เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคย
ขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ “ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถาม พี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก” ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้ “พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้” พี่เข้มพูดต่อ “แกจะได้เรียนในสิ่งที่แกอยากเรียน…พี่อยากให้แกได้มีอนาคตที่ดี” ขุนรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ เขาไม่รู้จะตอบพี่ชายอย่างไรดี ความรู้สึกผิดที่เคยมีต่อพี่เข้มเริ่มคลี่คลายลง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าการกลับไปเรียนเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ หรือเปล่า หลังจากที่เขาผ่านเรื่องราวมากมายมาขนาดนี้ พี่เข้มมองหน้าน้องชาย เขารู้ว่าขุนคงสับสน แต่เขาก็อยากให้น้องชายได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ “ลองคิดดูดี ๆ นะขุน ไม่ต้องรีบตัดสินใจ” พี่เข้มพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหันกลับไปตัดแต่งกิ่งลำไยต่อ ปล่อยให้ขุนยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังกับความคิดของตัวเอง ขุนยังคงยืนนิ่ง เขามองไปยังต้นลำไยที่อยู่รายรอบ มองไปยังผืนดินที่เขาเคยวิ่งเล่นเมื่อครั้งยังเด็ก ความฝันที่จะเรียนต่อและพัฒนาไร่ลำไยเคยเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจเขา แต่ตอนนี้…มันกลับเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ ในค่ำคืนนั้นเอง เดือน ก็ยังคงนอนไม่หลับเช่นกัน ความคิดถึง ขุน และคำสัญญาในวัยเด็กยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ เธอพลิกตัวไปมา พยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็ทำไม่ได้ เดือนลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ของห้อง เธอเปิดหน้าต่างออก ปล่อยให้ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้า เดือนมองไปยังบ้านของขุนที่อยู่ไม่ไกลนัก แสงไฟที่สลัว ๆ จากบ้านหลังนั้นทำให้เธอรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ยังคงมีอยู่ เธอคิดถึงรอยยิ้มของขุนในตอนกลางวัน คิดถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขุมที่เธออยากจะค้นหาคำตอบ และคิดถึงคำสัญญาที่เธอเคยให้ไว้กับเขา “พี่ขุน…พี่จะจำได้ไหมนะ” เดือนพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เธอหวังว่าสักวันหนึ่ง ขุนจะพร้อมที่จะเปิดใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง และหวังว่าคำสัญญาในวัยเด็กของพวกเขาจะยังคงมีความหมายสำหรับเขา ไม่ต่างจากที่มันมีความหมายสำหรับเธอเสมอมา สองสามวันถัดมา ขุน ยังคงทำงานช่วย พี่เข้ม ในไร่ แต่ในใจเขายังคงคิดถึงข้อเสนอเรื่องการเรียนต่อในเมือง ความรู้สึกสับสนยังคงเกาะกุม แต่เขาก็เริ่มคิดถึงอนาคตที่พี่เข้มวาดฝันให้ ช่วงบ่ายวันนั้น ขุนเห็น เดือน กำลังนั่งร้อยมาลัยดอกไม้เล็ก ๆ อยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้านของเธอ แสงแดดอ่อน ๆ ลาดลงต้องใบหน้าหวาน ทำให้เธอสวยงามราวกับภาพวาด ขุนสูดหายใจเข้าลึก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปคุยกับเธอ “เดือน…” ขุนเอ่ยเรียกเสียงเบา เดือนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เธอเห็นขุนยืนอยู่ตรงนั้น ก็วางมาลัยดอกไม้ลงบนตัก “พี่ขุน…มีอะไรหรือเปล่าคะ” ขุนเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เขามองเข้าไปในดวงตาของเดือน ดวงตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความสดใสและความไร้เดียงสาอย่างที่เขาจำได้ “พี่…มีเรื่องจะบอก” หัวใจของเดือนเต้นระรัว เธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง “พี่กำลังจะไปเรียนต่อในเมือง” ขุนพูดออกไปในที่สุด น้ำเสียงของเขาเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย คำพูดของขุนทำให้เดือนชะงัก มาลัยดอกไม้ในมือของเธอเกือบจะหลุดร่วงลงพื้น แววตาของเธอสั่นไหว เดือนไม่คาดคิดว่าเขาจะกลับไปจากที่นี่อีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้เบา ๆ เท่านั้น เดือนพยายามรวบรวมสติ เธอเงยหน้าขึ้นมองขุน พยายามยิ้มให้เขาอย่างเต็มที่ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ ในใจ “จริงเหรอคะ…ดีจังเลยค่ะ” ขุนมองเดือน ใบหน้าของเธอที่พยายามยิ้มทำให้เขารู้สึกปวดหนึบในอก เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เธอซ่อนไว้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม “พี่เข้มเป็นคนจัดการให้” ขุนพูดต่อ “พี่…คิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดี” “ใช่ค่ะ! เป็นโอกาสที่ดีมากเลยค่ะ” เดือนรีบตอบเสียงดังฟังชัดกว่าปกติ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดหวังในใจ “พี่ขุนจะได้มีอนาคตที่ดี…จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ” เธอไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจไปเรียนอีกครั้ง ไม่ได้ถามว่าเขาจะไปนานแค่ไหน ไม่ได้ทวงถามถึงคำสัญญาในวัยเด็ก เดือนเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป ปล่อยให้ความเข้าใจผิดและช่องว่างที่เคยมี ยังคงอยู่เช่นนั้น ขุนมองเดือนอยู่นาน เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดเหล่านั้นกลับจุกอยู่ที่คอ เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกผิด ความเจ็บปวด และความสับสนในใจให้เธอฟังได้อย่างไร สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า “งั้นพี่…ไปก่อนนะ” ขุนเอ่ยลา เดือนพยักหน้าตอบ เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทน ขุนหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เดือนนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ทันทีที่ขุนลับสายตาไป เดือนก็ก้มหน้าลง น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลอาบแก้ม เธอปล่อยให้หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดผิดหวังไหลรินลงมาเงียบ ๆ ลงบนพวงมาลัยดอกไม้ที่ยังร้อยไม่เสร็จ "พี่ขุน…จะกลับมาอีกไหมนะ" คำถามนั้นดังก้องอยู่ในใจของเดือนอีกครั้ง ในขณะที่หัวใจของเธอก็รู้สึกยินดีกับอนาคตที่ดีของขุน แต่ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดจากการจากลาครั้งที่สองบรรยากาศในบ้านของ พี่เข้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ บัณฑิตใหม่ อย่าง ขุนพอล และ ลินดา เดินทางมาร่วมงานด้วย พวกเขานำไวน์ชั้นดีและขนมเค้กมาเป็นของขวัญ ข้าวหอมช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ มีทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารที่ขุนชอบเป็นพิเศษโต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้นอกชานบ้าน ใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ห้อยระย้าจากต้นไม้ใหญ่ เสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยและเสียงแก้วกระทบกันเดือน มาถึงพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เธอสวมชุดที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม ดวงตาเป็นประกายเมื่อมองมาที่ขุน“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่ขุน” เดือนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจขุนยิ้มตอบ “ขอบคุณนะเดือน” เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงนี้ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร พี่เข้มรินไวน์ให้ทุกคน พอลยกแก้วขึ้น“ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของเราด้วยนะขุน” พอลกล่าว “นายเก่งมากจริง ๆ”ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน เสียง “ไชโย!” ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงลินดายิ้มให้ขุน “ดีใจด้วยนะคะขุน ที่ดิน 50 ไร่ที่พี่เข้มให้…อยู่ติดกับไร่ดอกไม้ของลินดาเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น “ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะ”ขุนพยั
หลังจากวันนั้นที่คาเฟ่ ขุน ตัดสินใจที่จะกลับไปเรียนต่อในเมืองตามคำแนะนำของ พี่เข้ม แม้ในใจลึก ๆ จะมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะอยู่ใกล้ เดือน และไร่ลำไย แต่เขาก็รู้ว่าการเรียนคือโอกาสสำคัญที่พี่ชายมอบให้ และเป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดขุนเดินทางกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนา "บ้านไร่ในฝัน" ของเขาให้เป็นจริงตลอดช่วงเวลาที่ขุนเรียนอยู่ในเมือง เขาจะโทรศัพท์กลับมาคุยกับพี่เข้มและข้าวหอมเป็นประจำ เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและข่าวคราวของไร่ลำไย และแน่นอนว่าเขามักจะแอบถามถึง เดือน เสมอเดือนเองก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีความสุขกับการทำงานที่คาเฟ่ดอกไม้ของ ลินดา เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของขุนเสมอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…ในที่สุด วันที่ ขุน รอคอยก็มาถึง วันรับปริญญา ของเขาพี่เข้มและข้าวหอมพร้อมด้วย ต้นฝัน ลูกสา
เสียงเรียกชื่อของ เดือน แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของ ขุน หยุดนิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ขุนเห็นความตกใจและแปลกใจในแววตาของเดือน ส่วนเดือนก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกในดวงตาของเขาลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็หันมามองขุนด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดือนที่ตั้งสติได้ก่อน รีบส่งยิ้มให้ลูกค้าพร้อมรับออเดอร์อย่างเป็นธรรมชาติ“พี่ขุนมาเมื่อไหร่คะ” เดือนถามขณะที่เธอกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มือของเธอดูคล่องแคล่ว แต่ขุนก็สังเกตเห็นว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย“เมื่อวาน” ขุนตอบสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เดือน ไม่ได้สนใจลูกค้าคนอื่น ๆ เลยเมื่อเดือนชงกาแฟเสร็จและส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับขุนอย่างเต็มที่“มาเที่ยวคาเฟ่เหรอคะ” เดือนพยายามยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงาม แต่ดูต่างไปจากรอยยิ้มสดใสในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย“มาเยี่ยมหลาน” ขุนตอบ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ “พี่เข้มมีลูกสาวแล้ว ชื่อต้นฝัน”ดวงตาของเดือนเป็นประกายด้วยความยินดี “จริงเหรอคะ! ดีใจด้วยจังเล
หลังจากวันที่ ขุน จากไปอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาที่ยังค้างคา เดือน ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดือนรู้ดีว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้เวลาผ่านไป เดือนเริ่มเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นความคิดและจิตใจ เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับความเศร้า แต่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อรอคอยวันที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วยความช่วยเหลือของ พี่เข้ม และ ข้าวหอม เดือนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใน ไร่ดอกไม้เรือนกระจกของลินดา ซึ่งอยู่ทางเหนือของไร่ลำไย เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียนรู้การดูแลดอกไม้ การจัดดอกไม้ และการบริหารจัดการคาเฟ่ดอกไม้ที่สวยงามลินดา มองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นในตัวเดือน เธอเอ็นดูเดือนเหมือนน้องสาวคนเล็ก คอยสอนงาน ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ลินดาไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการกับอารมณ์ และการมองโลกในแง่บวก“ดอกไม้ก็เหมือนใจคนนะเดือน” ลินดาเคยพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก “ถ้าเราดูแลมันดี
วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจหลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาใน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคยขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ“ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา“เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถามพี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก”ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้“พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้