฝูหว่านอิ๋งจริง ๆ แม้จะโดนลงโทษก็ยังกำชับให้ดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งนางก็คงจะคิดเช่นนั้นหากไม่ได้ยินประโยคต่อมาของผู้สูงศักดิ์ “หากพวกเจ้าอยากหยอกเย้าหรือเล่นกับนางก็สามารถไปเยือนที่เรือนร้างได้ข้าอนุญาต แต่อย่าลงมือหนักเกินไป ประเด
“มันเป็นใครหรือเพคะ คนที่ลงมือกับตระกูลฝูอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น” ฝูหว่านอิ๋งเสียงแข็งกร้าวด้วยความโกรธแค้นอย่างลืมตัวว่าจะต้องทำท่าทางให้น่าสงสารหวังให้สวามีมาปลอบขวัญ คังอ๋องเซี่ยอี้หานอยากจะยิ้มเยาะออกมาเสียจริง ๆ สมควรแล้วที่ตระกูลฝูถูกฆ่าล้างตระกูล สิ่งที่ฝูซื่อทำไว้ แค่ร้อยชีวิตของตระกูลฝูไม่อาจชดเชยได้ เพราะสิบสองปีที่ผ่านมาฝูซื่อเลี้ยงกลุ่มโจรเอาไว้แล้วสั่งให้บุกสังหารหลายตระกูล ทั้งที่ขัดผลประโยชน์หรือที่ร่ำรวยมีทรัพย์ เพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลเหล่านั้นมาเลี้ยงดูกลุ่มโจรและกองกำลังลับที่องค์ชายรองจะใช้ก่อกบฏ “เจ้าอยากทราบจริง ๆ หรือ” เขาเอ่ยถามพลางย่อตัวลงก่อนจะใช้มือเชยคางของนางขึ้นเพื่อให้เงยหน้ามองเขา “เพคะ พระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” 
ตอนพิเศษ เพื่อคนที่รักทั้งสอง เสียงกรีดร้องโวยวายที่หน้าห้องหนังสือทำให้คังอ๋องที่กำลังอ่านตำราพิชัยสงครามอยู่ขมวดคิ้ว ก่อนจะเก็บตำราแล้วลุกขึ้นไปจัดการเรื่องราวด้านนอก ตั้งแต่รับปากหยวนลี่หมิง ชีวิตของเขาไม่เคยได้สงบสุขเลย เรือนหลังตำหนักมีเ
คนที่นั่งตัดพ้อต่อว่าตนเองว่าโง่เขลาดูเหมือนจะเป็นบุรุษเพราะเขานั่งก้มหน้านางจึงยังมองไม่เห็นหน้า รู้เพียงแค่ว่าคนผู้นี้น่าจะจมอยู่ในความทุกข์ในเป็นเวลานาน ผมเพ้าขาวโพลนไปทั้งหัวขัดแย้งกับมือและเสียงที่ไม่ได้ใกล้เคียงผู้อาวุโสเลย นอกจากผมที่ขาวโพลนจะรกรุงรังไร้การรวบเก็บที่เรียบร้อยแล้ว อาภรณ์ยังสกปรกมีรอยขาดวิ่นคล้ายไม่ใส่ใจดูแลตน “ท่านน้าข้าขอโทษที่โง่เขลาหลงเชื่อวาจาเพียงไม่กี่คำของคนชั่วช้า เนรคุณต่อผู้มีพระคุณเช่นท่าน ทั้งยังก่อบาปมากมาย ยามนี้ความจริงทุกอย่างกระจ่างแจ้ง คนผิดได้ชดใช้กรรมในสิ่งที่ตนก่อ แต่ข้ากลับสูญเสียคนที่หยิบยื่นความเมตตาให้ข้าโดยไร้ข้อแม้เช่นท่านไปด้วยมือของข้าเอง ท่านน้า ท่านคงโกรธเคืองข้ามากใช่หรือไม่ ข้ายินดีให้ท่านสาปแช่งข้า ยามนี้ข้าสำนึกให้สิ่งที่ทำไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่มีโอกาสได้ขอโทษท่านและครอบครัวของพวกท่าน” 
“อ๊า ๆ” นางได้แต่ร้องครวญครางอ่อนระทวยพร้อมคล้อยตามในสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่าง เมื่อเรือนร่างเย้ายวนเริ่มแข็งเกร็งเขาก็ยิ่งเร่งการขยับลิ้นให้รัวเร็ว ก่อนที่นางจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานเอ่อล้นออกมา เป็นเช่นที่บอกว่าคืนเข้าหอมีค่าดังทองพันชั่งคุณชายหยวนไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาชันตัวขึ้นก่อนจะกดแท่งหยกเข้าโพรงนุ่มที่แม้จะมีน้ำหวานเอ่อล้นแต่ภายในยังคับแน่น “เจ้ารัดพี่แน่นเช่นนี้ พี่คงทนได้ไม่นาน” เขาเอ่ยพลางขยับตัวอย่างช้า ๆ ก่อนจะเริ่มเร็วขึ้นเมื่อนางปรับตัวได้ เสียงเนื้อกระทบกันยังคงดังสลับกับเสียงครางแว่วหวานทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาป่วนห้องหอ “เจียวซือ พี่รักเจ้ายิ่งน
“ย่อมไม่ปฏิเสธ” กล่าวจบเขาก็เชยคางมนให้เงยขึ้น โดยเขาซึ่งยืนนวดไหล่ให้ทางด้านหลัง ก้มใบหน้าเข้าใกล้นางก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่ม เกี่ยวกระหวัดพัวพันหวังปลุกเร้าความปรารถนาเพื่อค่ำคืนเข้าหอที่สุขสม เขาลิ้มชิมความหวานจนพอใจก่อนจะถอนจุมพิตออกมาด้วยกลัวว่านางจะเมื่อยคอ “รีบปลดอาภรณ์แล้วเข้ามาแช่น้ำร้อนด้วยกัน...” นางกล่าวชวนอีกครั้งยังไม่ได้จบ เขาก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า แท่งหยกที่ควรจะอยู่สงบกลับแข็งขึงพร้อมมอบความสุขให้นาง “ในถังนี้คับแคบยิ่งนัก เจ้านั่งบนตักข้าดีกว่าจะได้ไม่อึดอัดมาก” กล่าวจบเขาก็ช้อนตัวนางยกขึ้นมานั่งบนตักของตน ส่วนแท่งหยกที่แข็งขึงถูไถอยู่บริเวณสะโพกของนาง “ลี่หมิง ของท่านโดนก้นข้า”&nbs