ตอนที่ 12
หมอเทวดาอู๋อิน ดึกสงัด คืนนี้อยู่ ๆ นางก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก เจ้าของมือเรียวสวยรินน้ำใส่ชาม ก่อนจะยกดื่มหมดชามในคราเดียว ไม่ใช่ว่านางรู้สึกกระหาย เพียงต้องการให้ร่างกายได้รับความสดชื่นเพิ่มเข้ามาเพียงเท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนน้ำเต็มชามนั้นจะไม่ได้ช่วยให้ใจนางสงบลงได้เลย ร่างบางจึงลุกขึ้นสวมใส่เสื้อตัวนอกให้เรียบร้อย หมายจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อยให้ได้ผ่อนคลายบาง ตั้งแต่ที่ต้องอยู่ที่หมู่บ้านตู๋ชือแห่งนี้ ทุกวันคืนผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ค่อยง่ายดายนัก ต้องคอยหลบซ่อนกลัวว่าจะถูกพบเห็นเข้า ในทุกๆวันนางไม่อาจแสดงความกังวลใจออกมาได้ จำต้องเก็บเอาไว้ภายในใจ และแสดงความร่าเริงออกมาแทน คุณชายอวี้ผู้นั้นค่อนข้างมืดมนทีเดียว ในใจเขาน่าจะมีเรื่องราวในด้านร้ายๆให้ค่อยคิดอยู่ตลอดเวลา หากเพิ่มความกังวลใจต่างๆของนางเข้าไปอีก ผลลัพธ์ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่า แล้วนางก็คิดว่านางคิดถูกแล้วที่แสดงท่าทีร่าเริงออกมา หลายวันมานี้มันทำให้คุณชายอวี้นั่นผ่อนคลายลงได้อย่างมาก และนางคิดว่านั่นเป็นการดีต่อการรักษาของเขาเป็นอย่างมาก รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเข้าที่เข้าทางเช่นกัน นั่นแปลว่าการที่นางฝืนตัวเองเอาไว้เช่นนี้ถึงจะไม่ง่ายแต่ก็ได้ผลดีอยู่ นางจึงยินดีที่จะฝืนตัวเองต่อไปอีกเพื่อผลดียิ่งกว่าเดิม รอให้คุณชายอวี้รักษาตัวหายแล้ว เมื่อนั้นพวกเราทั้งคู่ก็จะกลับบ้านอย่างปลอดภัย นางไม่ต้องฝืนตัวเองเช่นนี้อีกต่อไป ขณะที่เปิดประตูห้องพักของตนนางก็คิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย สายตามองไปก็เห็นว่าห้องพักของคุณชายอวี้ยามนี้มีแสงไฟส่องสว่างออกมาจากภายในห้อง ก่อนจะกลับห้องพักมานางเป็นคนดับตะเกียงให้เขาเองกับมือ การที่ไฟถูกจุดให้สว่างอีกครั้งเช่นนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว นางรีบก้าวไปยังห้องฝั่งตรงข้ามทันที และเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องไปภายในเวลาอันรวดเร็ว "คุณชายอวี้ ท่านหมอคุณชายอวี้เขา..." สิ่งที่นางเห็นในยามนี้คือร่างซีดเซียวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างทุรนทุรายนัก มือทั้งสองข้างของเขากำผ้าห่มเอาไว้จนแน่ ริมฝีปากของเขาก็มีเลือดซึมออกมาไม่น้อย คงเป็นเพราะว่าเขาเผลอไปกัดริมฝีปากของตนเองเอาไว้ "ผลของยาระงับสะท้อนกลับแล้ว" "เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี ท่านหมอหลงต้องรีบช่วยเขานะเจ้าคะ" "ที่ข้าทำได้ล้วนทำจนหมดแล้ว" "...." ได้ยินท่านหมอพูดเช่นนี้ หลิวซือนัวถึงขั้นเงียบลงไปครู่หนึ่งเลย หมอเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่เอ่ยว่าช่วยไม่ได้แล้ว เช่นนั้นนางยังจะทำสิ่งใดได้อีก ท่านหมอหลงมองคนไข้ของตนอย่างเวทนา เขาถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง "แม่นางหลิว เจ้าก็จงเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด หากฤทธิ์ของพิษสงบลงแล้วก็จงมาบอกข้า ข้าจะลองไปปรุงสมุนไพรสูตรใหม่ให้เขาดู" เอ่ยจบตนก็เดินออกจากห้องไป ท่านหมอหลิวออกไปแล้ว ยามนี้จึงเหลือเพียงแค่นางกับเขาเท่านั้น หลิวซือนัวไม่รู้ว่าเวลานี้นางควรทำอะไร นั่งนิ่งดูเขาทรมานด้วยน้ำตานองเต็มหน้าเพราะความสงสารอยู่พักหนึ่ง ถึงได้ยกมือปาดน้ำตาที่แก้มตนออกอย่างลวกๆ แล้วจึงได้ลุกไปตักน้ำมาถังหนึ่ง ก่อนจะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดตามใบหน้าที่ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมากของเขา ยาของท่านหมอหลงช่วยเขาไม่ได้แล้ว คงต้องให้เขาพึ่งพากำลังของตัวเองในการต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตแล้ว นางเองนอกจากช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาแล้วก็ไม่มีสิ่งใดทำได้อีก "คุณชายอวี้ ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่กับท่าน" นางเอ่ยขึ้น มือเรียวสวยเอื้อมไปกุมมือใหญ่ของเขาเอาไว้ข้างหนึ่ง และจะกุมมันเอาไว้เช่นนี้ตลอดจนกว่าเขาจะสามารถผ่านความเจ็บปวดนี้ไปได้ นางหวังว่าความเจ็บปวดของเขาจะผ่านไปโดยเร็ว หวังว่าเขาจะไม่ต้องเจ็บปวดนานเกิดไปนัก แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่กำลังถูกฤทธิ์ของพิษร้ายกล้ำกรายอยู่นั้น ยามเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองถูกห่วงใยและมีคนผู้หนึ่งที่เป็นห่วงเขาอย่างแท้จริงและพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขา เป็นเพื่อนข้ามผ่านความเจ็บปวดนี้ไปด้วยกันนั้นเขารู้สึกว่าตนได้รอดผลจากความเจ็บปวดใด ๆ แล้ว ต่อจากนี้แค่มีนางความเจ็บปวดใด ๆ ที่กล้ำกรายเข้ามาเข้าไม่เกรงกลัวอีกต่อไปแล้ว และพร้อมจะสู้กับมันสุดกำลัง สองชั่วยามต่อมา ในที่สุดความทรมานแสนสาหัสก็จบลง อวี้หนานไห่สู้อย่างสุดกำลังก่อนจะสลบไปในที่สุด นางตามท่านหมอหลงเข้าในห้องต้มยา เห็นหม้อต้มยาหลายหม้อถูกต้มอยู่บนเตา ยาเหล่านี้จะมีที่สามารถช่วยเขาได้บ้างหรือไม่นะ "เขาจะรอดใช่ไหมท่านหมอหลง" นางเอ่ยถามขึ้น ท่านหมอหลงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆเพียงเท่านั้น แต่สีหน้าของท่านหมอหลงกับแสดงออกซึ่งคำตอบทุกอย่างแล้ว ยามนี้ท่านหมอหลงหมดสิ้นหนทางแล้ว "ทางรอดเดียวของเขาคือ ท่านอาจารย์ของข้าเท่านั้น เขาเท่านั้นที่จะสามารถช่วยรักษาชีวิตคุณชายอวี้ได้" "แต่พวกเราไม่มีเวลารอแล้วนะเจ้าคะ ต้องรออีกนานเท่าไหร่กัน" "ไม่ต้องรอแล้ว พวกเจ้ากำลังรอข้าอยู่อย่างนั้นหรือ เหมือนจะมีใครต้องการข้าอยู่นะ" นางหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นมา ก่อนจะพบเด็กชายผู้หนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในห้องต้มยาแห่งนี้ เด็กผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีรูปร่างผอมแห้ง แสดงว่าไม่ใช่คนของหมู่บ้าน เด็กคนนี้เป็นใครกัน? "ลูกชายของท่านหมอหลงหรือ" เสียงหัวเราะของท่านหมอหลงดังขึ้นทันทีที่นางถามขึ้น เขาหัวเราะจนถึงขั้นสำลักน้ำลายของตนเอง "น่าขันนักหรืออย่างไร ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากยุติความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์กับข้า เช่นนั้นก็ใช้มีดปลิดชีพตัวเองเสียเดี๋ยวนี้เถอะ" เด็กผู้ชายคนนี้กล่าว ก่อนจะส่งมีดเล่มหนึ่งให้ท่านหมอหลงด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่ง ท่านหมอหลงเปลี่ยนท่าทีทันที เขารีบร้อนรับมีดที่ถูกลงมาให้อย่างอ่อนน้อม "ท่านอาจารย์โปรดอย่างได้ถือโทษศิษย์เลยขอรับ ท่านมาเหนื่อย ๆ ไม่สู้ให้ศิษย์ยกน้ำชาปรนนิบัติท่าน" นางได้ยินทุกคำพูดที่ท่านหมอหลงเอ่ยกับเด็กผู้ชายผู้นี้ อีกทั้งท่าทีที่ท่านหมอหลงปฏิบัติกับเขาก็ช่างให้ความเคารพยิ่งนัก "ท่านหมอหลง เด็กผู้นี้คือ..." "ท่านผู้นี้คือท่านอาจารย์ของข้าเอง ท่านแซ่อู๋ มีนามเดียวว่าอิน ท่านคือท่านหมอเทวดาอู๋อินผู้เรื่องชื่อ" ถ้าไม่เห็นกับตาไม่ได้ยินกับหู หลิวซือนัวคิดว่าตัวเองก็คงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเด็กผู้ชายที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบเช่นนี้จะเป็นหมอเทวดา อีกทั้งเป็นอาจารย์ของท่านหมอหลง นางหาจังหวะที่ท่านหมอหลงอยู่ตัวคนเดียวสอบถามเขาว่าใช่เรื่องจริงหรือไม่ เกี่ยวกับท่านหมออู๋อินที่ดูเด็กขนาดนี้ สุดท้ายจึงได้รับคำตอบพร้อมกับการยืนยันจากท่านหมอหลงว่าท่านหมออู๋อินผู้นี้คืออาจารย์ของตนแน่ ไม่มีอะไรผิดพลาดทั้งสิ้น เขารู้ว่าที่นางกังวลใจเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของอาจารย์ของเขาที่ไม่ต่างจากเด็ก ท่านหมอหลงยืนยันกับนางว่ารูปลักษณ์นี้ของอาจารย์ของเขานั้นเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ รูปลักษณ์ของท่านอาจารย์นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา ส่วนสูง หรือนี้จะเป็นสิ่งพิเศษสำหรับหมอเทวดาเท่านั้นที่จะมีรูปลักษณ์เช่นเดิมตลอดไป ท่านหมอหลงเองก็บอกมาว่าเขาเองก็เคยสอบถามท่านอาจารย์ว่านั่นคือพรจากสวรรค์ใช่หรือไม่ แต่อาจารย์อู๋อินกับตอบกับมาว่า "นี่คือคำสาปต่างหาก" "ถ้าข้ากลับมาช้าแค่เพียงอีกครึ่งวันเท่านั้น บุรุษผู้นั้นคงเหลือแค่เพียงซากศพแล้ว" น้ำเสียงปกติเอ่ยขึ้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลิวซือนัวมองท่านหมออู๋อินซึ่งกำลังเขียนใบสั่งยาต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการรักษาคุณชายอวี้เพื่อให้ท่านหมอหลงไปเตรียมต้มยารักษา "ท่านหมออู๋ ท่านสามารถรักษาเขาได้ใช่ไหมเจ้าคะ" "รักษาชายผู้นั้นสำหรับข้าง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น" ตอบคำถามนางเสร็จ ท่านหมออู๋ก็เดินจากไปทันที เหลือเพียงท่านหมอหลงเท่านั้นที่ยังรั้งรออยู่ภายในห้อง "ท่านอาจารย์ฝีมือแพทย์สูงส่ง ข้าเทียบท่านไม่ได้เลย แม่นางหลิวเบาใจเถอะ หลังจากได้ดื่มยาของท่านอาจารย์เขาก็จะดีขึ้นในไม่ช้า" "รบกวนท่านหมอหลงกับท่านอาจารย์หมออู๋แล้ว" "มีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกแม่นางหลิวอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแม่นางแล้วว่ามีศิษย์น้องอยู่อีกผู้หนึ่ง นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ แม้จะเป็นคนในหมู่บ้านแต่นิสัยนางต่างจากคนอื่น ๆ ยามนี้นางกลับไปหาพ่อที่บ้าน อีกไม่นานก็คงจะมาหาท่านอาจารย์ หากแม่นางหลิวเจอกับนางก็อย่าได้กังวลไปเลย ทักทายได้ตามปกติ" "ขอทราบแล้ว ขอบคุณท่านหมอหลงที่เป็นห่วง เรื่องยาของคุณชายอวี้ก็ต้องรบกวนท่านหมอหลงกับท่านหมออู๋แล้ว" ช่วงค่ำของวัน เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอกับจางซี ลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านตู๋ชือซึ่งเป็นศิษย์น้องของท่านหมอหลง จางซีผู้นี้เป็นสตรีที่มีรูปร่างผอมบางยิ่งกว่าสตรีทั่วไป ใบหน้าซูบตอบไม่ต่างอะไรกับคนป่วย แน่นอนว่าหากเทียบกับนางซึ่งค่อนข้างอวบอิ่มกว่าสตรีทั่วไปแล้วยิ่งมองเห็นว่าแตกต่างกันมาก หลิวซือนัวไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีหมู่บ้านที่มีแต่คนหุ่นผอมบางเช่นนี้ได้ คนเหล่านี้กับโครงกระดูกแทบจะแยกกันไม่ออกเสียด้วยซ้ำ ช่างต่างกับคนปกติเป็นอย่างยิ่ง หากพวกเขาออกไปสู่โลกภายนอกจะต้องถูกหวาดกลัวแน่ ยิ่งกว่านั้นอาจจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนเสียด้วยซ้ำ "ข้านำอาหารมาให้พวกเจ้า" จางซีเอ่ยขึ้นกับสตรีตรงหน้าหลังจากที่นางยืนขมวดคิ้วด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว เมื่อได้เห็นแม่นางหลิวที่ศิษย์พี่ของนางได้ให้ความช่วยเหลือเอาไว้ "ขอบคุณแม่นางจางมาก" หลิวซือนัวรีบเดินไปรับถาดอาหารที่ถูกยกมาให้ ก่อนจะวางลงที่โต๊ะใกล้ๆตน "แม่นางหลิวไม่ต้องเกรงใจ ศิษย์พี่ช่วยท่านกับบุรุษผู้นั้นเอาไว้ ข้าย่อมต้องช่วยศิษย์พี่ดูแลพวกท่านให้ดี อย่าได้เกรงใจไปเลย" "รบกวนแม่นางจางต้องมาดูแลเช่นนี้ หากมีโอกาสข้าจะต้องตอบแทนท่านทุกคนแน่" "พวกข้าศิษย์อาจารย์ช่วยเหลือโดยไม่เคยหวังผลตอบแทน ส่วนเรื่องคนในหมู่บ้านแม่นางหลิวไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยไม่ให้พวกเขาพบเจอพวกท่านแน่" "แม่นางจางเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกเบาใจแล้ว" "ข้าไม่อยู่กวนแม่นางหลิวแล้ว รีบรับประทานอาหารเสียเถอะ อาหาร เหล่านี้ต้องรับประทานตอนที่ยังร้อนๆอยู่จึงจะไม่เสียรสชาติ ส่วนโจ๊กของ คุณชายอวี้ประเดี๋ยวได้ทีแล้วข้าจะนำมาให้" เมื่อทำหน้าที่ส่งอาหารเสร็จสิ้น จางซีก็เดินออกมาจากห้องพักแขก นางเดินไปก็นึกไปถึงใบหน้างามอวบอิ่มของแม่นางหลิวคนเมื่อกี้ โชคดีที่คนในหมู่บ้านยังไม่มีใครมาเจอแม่นางหลิวผู้นี้ เพราะถ้าหาก เจอนางย่อมต้องเป็นอันตราย แม้แต่นางหรือท่านอาจารย์ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยแม่นางหลิวได้ ก็ในเมื่อแม่นางหลิวผู้นี้ ดันมีใบหน้าเหมือนกับสตรีที่เหมาะแก่การ บูชายัญแด่เทพเจ้าที่สุด ซ้ำยังมีรูปวาดถูกวาดเอาไว้ในคัมภีร์โบราณอายุกว่า ร้อยปีซึ่งถือเป็นหนึ่งในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านอีกด้วย หากแม่นางหลิวถูกคนในหมู่บ้านพบเห็นเข้า สุดท้ายแล้วจะต้อง กลายเป็นเครื่องบูชายัญมนุษย์อย่างแน่นอน นางจะต้องรีบไปบอกเรื่องนี้กับ อาจารย์และศิษย์พี่โดยเร็วที่สุดจะได้รีบหาทางส่งแม่นางหลิวออกจาก หมู่บ้านไปโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เรื่องใหญ่จะเกิดขึ้นตอนพิเศษ 1แม่สามีของข้านั้นดียิ่งนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลอวี้ อวี้หนานไห่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่ออวี้จินเชียง จากที่อวี้หนานไห่เล่าให้ฟังก็คือ อวี้จินเชียงนั้นอยู่ที่บ้านเดิมกับท่านยายของพวกเขาตั้งแต่ยังเยาว์เพราะมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกไม่นานอวี้หนานไห่ก็จะพานางไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและน้องสาวของเขาเพราะว่าฮูหยินอวี้ไม่ใช่สิ เวลานี้นางควรจะเรียกว่าท่านแม่สามีถึงจะถูก เอ็นดูนางเป็นพิเศษดูแลต้อนรับนางเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างอบอุ่น เหมือนกับว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ซ้ำยังชอบให้ท้ายนางอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะยกเลิกไม่ต้องให้นางมาคารวะทุกเช้า ให้เปลี่ยนมาเป็นมาทานมือเช้าเป็นเพื่อนนางบ้างก็พอ ยิ่งเป็นเรื่องข้าวของเครื่องประดับหรืออาภรณ์ แน่นอนว่าอาภรณ์ใหม่ ๆ ของนางไม่มีวันขาดแคลนเพราะว่านางเป็นบุตรสาวจากสกุลที่เปิดร้านอาภรณ์ แต่ยิ่งนางมีเสื้อผ้ามากมายเท่าไหร่ ท่านแม่สามีก็ยิ่งจะยื่นเครื่องประดับจำนวนมากมาให้นาง ทั้งของที่ประมูลมา ของที่หาซื้อได้ตามร้านหรือว่าเครื่องประดับที่ต้องสั่งทำจนยามนี่นางมีเครื่องประดั
ตอนที่ 45คำนับฟ้าดิน"หนึ่ง คำนับฟ้าดิน""สอง คำนับบิดามารดา""สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน"หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ด้านเจ้าบ่าวก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในงานเลี้ยงมงคล เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานดื่มอวยพร เป็นธรรมเนียมปกติที่ในงานมงคลเช่นนี้เจ้าบ่าวจะต้องถูกมอมเหล้าจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายรวมไปถึงญาติมิตรต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอวี้หนานไห่ไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นมอมเหล้านานเกินไป เข้าทักทายแขกที่มาร่วมงานอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามก็แอบปลีกตัวออกมาแล้วคืนเข้าหอเวลามีค่าแค่ไหน ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาบอกเขาก็รู้ดี ทันทีที่เข้าได้ก้าวเข้ามาในเรือนหอของตน บนเตียงก็พบกับภรรยา ใช่แล้วหลิวซือนัวภรรยาของเขา และนางจะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์หลังจากคืนนี้ไป"อวี้หนานไห่เป็นเจ้าหรือ" เจ้าสาวของเขาซึ่งนั่งคลุมหน้าตัวตรงอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้น"เป็นข้าเองภรรยารัก เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว" เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเข้าไปหานาง และใช้ไม้ตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดออกจากศีรษะของนางยามเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกแล้ว ความงดงามที่แสนตราตรึงในใจเขาก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางในเวลานี้ค่อน
ตอนที่ 44ความจริงใจของข้า"ดู ๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าคุณหนูหลิวเหมือนใคร นางเหมือนฮูหยินหลิวนี่เอง ไม่ไหวหน้าผู้อื่นเช่นนี้ไม่มีผิด""ข้าน่ะหรือไม่ไว้หน้า พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ไว้หน้ากันก่อน" ฮูหยินหลิวตอกกลับทันที แม่สื่อพวกนี้นางทนพูดดีด้วยอีกไม่ได้แล้ว"ฮูหยิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลิวรีบเข้ามาห้ามผู้เป็นนายตน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว"จะให้ข้าใจเย็นได้อย่าง...." ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบประโยค ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้าเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างเสียก่อน"ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ""มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเรื่องตรงหน้ายังไม่ทันได้สะสางก็ดูท่าว่าจะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกเสียแล้ว"มีขบวน มีขบวน...ใหญ่ ขบวนใหญ่" อาจจะเป็นเพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว ซ้ำยังตื่นเต้นจึงทำให้บ่าวชายผู้นี้พูดออกมาไม่รู้ความจนฮูหยินหลิวต้องเอ่ยถามซ้ำหลายรอบ"ขบวน ขบวนอะไร ขบวนอะไรใหญ่กันแน่""เหมือนว่าจะเป็นขบวนสินสอดสินะ" แม่สื่อคนที่หนึ่งผู้ขึ้น บ่าวชายที่มาแจ้งข่าวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าใช่"คงเป็
ตอนที่ 43สู่ขออาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลมาหลายวัน และก็ไม่ได้นอนพักดี ๆ มาตลอดทาง วันนี้หลิวซือนัวเลยตื่นสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วยามด้วยกัน กว่าที่จะแต่งตัวหวีผมเสร็จก็กินเวลาช่วงเช้าไปไม่น้อยแล้ว"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า หากคุณหนูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณหนูไปพบฮูหยินใหญ่ที่โถงรับรองด้วยเจ้าค่ะ""ได้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปแจ้งท่านแม่นะว่าประเดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะรีบเข้าไปหาท่าน""เจ้าค่ะคุณหนู"สาวใช้ที่ท่านแม่ให้มาแจ้งข่าวนางจากกลับไปแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่นาง เสี่ยวหนิง และสาวใช้ในเรือนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใส่ในวันนี้อยู่"เสี่ยวหนิง เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ จะมีแขกสำคัญมาหรือไงนะ""บ่าวคิดว่าไม่น่าจะมีแขกนะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เช้าไม่เห็นว่าในโรงครัวคึกคักเลย" ผู้เป็นสาวใช้เอ่ยออกมาตามที่นางคิด เพราะถ้าหากในจวนมีแขกสำคัญ ปกติแล้วในครัวก็มักจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะต้องมีการเตรียมอาหารเอาไว้รับรองแขก"เช่นนั้นแล้วท่านแม่จะเรียกให้ข้าไปพบที่ห้องโถงทำไมกัน" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจคงมีแต่รีบ
ตอนที่ 42จากอีกเพียงวันเท่านั้นนางก็จะต้องเดินทางกลับเมืองเป่ยโจวแล้ว ตามกำหนดการเดินทางกลับที่ท่านแม่ของนางได้กำหนดเอาไว้ พี่ใหญ่ของนางหลิงเค่อกับพี่สะใภ้ฉือหนานเองก็จะเดินทางไปส่งนางกลับจวนและถือโอกาสให้พี่ฉือหนานได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วย หลังจากวันนั้นที่อวี้หนานไห่และนางได้เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกนางก็มีสถานะเป็นคนรักของกันและกันอย่างเปิดเผย แต่เปิดเผยที่ว่านี้ก็จะมีแค่คนในครอบครัวของพวกนางเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนนอกนางและอวี้หนานไห่ก็ไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดจะพูดถึงพวกนางอย่างไรมีบางครั้งที่นางและอวี้หนานไห่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกันบ้างก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในเมือง หลายครั้งก็มีข่าวลือตามมาบ้างทว่าส่วนใหญ่จะลือไปทางที่พวกนางเป็นสหายกันเสียมากกว่า ไม่มีการลือหรือการพูดไปถึงเรื่องเชิงชู้สาวใด ๆ ทั้งสิ้นแน่นอนว่าเรื่องลือเช่นนี้ไม่ถือเป็นผลเสียกับนาง หนำซ้ำยังถือว่าเป็นผลดีต่อร้านสกุลอาภรณ์สกุลหลิวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้ใดที่อยากสนิทสนมกับหมู่ตึกอวี้ฟางก็จะต้องเข้าหาร้านอาภรณ์สกุลหลิวซึ่งลือกันว่าเป็นสหายกับหมู่ตึกอวี้ฟางเพื่อทำต
ตอนที่ 41รัก"ที่ห้องโถงใหญ่เอะอะอะไรกัน เหตุใดถึงได้เสียงดังมาถึงนี่ เจ้าไปดูหน่อยเถอะ" ฉือหนานเอ่ยขึ้น ก่อนจะสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวันมงคลเช่นนี้นอกจากฉือหนานแล้วในห้องรับรองขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก็มีหลิวซือนัวน้องสามีของนาง และก็ฉือฮั่วลูกพี่ลูกน้องของนางที่มาเยี่ยมนางจากบ้านเกิดเมื่อสองวันก่อนใครจะคิดเล่าว่าการมาที่นี่ของฉือฮั่วซึ่งอ่อนวัยกว่านางเกือบสี่ปีจะทำให้นางได้เจอกับรักแรกพบที่นี่ หนำซ้ำยังถูกสู่ขออย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า นางและผู้เป็นสามีที่ถือเป็นญาติสนิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ของฉือฮั่วแทนบิดามารดาของนางที่ไว้ใจฝากฝังบุตรสาวเอาไว้ด้วยเพราะเชื่อมั่นและไว้ใจนางกับสามีด้วยเพราะว่าทั้งฝ่ายสู่ขอและฝ่ายถูกสู่ขอต่างก็มีใจต่อกัน การตัดสินใจจริงเป็นไปอย่างดี ทุกฝ่ายตกลงปลงใจที่จะปลูกเรือนร่วมกันวันนี้แค่แลกหนังสือสินสอดเสร็จสิ้นก็หาวันดีจัดงานแต่งได้เลย ด้านหลิวซือนัวยามนี้นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้าไหมสีแดงเพื่อตัดชุดแต่งงานให้กับฉือฮั่ว สำหรับฉือฮั่วนั้นนางก็เห็นเป็นสหายมาเนิ่นนาน ซ้ำเมื่อพี่ฉือหนานแต่งเข้ามาจวนสกุลหลิวแล้