เช้าวันถัดมา ภีมพลเดินเข้ามาในบ้านของว่าที่คู่หมั้นอย่างสนิทชิดเชื้อราวกับเป็นบ้านของตนเอง ชายหนุ่มนั่งรอรวิชาที่ห้องรับแขก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปหาสาวน้อยที่แต่งตัวอยู่ข้างบน เพื่อบอกว่าตนมารออยู่ข้างล่างแล้ว พลางเอ่ยขอบคุณมาลัยที่เอาน้ำมาเสิร์ฟให้
รวิชากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดมาหลังจากที่เขาส่งข้อความไปบอกไม่นานนัก ความจริงเธอแต่งตัวเสร็จสักพักใหญ่แล้ว แต่ที่ยังไม่ลงมาเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอตื่นเต้นแค่ไหนกับการต้องนั่งรถไปกับเขาสองต่อสอง
ภีมพลลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อรวิชาเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ตาคมกวาดมองคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความพึงพอใจ วันนี้สาวน้อยของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน พักนี้เขารู้สึกว่าไม่ว่ารวิชาจะใส่ชุดอะไรก็ดูดี น่ารักสมวัยไปเสียทุกอย่าง จนกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องพยายามแต่งตัวให้เข้ากับวัยของเธอเพื่อไม่ให้ดูแก่จนเกินไป
“น้องอายจะกินมื้อเช้าก่อนไหม หิวหรือเปล่า หรือว่ากินแล้ว” เขาถามเสียงอ่อนเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่ คิดว่าเธอคงยังไม่ได้กินมื้อเช้าแน่นอน
รวิชามองหน้าเขาพลางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามกลับ
“อาภีมหิวหรือคะ ถ้าหิวเรากินกันก่อนก็ได้ค่ะ ไม่รู้ว่าวันนี้พี่มาลัยทำอะไรให้กินบ้าง” พูดจบเธอก็เดินนำไปยังห้องครัว ทิ้งให้คนเดินตามได้แต่ยิ้ม
“วันนี้มีข้าวต้มกุ้งค่ะ เดี๋ยวน้องอายตักให้นะคะ อาภีมนั่งเลย”
หญิงสาวกุลีกุจอหยิบชามจะตักให้เขา ชายหนุ่มจึงเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำออกมาแล้วมองหาแก้วที่จะรินน้ำใส่
“แก้วน้ำเก็บไว้ที่ไหนหรือน้องอาย” ภีมพลหันไปถามคนที่กำลังใช้ทัพพีตักข้าวต้มใส่ชามอย่างพิถีพิถัน
“อยู่ในตู้ตรงหน้าอาภีมนั่นแหละค่ะ ข้างบนน่ะ เปิดดูก็เห็นแล้ว”
รวิชาบุ้ยหน้าไปทางตู้ที่ว่า ภีมพลมองตามสายตาของหญิงสาวจึงเปิดตู้ตรงหน้าออกดู เห็นแก้วหลายใบวางเรียงกันอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบ เขาหยิบแก้วออกมาสองใบแล้วเดินมาที่โต๊ะ เป็นเวลาเดียวกับที่รวิชาวางชามข้าวต้มไว้ตรงหน้าพอดี
ข้าวต้มกุ้งส่งกลิ่นหอมกรุ่นโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและผักชีดูน่ารับประทาน รวิชาหันไปหยิบขวดพริกไทย น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาวและน้ำปลาเพื่อเป็นตัวเลือกให้เขาสำหรับการปรุง ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“อาภีมจะนั่งกินในนี้ หรือว่าอยากไปนั่งที่ห้องอาหารด้านนอกคะ”
นั่งในครัวเธอเกรงว่าเขาจะร้อนอบอ้าว ไหนจะกลิ่นอาหารที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศยังระบายออกไปไม่หมดนั่นอีก
“ที่ไหนก็ได้ถ้ามีน้องอายนั่งอยู่กับอาด้วย ให้กินที่โรงรถก็ยังได้เลย”
พูดจบก็เหลือบตาขึ้นมองคนฟังครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงมองชามข้าวต้มตามเดิม รู้ดีว่าเธอคงจะเขินเต็มที่แล้ว
รวิชาเม้มปากกลั้นยิ้ม เธอนั่งกินข้าวต้มในส่วนของตนเองไปเงียบ ๆ ปล่อยให้คนช่างหยอดลอบมองใบหน้าของตนเป็นระยะ แต่เธอต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทั้งที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำจนแทบไม่รู้รสชาติของอาหาร
“เติมข้าวต้มอีกไหมคะอาภีม ยังมีอีกเยอะนะในหม้อ”
รวิชาเห็นข้าวต้มในชามของเขาเหลืออยู่เล็กน้อยจึงเอ่ยปากถาม ภีมพลส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหมดแก้ว
“มื้อเช้าปกติแล้วอาไม่ค่อยกินหรอก ส่วนใหญ่ดื่มแต่กาแฟ”
“จริงสิ แล้วอาภีมไม่ต้องทำงานหรือคะ วันนี้ไม่ต้องพาน้องอายไปดูโรงงานก็ได้นะ น้องอายไม่อยากรบกวนอาภีม”
หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็มีงานต้องทำ เธอเกรงใจเขามากที่ต้องให้ชายหนุ่มพาไปดูโรงงานผลิตสินค้าของบิดามารดาที่ชานเมือง
“วันนี้วันเสาร์นะอย่าลืมสิครับ งานออฟฟิศของอาไม่ทำเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าเป็นที่คลับทำทุกวัน ยกเว้นวันพระใหญ่ คลับจะปิด”
ภีมพลนั่งเท้าแขนไว้บนโต๊ะ สายตาพราวระยับจับจัองรวิชาไม่วางตาจนคนถูกมองเริ่มทำหน้าไม่ถูก ก่อนเขาจะทิ้งท้ายประโยคที่ทำให้สาวน้อยรับรู้ได้ว่าใบหน้าของตนคงจะเห่อร้อนจนแดงก่ำประจานเจ้าของไปแล้ว
“เพราะฉะนั้นวันนี้กับวันพรุ่งนี้ อายอมเป็นทาสรับใช้น้องอาย ไม่ว่าน้องอายอยากให้ทำอะไร อายอมทุกอย่าง แล้วแต่เจ้าหญิงของอาจะบัญชา”
เขาสาบานได้ว่าประโยคพวกนี้ไม่เคยใช้พูดกับใคร นอกจากสาวน้อยตรงหน้านี้เท่านั้น และที่สำคัญคนอื่นก็จะไม่มีวันได้ยินเป็นอันขาดโดยเฉพาะพชร มิเช่นนั้นแล้วชีวิตเขาคงจะหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่ เพราะคงถูกตามล้อตามแซวไม่เลิกราจนกว่าจะมีเรื่องใหม่มาให้พูดถึง
“อาไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ น้องอายกินเสร็จก็ไปตามอาแล้วกันนะครับ อาจะนั่งดูข่าวรอ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้รวิชานั่งหน้าร้อนอยู่เพียงลำพังบนโต๊ะกินข้าว หญิงสาวพึมพำออกมาเบา ๆ ทั้งที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้
“เพิ่งรู้ว่าผีดิบเขาเสพน้ำตาลเป็นอาหารด้วย”
“อาภีมรู้จักทางไปโรงงานด้วยหรือคะ”
รวิชาอดถามไม่ได้ เพราะตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านมา ภีมพลไม่ถามเส้นทางไปโรงงานกับเธอสักคำ กลับเอาแต่ชวนคุยเรื่องอื่น
“อาเคยบอกแล้วไงไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับน้องอาย อารู้ทุกอย่างนั่นแหละ อาเตรียมพร้อมเสมอ” เขาหันมาพูดยิ้ม ๆ พลางนึกไปถึงเรื่องที่คุยกับพชรเมื่อวานเรื่องการเรียกขานของรวิชา คิดไปแล้วก็น่าจะดีไม่น้อยหากว่าเธอจะเปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ มีอย่างที่ไหน เรียกคู่หมั้นตนเองว่าคุณอา
“จริงสิ น้องอายจะว่ายังไงถ้าอาคิดว่าน้องอายน่าจะเปลี่ยนคำเรียกชื่ออาเสียใหม่น่ะ เอ่อ...คืออาหมายถึง...มันฟังแปลก ๆ นะถ้าคนที่กำลังจะหมั้นมาเรียกกันเหมือนอากับหลาน น้องอายว่าไหม”
ภีมพลลอบถอนหายใจเมื่อพูดจบ ในใจก็ลุ้นรอฟังคำตอบจากสาวน้อยข้างกาย ทว่า...
“แต่น้องอายก็เรียกอาภีมว่าอามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ อาภีมเองก็แทนตัวเองว่าอามาตั้งแต่แรก ถ้าจะให้เปลี่ยนไปเรียกอย่างอื่นน้องอายคงไม่ชินหรอกค่ะ”
เออว่ะ...เขาก็ลืมนึกไป!
ในเมื่อคนที่แทนตัวเองว่าอามาตั้งแต่ต้นก็คือเขา เวลาพูดกับเธอก็เรียกตนเองว่า “อา” มาตลอด ไม่แปลกหากรวิชาจะใช้คำเรียกขานนั้นตามเขาซึ่งเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเอง
คิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเสียจริง เขาจะแทนตนเองว่า “พี่” จะได้ฟังเสียงหวาน ๆ ของเธอเรียกเขาว่า “พี่ภีม” เสียให้ชื่นใจ ไม่ใช่เรียก “อาภีม” ที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นป๋าเลี้ยงต้อยเด็กอย่างไรก็ไม่รู้
“นั่นสินะ น้องอายก็เรียกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็เรียกต่อไปไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ภีมพลยิ้มแกน ๆ ให้หญิงสาว แล้วลอบระบายลมหายใจอย่างปลงตก
เอาเถอะ...ไว้ให้สนิทกันกว่านี้หน่อย เขาน่าจะให้เธอเปลี่ยนคำเรียกเขาเสียใหม่ได้ไม่ยาก
ภีมพลเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรถของโรงงานขนาดย่อมหลังจากแจ้งความประสงค์ และแลกบัตรกับรปภ. ที่ป้อมหน้าประตูทางเข้า ชายหนุ่มดับเครื่องแล้วหันมองรวิชาที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถมายืนบนพื้น เขายกมือขึ้นป้องตรงหน้าผากเพื่อบังแดดขณะมองไปยังอาคารโรงงานสีเทาชั้นเดียวเบื้องหน้า
“ตรงนั้นเป็นโรงงานของฝ่ายผลิตค่ะ ส่วนอาคารนี้เป็นสำนักงาน ปกติเวลาน้องอายมาก็มักจะอยู่แต่ตรงนี้ ไม่ได้เข้าไปในโรงงานเพราะกลัวจะไปเกะกะเขา”
รวิชาชี้ไปยังอาคารสองชั้นสีขาวที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร ก่อนออกเดินนำเขาไปยังอาคารที่อยู่อีกฝั่ง
“เมื่อวานน้องอายโทร. มาบอกพี่หวานแล้วค่ะว่าวันนี้จะขอเข้ามาดูงานที่นี่ อ้าวนั่นไงคะ มาพอดีเลย”
รวิชายิ้มกว้างให้หญิงสาวอายุประมาณสามสิบพร้อมกับกระพุ่มมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่หวาน อาภีมคะพี่หวานเป็นผู้จัดการโรงงานที่นี่ค่ะ พี่หวานคะนี่คุณภีมพล เอ่อ...”
รวิชาอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อไม่รู้ว่าจะแนะนำเขาในฐานะอะไร ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจดีจึงแนะนำเองเสียเลย เพราะไม่อยากให้สาวน้อยต้องลำบากใจหากต้องแนะนำใครต่อใครว่าเขาคือว่าที่คู่หมั้น
“ผมภีมพลครับ เป็นรุ่นน้องของคุณอาทิตย์ บ้านเราอยู่ใกล้กัน ผมเห็นว่าคุณอาทิตย์ไม่ว่างพาน้องอายมา ผมเลยอาสาพามาเอง”
ภีมพลรับไหว้ผู้จัดการโรงงาน ก่อนจะพากันเดินตามเข้าไปด้านใน รวิชาหันมองหน้าเขาแล้วยิ้มให้อย่างขอบคุณ
ผู้จัดการสาวพาทั้งคู่เข้าไปชมในโรงหม้อกลั่นและสกัดก่อนเป็นอันดับแรกซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ในนี้มีหม้อกลั่นทั้งหมดยี่สิบห้าหม้อ แต่ละหม้อนั้นจะสกัดพืชต่างชนิดกัน พืชที่ใช้หม้อกลั่นมากที่สุดคือไม้กฤษณา ใช้ทั้งหมดสิบหม้อด้วยกัน อาทิตย์เป็นคนสั่งเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะส่วนผสมหลักในแต่ละสูตรของน้ำมันหอมระเหย อันเป็นสูตรลับประจำตระกูลของรวิวรรณ คือไม้กฤษณานั่นเอง
รวิชาหันไปชวนหวาน ผู้จัดการสาวที่พาชมโรงงานคุยระหว่างที่เดินออกจากโรงหม้อกลั่นไปยังห้องสูตรผสม
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ