คำก็แก่ สองคำก็คุณอา ตอกย้ำกันเข้าไป เอาวะ! ถ้าเป็นโคแก่แล้วได้กินเนื้อหวานๆ ละก็ ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ยอมทั้งนั้น เพราะสักวันเขาจะทำให้เธอเรียกเขาว่า "ที่รัก" ให้ได้
Lihat lebih banyakร่างบอบบางที่นอนเกลือกกลิ้งไปบนเตียงนอนขนาดใหญ่ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขในขณะนี้ฉายชัดถึงความโล่งใจ ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งชิ้นหนึ่งให้หมดไปจากบ่า การสอบปลายภาคได้เสร็จสิ้นลงแล้วพร้อมกับสถานะของการเป็นเด็กมัธยมก็หมดลงเช่นกัน ถึงแม้จะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอไม่ใช่เด็กมัธยมอีกต่อไป เพราะยังเหลือการสอบเก็บคะแนนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ใฝ่ฝัน ยังคงต้องใส่ชุดนักเรียนเวลาทำข้อสอบอยู่ แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องไปโรงเรียนทุกวันแล้วต้องอยู่กับกฎระเบียบที่เข้มงวดตลอดเวลาเป็นไหน ๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ข้างตัว ทำให้รวิชาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองดูรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ พอเห็นชื่อของคนที่โทร. เข้ามา เรียวปากอิ่มสีชมพูก็คลี่ยิ้มกว้าง รีบกดรับสายทันที
“ค่ะคุณแม่ อยู่ไหนแล้วคะ” เสียงใสกรอกลงไปทักทายคนปลายสาย ครั้นพอได้ฟังถ้อยความจากมารดา ใบหน้าแย้มยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบานเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวเซื่องซึมขึ้นมา
“อ้าว...ก็ไหนคุณแม่บอกว่าวันนี้เราจะไปดินเนอร์กันพร้อมหน้าพร้อมตาฉลองที่น้องอายสอบเสร็จไงคะ น้องอายอุตส่าห์รอ นึกว่าวันนี้คุณพ่อคุณแม่จะกลับมาทันเสียอีก”
รวิชาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง ใบหน้างอง้ำส่งเสียงตัดพ้อกระเง้ากระงอดไปตามสาย
“ก็ได้ค่ะ วันหน้าก็ได้...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ทำธุระกับคุณพ่อให้เสร็จเถอะค่ะ” รวิชาคุยกับมารดาอีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางสายแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ครั้งที่เท่าไรแล้วที่ท่านทั้งสองผิดนัด ครั้งที่เท่าไรแล้วที่วันสำคัญต่าง ๆ เธอต้องอยู่ฉลองกับแม่นมของมารดาเพียงลำพังแค่สองคน ทั้งที่รู้และพยายามทำความเข้าใจมาตลอดว่าพวกท่านงานยุ่งมากแค่ไหน ไม่ว่าจะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบคนอีกหลายสิบชีวิตในบริษัทจึงทำให้เวลาที่มีส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่สามารถเจียดเศษเสี้ยวเวลามาดินเนอร์กับเธอได้เลย
กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อหยาดน้ำเริ่มคลอเต็มหน่วยตา รวิชาหลับตาลงเพราะไม่ต้องการให้มันเอ่อไหลออกมาข้างนอก ทว่าทันทีที่เธอปิดเปลือกตาลง หยดน้ำใสก็ไหลกลิ้งจากหางตาจนผลุบหายเข้าไปในกลุ่มผมที่ขมับทันที
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รวิชารีบลืมตาขึ้นพร้อมกับควานมือไปหยิบมันขึ้นมากดรับเพราะนึกว่าเป็นมารดาโทร. มาอีกครั้ง แต่พอเห็นรายชื่อของคนที่โทร. เข้ามา เธอก็ได้แต่ยิ้มขื่นเมื่อหลงนึกไปว่าเป็นสายที่ตนกำลังรอ
“ฮัลโหล มีอะไรจ๊ะคุณเพื่อนสาว” รวิชาปรับน้ำเสียงให้สดใสดังเดิมเมื่อรับสายของเพื่อนสนิทที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่สอบเสร็จแล้วไปฉลองกันที่ร้านไอศกรีมในห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมือง
“คืนนี้ว่างไหมคุณเพื่อน ไปเที่ยวกัน” ปลายสายเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“คืนนี้เนี่ยนะ ไปไหนของแกน่ะ ยายพิงค์”
“ไปเที่ยวกลางคืนไง สนหรือเปล่า” พิงค์ หรือพรรณรายลากเสียงยาวในตอนท้ายประโยคอย่างเชิญชวนหวังให้อีกฝ่ายคล้อยตามเพราะไม่ต้องการไปเที่ยวในสถานที่ดังกล่าวเพียงลำพังกับแฟนหนุ่มมหา’ลัยที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานนัก
“หืม...เที่ยวกลางคืนเนี่ยนะ แกไปได้หรือ แม่ไม่ว่าหรือยายพิงค์”
รวิชาเด้งตัวขึ้นนั่งทันที กรอกเสียงถามเพื่อนอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะการเที่ยวในสถานที่อโคจรแบบนั้นเธอยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง
“คืนนี้แม่ฉันไม่อยู่ ไปต่างจังหวัดกลับมาอีกทีวันอังคารหน้าโน่นเลย โฮะ ๆ ว่าแต่แกเถอะ สนใจหรือเปล่าจ๊ะคุณหนูอาย”
พรรณรายตอบเพื่อนสาวอย่างรื่นเริงมาตามสาย สำหรับเธอแล้วการเที่ยวกลางคืนครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เธอเคยหนีที่บ้านไปมาหลายครั้งแล้วกับแฟนเก่าและกลุ่มเพื่อนของเขา แต่ไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างรวิชา
“เฮ้ย...ไม่กล้าไปน่ะ ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ แล้วไปที่ไหนกันหรือ ว่าแต่แกเคยไปหรือไง”
รวิชารู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย การเรียนโรงเรียนสตรีล้วนทำให้เรื่องพวกนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไกลตัวอยู่สักหน่อย
“เคยสิ ไม่เคยจะกล้าชวนหรือ” ปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง
“หา! แกเคยไปมาแล้วหรือ ยายพิงค์บ้าไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย ปิดเงียบเลยนะ แล้วแกไปที่ไหนไปกับใครเล่ามาเลย ให้ไว” รวิชาโวยวายใส่เพื่อนไม่จริงจังนัก อดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนสาวเคยไปเที่ยวที่อโคจรอย่างนั้นมาก่อน
“คลับซุสที่ตอนนี้กำลังดังไงเล่า ส่วนเรื่องไปกับใครนั้น เดี๋ยวคืนนี้แกก็ได้เจอเขาเอง ตกลงไปนะ คืนนี้ฉันจะเอารถไปรับแกที่บ้าน โอเคเนอะ”
พรรณรายหว่านล้อมเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะมัดมือชกด้วยการลงทุนขับรถไปรับถึงที่บ้าน
“ก็ได้ ลองไปสักครั้งก็ดีเหมือนกัน”
รวิชาตัดสินใจได้ทันทีเมื่อนึกถึงบิดามารดาที่นัดไว้ล่วงหน้าในวันนี้ว่าจะมาดินเนอร์ด้วยกันตามประสาครอบครัว แต่สุดท้ายท่านทั้งสองก็ผิดนัดอีกครั้ง
“เย้! ฉันว่าแล้วว่าแกต้องไม่ปฏิเสธ แต่งตัวสวย ๆ ไว้รอเลยนะ จัดเต็มเลยคุณเพื่อน ถ้าไม่มีชุดเดี๋ยวฉันเอาไปให้ใส่ แค่นี้นะจ๊ะ บาย” พรรณรายวางสายลงทันทีด้วยเกรงว่ารวิชาจะเปลี่ยนใจไม่ไปกะทันหัน
รวิชาวางโทรศัพท์ลงข้างตัวด้วยความรู้สึกกึ่งหวาดหวั่นกึ่งตื่นเต้นที่จะได้ทำอะไรนอกกรอบเป็นครั้งแรก นมพิม แม่นมคนเก่าคนแก่ของมารดาเคยพูดห้ามปรามอยู่เสมอว่าสถานที่อย่างนั้นไม่เหมาะกับการจะไปเที่ยวเล่น เพราะเธอยังเด็กเกินไป อาจไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมพวกจิ้งจอกกลางคืนได้ ทว่าแสงสีที่เธอได้เห็นตามหนังสือ และคำบอกเล่าของเพื่อนบางคนที่เคยได้ไปสัมผัสมาแล้วก็ชวนให้น่าลิ้มลองก้าวขาออกมายืนนอกกรอบดูบ้าง...ก็เธอไม่ใช่เด็กมัธยมอีกแล้วนี่นะ
เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ ก่อนที่แม่นมจะขึ้นมาตามไปรับประทานมื้อเย็น เธอจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาดูว่ามีชุดไหนที่พอจะใส่สำหรับคืนนี้ได้บ้าง
หญิงสาวใช้มือไล่ดูไปทีละชุด ๆ อย่างไม่เร่งรีบนัก แต่แล้วก็ต้องเบ้หน้าเมื่อชุดที่แขวนเรียงรายอัดแน่นกันอยู่ในนั้นไม่มีชุดไหนที่พอจะใส่แล้วดูเป็น “สาว” ขึ้นมาบ้างเลย
เจ้าตัวกลับมานั่งแปะอยู่ที่เตียง แล้วกดโทรศัพท์หาเพื่อนสาวที่เพิ่งวางสาย
“พิงค์ ฉันไม่มีชุดใส่คืนนี้ แกเอามาให้ฉันด้วยสิ แล้วมาแต่งหน้าบ้านฉันก็ได้”
รวิชาคุยกับเพื่อนสักพักก็วางสาย เป็นเวลาเดียวกับที่แม่นมขึ้นมาเรียก
“นมจ๋า เดี๋ยวพิงค์จะมาหาน้องอายที่บ้านตอนค่ำ มานั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนน่ะ หรืออาจจะมาค้างกับน้องอายก็ได้ ถ้านมง่วงอยากเข้านอน นมนอนก่อนก็ได้นะจ๊ะ ไม่ต้องห่วง” รวิชาบอกกับแม่นมของมารดาที่ดูแลเธอมาแต่อ้อนแต่ออก และรักราวกับลูกในไส้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หรือคะ ก็ดีสิคะ คุณหนูของนมจะได้ไม่เหงา คุณหนูอายอย่าน้อยใจคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ ท่านทั้งสองทำงานหนักจริง ๆ ค่ะ แต่ท่านก็ไม่เคยลืมคุณหนูนะ”
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.
Komen