เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเคยเขียนจดหมายไร้สาระเล่าให้จางฟางหรงฟังว่าจับแมวป่าได้ แมวป่ามีมูลค่า หนังของมันเป็นที่ต้องการ แต่เปาเป่าตัวเล็กนัก แม่ของมันรวมทั้งพี่น้องมันอยู่ที่ใด ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้นึกอย่างไรหิ้วแมวป่ากลับมาโยนให้แม่นมช่วยดูแล มันเป็นแมวป่าแต่ถูกคนเอาใจใส่ดูแล ความดุร้ายจึงลดลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘จางฟางหรง’ ตอบจดหมายและขอความเมตตาจากเขาให้เลี้ยงมัน พร้อมทั้งแนะนำให้เขาหานมแพะมาป้อนมันอีกด้วย เขาไม่เคยตอบ ‘จางฟางหรง’ ว่าเขาตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ จนเวลานี้ ‘จางฟางซิน’ ได้มาพบกับมันด้วยตนเอง
จางฟางซินพยักหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหลัวหลิวหยางหิ้วหนังคอเจ้าแมวป่าออกจากอกของนาง ยื่นแมวยักษ์ไปทางหูซานให้อุ้มแมวไว้ แล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นจากพื้น
“ท่าน!”
“เจ้าอยู่นิ่งๆ ในห้องไม่ได้สินะ” เขาหัวเราะในลำคออุ้มนางมานั่งที่เก้าอี้กลมที่ศาลาหกเหลี่ยม
“อุดอู้อยู่ในห้องมาสี่ห้าวันแล้ว ข้าอยากออกมารับแสงแดดบ้าง” นางอาศัยจังหวะที่เขาอยู่ใกล้นาง กระซิบบอกเขา “ข้าอยากเห็นพื้นที่ ภูมิประเทศและผู้คน ข้ามาถึงหลายวันแล้ว ให้ข้าช่วยงานท่านบ้างเถิด”
เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน เขายื่นริมฝีปากไปใกล้ริมหูนางแล้วพูด “อย่ารีบร้อนนัก”
“ท่านไม่รีบแต่ข้ารีบ” นางหันมาพูดกับเขา แล้วต้องชะงักไปเมื่อปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ
หูซานที่อุ้มแมวป่าอยู่ถึงกับยืนตะลึง ส่วนเสี่ยวจิ้งอุทานเบาๆ แล้วรีบยกมือขึ้นปิดปาก ใครกันหนอกล่าวหาว่าท่านแม่ทัพพิทักษ์บูรพานิยมชื่นชมชอบบุรุษด้วย เห็นชัดเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างข่าวลือแน่ๆ
“เห็นชัดว่าข้าทิ้งเจ้าห่างสายตาไม่ได้เลยจริงๆ” เขาขยับตัวออกห่าง แต่กลิ่นกายของนางยังวนเวียนอยู่ปลายจมูกชวนให้สูดดม
“ข้าคงไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อเชื่อฟังคำสั่งใครกระมัง” หญิงสาวทำปากยื่น นึกถึงไม้เท้าที่เขาส่งมาให้ “ด้วยของขวัญที่ท่านมอบให้ เห็นได้ชัดเช่นกันว่ามันเหมาะกับข้ายิ่ง”
“เพราะข้ารู้ว่า ถ้าข้าไม่หามาให้ เจ้าก็ต้องหาวิธีลุกขึ้นเดินเองจนได้”
“ขอโทษด้วย”
“สีหน้าเจ้าไม่มีความสำนึกผิดเลยสักนิด”
คราวนี้นางหัวเราะออกมา “ข้าอยากเห็นแปลงนาเชิงเขา”
“ได้”
“ข้าอยากเห็นผืนป่าที่น่ากลัวนักหนา”
“ได้”
“ข้าอยากเห็นตลาดค้าม้า ได้ยินว่าม้าที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นม้าที่แข็งแรงและงามสง่ายิ่ง”
“ได้”
“ข้าอยาก...”
“ได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” เขารีบพูดขึ้น แต่นางกลับขมวดคิ้ว เขารับปากง่ายเช่นนี้คงมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างอื่นสินะ แววตาของนางบ่งบอกสิ่งที่นางคิดทำให้เขาหัวเราะในลำคอ ยื่นมือไปใช้ปลายนิ้วดีดกลางนางผากนางเบาๆ
“ห้ามหนีไปเอง เจ้าจะไปที่ใด ข้าจะไปด้วย”
“ได้ ข้ารับปากท่าน” นางพยักหน้ารับ “แต่ข้าขอเปาเป่าได้ไหม”
หลัวหลัวหยางปรายตาไปทางหูซาน ทหารคนสนิทอุ้มแมวป่ามาส่งให้ นางยื่นมือไปรับแต่หลัวหลิวหยางรับไว้แทน เขาเกาคางมันแล้วพูดขึ้น
“ตอนนั้นขามันก็บาดเจ็บ ดื้อรั้นไม่ยอมอยู่เฉย แผลสมานตัวช้ามากจนทำให้ทุกวันนี้มันเป็นแมวพิการขากะเผลก ด้วยเหตุนี้มันจึงค่อนข้างเชื่องเมื่ออยู่กับข้า แต่กับเจ้าเพิ่งพบกันอย่างไรก็ต้องระวังมันหน่อย”
“ข้ารู้ๆ” นางรีบรับปาก ยื่นมือไปรับแมวป่ามาอุ้มไว้แนบอก ตามที่เขาเคยเขียนเล่ามา เขาไม่ได้บอก ‘จางฟางหรง’ ว่าตัดสินใจเลี้ยงแมวป่าตัวนั้นหรือไม่ นางไม่กล้าเซ้าซี้เพราะเกรงว่าเขาจะจับพิรุจได้ แต่พอได้เห็นแมวป่าขาเป๋ นางก็อดดีใจไม่ได้ บางครั้งมันก็แค่เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องที่รู้แค่ระหว่างเขากับนาง มันทำให้นางรู้สึกเป็นคนพิเศษ แตกต่างจากผู้อื่น แม้ว่านางอาจคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้
“อ๊ะ!” นางร้องขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้
“มีอะไรรึ”
“ใบหน้าของข้า” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “แย่มากใช่ไหม”
หลัวหลิวหยางส่ายหน้า “เจ้ามีแผลบ้าง ก็เท่านั้นเอง”
“แย่แค่ไหน ตาของข้าเขียวช้ำหรือเปล่า”
แม่ทัพหนุ่มลังเล “ไม่เชิงนัก”
“หมายความว่าอย่างไร”
“จริงๆ แล้ว มันดูเป็นสีม่วงมากกว่า” หลัวหลิวหยางยอมรับพร้อมกับแย้มยิ้ม “คิดว่า…”
“มีอะไรอีกไหมเจ้าคะ”
“มีแผลเล็กๆ สองสามแผล แต่ไม่มีอันไหนที่จะกลายเป็นแผลเป็น และอืม...ริมฝีปากล่างเจ่อนิดหน่อย”
เขาทำท่าเหมือนจะพูดต่อแต่เกรงใจคนฟังอย่างนาง
“แล้ว?”
หลัวหลิวหยางทำท่าเหมือนยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า นางไม่รู้จะดีกว่า
“ว่าอย่างไร” นางคาดคั้น
หลัวหลิวหยางแตะนิ้วบนแก้มเนียนของหญิงสาว ลากนิ้วปลายนิ้วบนใบหน้างาม แท้จริงรอยฟอกช้ำจางหายไปมาก นี่นางคิดว่าเขาไม่พานางออกไปไหนเพราะว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผลสินะ
ปลายนิ้วที่ไล้เนียนแก้มทำให้นางรู้สึกประหม่า อยากขยับตัวถอยห่างแต่ก็ทำไม่ได้ หรือบางที นางอาจไม่อยากห่างจากเขาเอง
บุรุษที่ก้าวเข้ามาใหม่เห็นภาพชายหนุ่มหญิงสาวใกล้ชิดสนิทสนม จะเรียกว่าประหลาดใจก็ย่อมได้ แต่ที่ประหลาดใจก็คือบุรุษผู้นั้นคือแม่ทัพหลัวหลิวหยางผู้ได้ชื่อว่ามีดวงกินภรรยาและตลอดเวลาสองปีที่มาประจำชายแดนตะวันออก เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับสตรีนางใด ภาพที่เห็นเบื้องหน้าจึงนับว่ายากจะได้พบเห็นนัก
หูซานขยับตัวเมื่อหันไปมองจึงรู้ว่าเป็น ‘โม่โฉว’ อนุชาของฮ่องเต้แคว้นเหยี่ยน ที่มักมาพบปะกับท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง
“คารวะจวิ้นอ๋อง”
โม่โฉวคลี่พัดโบกไปมาแล้วหัวเราะขึ้น “ไม่คิดว่าจะได้เห็นแม่ทัพหลัวทะนุถนอมสตรีเช่นนี้”
จางฟางซินได้สติหลุบตาลงวางท่าทางสงบเสงี่ยม นางเข้าใจไปว่าท่านแม่ทัพผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง คงล่วงรู้ว่ามีคนเข้ามาจึงแสร้งทำสนิทสนมกับนาง หลัวหลิวหยางเก็บมือของตนอย่างนึกเสียดาย เขาปั้นสีหน้าขรึมลุกขึ้นประสานมือคารวะ
“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องเสด็จมาจึงไม่ได้ต้อนรับ”
“พูดจาเป็นคนอื่นคนไกลเสียจริง” โม่โฉวหัวเราะแล้วมองเลยไปยังสตรีที่ยังนั่งอยู่
“นางคือจางฟางซิน เท้าของนางได้รับบาดเจ็บไม่อาจลุกขึ้นคารวะท่านอ๋องได้ โปรดอย่าได้ถือสานาง”
“บาดเจ็บรึ” โม่โฉวขมวดคิ้ว “หรือว่าเป็นรถม้าที่ถูกโจรปล้นเมื่อหลายวันกัน”
“ถูกต้อง บังเอิญกระหม่อมผ่านไปช่วยได้ทันเวลา นางจึงบาดเจ็บเล็กน้อย”
“โจรป่าเหล่านี้เหิมเกริมยิ่ง” โม่โฉวบ่นด้วยเสียงหงุดหงิด “หวังว่าแม่นางฟางจะไม่เป็นอะไรมาก”
“เพคะ”
นางตอบเก็บถ้อยคำตนเองให้มากที่สุด แสดงท่าทางประหม่าและหวั่นวิตกออกมา แม้นางไม่ใช่สตรีงดงามแต่เมื่อทำเช่นนี้ย่อมดูน่าเวทนาสงสารนัก และเป็นไปตามที่จางฟางซินต้องการ โม่โฉวไม่เอ่ยถามอะไรอีก หลัวหลิวหยางเอ่ยปากชวนจวิ้นอ๋องไปที่ห้องอักษรให้จางฟางซินได้พักผ่อน จางฟางซินเห็นเขาปรายตามองทางนางเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
หญิงสาวได้แต่มองแผ่นหลัง ‘โม่โฉว’ หรือจวิ้นอ๋องแห่งแคว้น เหยี่ยน คนผู้นี้คือคนที่องค์รัชทายาทสั่งนางให้เตือนหลัวหลิวหยางให้ระวังตัว นางเองก็อยากรู้ว่าภายใต้ท่าทีขี้เล่นและแสดงท่าสนิทสนมนั้น ซ่อนมีดคมกริบไว้จริงหรือไม่
"การชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีการอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลย ถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง"
เสียงหญิงสาวเอื้อยเอ่ย พลางจ้องใบหน้าของบุรุษหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงหมอนด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย รถม้าโยกไหวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ทำให้จังหวะการรินน้ำชาของเขาได้เลย
“หนึ่งในคำกล่าวของซุนวู” หลัวหลิวหยางเอ่ยแล้วส่งน้ำชาให้จางฟางเหนียง และเพราะเท้าของนางยังพันผ้าไว้ทำให้ท่านั่งของนางไม่สู้จะเรียบร้อยนัก แต่นางก็มิได้ใส่ใจ เหยียดขาข้างที่เจ็บไปกับพื้นพรมขนสัตว์ที่เขาสั่งให้เขาปูให้นางนั่งอย่างสบาย ซ้ำยังมีหมอนใบเล็กหนุนเท้าของนางอีกด้วย
“ก็...ก็ใช่นะสิ เป็นของนายของข้ามอบให้มา” นางพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกท่อนแขนรัดเอวนางแน่นขึ้นจนเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา“นายเจ้าเป็นเศรษฐีที่ถูกหายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนรึ จุ๊ๆ เจ้าอย่ามาโกหกเลย บอกมาเถอะว่ารถม้าคันนั้นอยู่ที่ใด สมบัติในรถคันนั้นต้องมีมากกว่าที่เจ้าขนลงไปแน่”ฟางซินแตกตื่นจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น หญิงสาวทั้งเจ็บและจุก พยายามดิ้นรนแต่ชายคนหนึ่งกลับคร่อมร่างนางไว้และอีกสองคนยึดแขนคนละข้าง เหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง นางนึกถึงเพียงใบหน้าของปีศาจภูเขา แต่นี่อยู่นอกเขตอาคม เขาไม่อาจออกมาช่วยนางได้ไม่! เขาจะออกมานอกเขตอาคมไม่ได้! เขาอาจจะตาย! และถ้ามีคนรู้ว่าปีศาจภูเขามีอยู่จริง จะต้องถูกชาวบ้านเชิญนักพรตมาสังหารเป็นแน่! นางยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!“โอ๊ย!”แมวป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนที่คร่อมร่างหญิงสาวอยู่ กรงเล็บของมันทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นรอยแผล และเพราะความเจ็บปวดที่ทำให้รับทำให้ชายคนนั้นจับแมวป่าตัวนั้นออกจากร่างของตนแล้วทุ่มลงบนพื้นกระแทกถูกก้อนหิน แมวป่าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง
ทว่านางกลับมีหมาป่าสองสามตัวติดตามลงมาส่ง นางเดาว่าปีศาจภูเขาคงขู่บังคับให้ทำเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว นางไม่อยากจากเขาไปไหนเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ได้มาลาบิดามารดาก่อนจะไปอยู่กับเขาชั่วชีวิต แต่เขาเป็นปีศาจ หากผู้อื่นรู้เขาเกรงว่าครอบครัวของนางจะลำบาก ระหว่างเดินทาง นางจึงครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ออกจากบ้านอย่างไร้กังวลหญิงสาวลอบเข้าบ้านหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นผ่านมาเห็น เสียงไอโขลกๆ ของมารดาทำให้ฟางซินแทบทิ้งทุกสิ่งที่หอบมาเพื่อเข้าไปในเรือน บานประตูที่ถูกผลักออกโดยง่ายนั้น ทำให้มารดาที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าบุตรสาวคนเดียวที่หายไปร่วมเดือนก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา“แม่คิดว่าเจ้า...เจ้า...”“ข้าไม่เป็นอะไรท่านแม่” นางวางข้าวของที่หอบลงมาจากเขา เปิดห่อผ้าหยิบโสมคนออกมาให้มารดา “นี่โสมคนชั้นเยี่ยม ข้าจะนำมาไปให้ท่านหมอปรุงยาให้ท่านแม่”“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน แล้วนี่...เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ผู้อื่นลือกันว่าเจ้าตกเขาตายไปแล้ว”“เอ่อ...มีคนใจดีช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่อยากให้มารดารู้เรื่องที่เกือบถูกขืนใจ นางเองก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นอีก “ข้า...ข้าข
ฟางซินทั้งเขินอายและเสียวซ่าน นางผงกศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงศีรษะของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขา นางอับอายเหลือเกินจึงพยายามดันศีรษะของเขาออก ทว่ารสสัมผัสที่เขามอบให้แสนเย้ายวนจนได้แต่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยที่นางบรรจงสางให้เขาอย่างดี เขาช้อนสะโพกนางให้ลอยขึ้น ถอนนิ้วเรียวออกแล้วห่อลิ้นแทรกเข้าไปแทนที่ น้ำหวานที่หลั่งออกมาทำให้ยิ่งฮึกเหิม เสียงครางกระเส่าของนางเสมือนรางวัลที่เขาตักตวงจากกายสาว สะโพกของนางลอยขึ้นจากพื้นโยกไหวตามอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้น นางหลั่งน้ำหวานออกมามากล้นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาถอนลิ้นออกแล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วเรียวสองนิ้วเข้าไป“อ๊า!” ฟางซินหลุดเสียงหวีดร้องออก สะบัดใบหน้าไปมา“เจ้า...ต้องพร้อมมากกว่านี้” เขาพูดเสียงแหบพร่า นิ้วร้ายยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกนำพาน้ำหวานวาวใสให้หลั่งออกมาก ร่างกายของเขาแทบปริแตกด้วยความต้อง เขาจ้องมองร่างขาวเนียนบิดไปมาด้วยความรัญจวนจนกระทั่งร่างนางเกร็งและช่องทางที่แสนคับแคบบับรัดรุนแรงด้วยไปถึงจุดสุขสมฟางซินหวีดร้องอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายร้อนผ่าวและหลอมละลายด้วยน้ำมือของเขา เขาถอนนิ้วออกช้าๆ นางหอบหายใจแรงมองเห็นเขาส่งนิ้วที่เปื้อนเปรอะน้ำ
“เปล่า” เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นข้าที่ต้องดูแลเจ้า เจ้าถอดเสื้อผ้าสิ เร็วเข้า” “ไม่ เอ่อ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีไม่คิดรังแกนาง นางจึงยอมทำตามที่เขาสั่ง แต่การจะเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นนั้น นางไม่อาจทำได้ “เอาอย่างนี้ ท่านขึ้นจากน้ำไปก่อน ข้าจะถอดเสื้อผ้าในน้ำนี้” “อย่างนั้นรึ” เขาถามและนางก็พยักหน้ายืนยันแทนคำตอบ เขาจึงยอมเป็นฝ่ายขึ้นจากน้ำไปก่อน ฟางซินถอนหายใจโล่งอก ปีศาจตนนี้เอาใจไม่ยากนัก นิสัยคล้ายเด็กมากกว่า แต่นางก็ไม่เคยรู้จักปีศาจตนใดมาก่อนจึงไม่รู้ว่าปีศาจตนอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ฟางซินเห็นเขาหันหลังให้เหมือนยามที่นั่งหน้ากองไฟทุกค่ำคืน นางจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี่ออก ให้ร่างกายเปลือยเปล่าได้สัมผัสความอุ่นร้อนพอดีของสายน้ำ นางหลับตาอย่างผ่อนคลาย มันสบายอย่างนี้เองหรือ นางเผลอคลางออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ประสาทการรับรู้ของปีศาจภูเขานั้นยอดเยี่ยม เขาหันขวับมามองด้วยความเป็นห่วง ทว่าภาพที่เห็นคือสาวงามเปลือกกายในสระน้ำ หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากทรวงอก ดอกบัวคู่งามปริ่มน้ำชวนหลงใหล ผิวกายของนางแม้มีรอยบอบช้ำทว่ากลับน่ายื่นม
ขึ้นเขาครั้งนี้เพราะหวังว่าจะหาโสมหรือสมุนไพรหายาก แต่ไม่คิดว่าจะเจอพวกคนในหมู่บ้านมาทำร้ายนางได้ นางหายออกจากบ้านมากี่วันแล้วนะ มีใครออกตามหานางบ้างไหม? มีคนเป็นห่วงนางหรือเปล่า? หรือคิดเพียงแค่ว่านางอาจหนีเอาตัวรอดทิ้งความยากจนไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าอาหารที่ตนทำไม่อร่อย แต่เห็นนางกินจนเกลี้ยงชามก็อดปิติยินดีไม่ได้ “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว” “เจ็ดวัน” ปีศาจตอบ “ฝนตกติดต่อกัน หนักบ้างเบาบ้าง” “อย่างนั้นหรือ?” นางถามเหมือนรำพึงไม่ต้องการคำตอบ แต่ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงดีไม่น้อย ไม่ต้องกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายใดอีก เห็นท่าทางนิ่งงันของนางแล้ว ปีศาจภูเขารู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขายื่นมือไปแตะแขนนางเบาๆ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง “ข้า...ข้าอยากอาบน้ำ” “อาบน้ำ?” เขาทำหน้างุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “ได้ๆ ตอนนี้ไม่มีฝนแล้ว ข้าจะพาไปที่สระน้ำกลางป่า มีน้ำพุร้อน ที่นั้นจะช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าได้” “น้ำพุ
พายุฝนกระหน่ำทำเอาหญิงสาวต้องขดตัวกลมเพื่อปกป้องความเหน็บหนาวที่ถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้าบนร่างนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่นแทบปกปิดเนินอกสล้างนั้นไม่ได้เลย หญิงสาวได้สติเมื่อผ้าผืนชุบน้ำผืนหนึ่งบรรจงเช็ดใบหน้าให้อย่างระวังว่ากรงเล็บจะถูกผิวกายของนาง หญิงสาวได้สติเพราะลมเย็นพัดผ่านผิวกาย มือเล็กยกขึ้นปกปิดทรวงอกไว้ เงาดำนั้นผงะเล็กน้อยแล้วถอยห่าง ฟางซินรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นก้าวออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองสภาพตัวเองที่เสื้อผ้าแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้เลย นางหยิบผ้าที่ที่วางในอ่างเล็กๆ นั้น ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ใบหน้าและแขน แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นว่านางนั่งอยู่บนพรมหนังสัตว์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านนอกคงมีพายุฝนโหมกระหน่ำ นางอยู่ด้านในได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องคำรามและไอเย็นแผ่กระจายเข้ามา นางไม่กล้ามองเท้าขวาของตนเองเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็ยิ่งขวัญเสีย “จะ...เจ็บ...เจ็บมากรึ” ฟางซินได้ยินเสียงแหบแห้งจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตนั้นแทบบดบังแสงสว่างจากกองไฟหมดสิ้น นางอ้าปากแต่พูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นหลุดจากริมฝ