หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
ณ สุสานแห่งหนึ่ง ผ่านไปราวอาทิตย์หนึ่งที่คุณคิมหันต์ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วล่ะ ตอนบ่ายนี้ฉันตั้งใจว่าจะไปรับเขาที่โรงพยาบาลด้วย แต่เช้านี้ฉันมีธุระสำคัญต้องทำ ก็เลยแวะมาทำธุระซะก่อนน่ะ ธุระที่ว่า…คือการมาเยี่ยมพ่อในวันครบรอบวันตายของท่านที่สุสานนี่แหละ ตั้งแต่พ่อกับแม่เสียฉันก็จะมาเยี่ยมท่านทุกปี ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้วสินะ ไวจังเลยแฮะ ทุกครั้งที่มาเยี่ยมฉันจะเตรียมดอกลิลลี่ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่พ่อกับแม่ชอบมากที่สุดให้คนละช่อ วันนี้ก็เหมือนกัน เพราะหลุมฝังศพของท่านทั้งสองอยู่ใกล้กัน ถ้าฉันเตรียมให้ใครคนใดคนหนึ่งแค่ช่อเดียว อีกคนก็ต้องน้อยใจแย่เลยน่ะสิ โดยเฉพาะแม่ ถ้าฉันลืมช่อดอกไม้ของแม่ล่ะก็…แม่คงน้อยใจ งอนฉันไปถึงชาติหน้าแน่ๆ!! กึก!! ในขณะที่ฉันกำลังเดินตรงไปที่หลุมฝังศพของพ่อกันแม่ พร้อมกันช่อดอกลิลลี่ในมือสองช่อ ใกล้จะถึงอยู่แล้วเชียว แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคยของใครบางคนยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพของพ่อกับแม่ ฟึ่บ!! ชายตัวสูงแปลกหน้าก้มลงไปวางช่อดอกกุหลาบสีแดงลงตรงหน้าหลุมฝังศพของพ่อและแม่ของฉันคนละช่อ ช่อดอกกุหลาบสีแดงงั้นเหรอ? “ขอโทษที่ปีนี้ผมยังเสนอหน้ามาเยี่ยมอีกนะครับ” เสียงทุ้มที่คุ้นหูเอ่ยขึ้นต่อหน้าท่านทั้งสอง ฉัน…นึกออกแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา ตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไป ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ฉันมาเยี่ยมพ่อกับแม่ ฉันจะเจอกับช่อดอกกุหลาบสีแดงวางไว้หน้าหลุมฝังศพของพ่อกับแม่ไว้คนละช่อ ฉันสงสัยมาโดยตลอดว่าใครกันที่มาเยี่ยมพ่อกับแม่ของฉันในวันครบรอบวันตายทุกปี เพราะนอกจากฉันแล้ว พ่อกับแม่ก็ไม่มีญาติที่ไหนอีกเลย ในวันงานศพก็ไม่มีญาติสักคนมาเยี่ยมด้วยซ้ำ เพราะงั้นนอกจากฉันแล้ว…จะมีใครกันนะที่มาคอยเยี่ยมพ่อกับแม่ฉันทุกปี?! แต่ตอนนี้…ฉันว่าฉันรู้แล้วล่ะว่าเขาคนนั้นคือใคร? “คุณคิมหันต์?” ขวับ!! ร่างสูงของชายตรงหน้าค่อยหันกลับมาช้าๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากฉัน ใบหน้าที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่คุ้นหู ใช่จริงด้วย! เป็น…คุณคิมหันต์จริงๆด้วยสินะ “ใช่คุณจริงๆสินะ” “เกวลิน” สีหน้าของคุณคิมหันต์ดูไม่แปลกใจที่เห็นฉันเลยสักนิด ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าจะเห็นฉันมาที่นี่งั้นแหละ ต่างจากฉันที่มีคำถามสงสัยอยู่ในหัวเต็มไปหมด “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?” “ฉันอุตส่าห์มาตั้งแต่เช้าเพราะกลัวว่าจะเจอเธอซะก่อน แต่ก็ได้เจอกันจนได้นะเกว” คำพูดจากคนตัวสูงตรงหน้ายิ่งทำให้ฉันมั่นใจมากกว่าเดิม ว่าเขาคือเจ้าของช่อดอกกุหลาบปริศนาคนนั้นจริงๆไม่ผิดแน่ “คุณ…มาเยี่ยมพ่อกับแม่ฉันทุกปีเลยเหรอคะ?” “…” ความเงียบที่ได้จากคนตรงหน้าเป็นคำตอบของคำถามฉันได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ “ขอโทษด้วยนะถ้ามันทำให้เธอไม่พอใจ” คุณคิมหันต์เอ่ยคำขอโทษออกมาด้วยแววตาที่สั่นไหว และแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด ฟึ่บ!! ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขา แต่กลับเลือกเดินตรงไปยืนข้างๆคนตัวสูง ตรงหน้าหลุมฝังศพของพ่อกับแม่ ก่อนจะวางช่อดอกลิลลี่ที่เตรียมมาให้พวกท่านทั้งสองคนละช่อ “คนที่ไม่พอใจคงจะเป็นพ่อกับแม่ฉันมากกว่าค่ะ” “ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรมายืนอยู่ตรงหน้าพวกท่านด้วยซ้ำ” “แล้วทำไมถึงยังมาล่ะคะ?” คุณคิมหันต์ชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ฉันไม่ได้ถามเพราะไม่พอใจหรอก แต่ถามด้วยความสงสัยต่างหาก ฉันอยากรู้จริงๆว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงมาเยี่ยมพ่อกับแม่ฉันทุกปีได้ “ฉันรู้ว่าพวกท่านอาจจะไม่พอใจที่เห็นหน้าฉัน ฉันไม่ได้มาขอให้พวกท่านยกโทษให้ฉันกับพ่อหรอก แต่อย่างน้อยฉันอยากให้ท่านทั้งสองคน…ยกโทษให้กับแม่ของฉัน” “…” จู่ๆพอได้ยินคุณคิมหันต์เอ่ยถึงแม่ของเขา ความทรงจำเรื่องอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อนก็เด่นชัดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าสิ่งที่คุณคิมหันต์พูด มันหมายถึงอะไร “แม่น่ะ รู้สึกผิดกับท่านสองคนและเกวลินมากเลยล่ะครับ แต่ท่านกลับมาเสียซะก่อนที่จะได้เอ่ยคำขอโทษด้วยตัวเอง ผมเลยมาที่นี่ เพื่อขอโทษพวกท่านสองคนแทนแม่ และหากพวกท่านได้เจอกัน ผมก็หวังว่าทั้งสองคนจะใจดีกับแม่ของผมบ้างนะครับ” คำพูดทุกอย่างถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่อยู่ในคำพูดเหล่านั้นได้ดีเลยล่ะ ความรู้สึกผิดที่เขากำลังรู้สึกในตอนนี้ ฉันสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน “ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะพ่อแม่? ช่วยใจดีกับแม่ของคุณคิมหันต์ด้วยนะคะ ความรู้สึกผิดที่หนูเป็นต้นเหตุให้แม่ของคุณคิมหันต์ต้องเสียชีวิตจะได้น้อยลง” ขวับ!! สิ้นเสียงของฉันคุณคิมหันต์ถึงกับหันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าที่แปลกใจอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ “เธอรู้เรื่องนั้นได้ยังไง?” “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอกค่ะ” เหตุการณ์วันที่ฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสามปีก่อน อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่สูญเสียคนสำคัญไป แต่คุณคิมหันต์เอง…ก็ต้องสูญเสียแม่ไปเพราะช่วยฉันไว้อีกด้วย วันนั้น…ถ้าแม่ของคุณคิมหันต์ไม่เอารถของตัวเองมาขวางรถของฉันกับแม่ไว้ ป่านนี้คงจะมีป้ายชื่อหน้าสุสานของฉันตั้งอยู่ข้างๆพ่อกับแม่อีกป้ายแล้วล่ะ “มันไม่ใช่ความผิดของเธอเกวลิน” ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉัน แต่ความจริงที่ว่าแม่ของเขาต้องเสียชีวิตเพราะช่วยฉันไว้ก็ไม่อาจจะลบออกไปจากหัวฉันได้หรอก และฉันคงจะไม่มีแรงมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ถ้าเกิดว่าคุณคิมหันต์เป็นอะไรขึ้นมาจากอุบัติเหตุเมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะเขาเองก็ต้องเจ็บตัวเพราะช่วยฉันไว้เหมือนกับแม่ของเขา ฉันขอบคุณจริงๆที่เขารอดมาได้ ขอบคุณจริงๆที่เขายังยืนอยู่ข้างๆฉันมาถึงตอนนี้ได้ “ฉันรู้ค่ะว่าไม่ใช่ความผิดฉัน …คุณเองก็เหมือนนะคะคุณคิมหันต์” ฉันพูดพาลงหันไปส่งยิ้มให้คุณคิมหันต์อย่างอ่อนโยน “…” “มัน…ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยค่ะ และฉันก็เชื่อว่าพ่อกับแม่เองก็เข้าใจเหมือนฉัน พวกท่านน่ะ…คงจะยกโทษให้คุณกับแม่ได้ตั้งนานแล้วล่ะค่ะ …ฉันเองก็เหมือนกัน” ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเองเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้คุณคิมหันต์กำลังยิ้มอยู่ ไม่ใช่การยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจอย่างที่เคยเป็นมา แต่เป็นการยิ้มแบบที่เป็นมิตรที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก่อนเลยล่ะ “ขอบคุณนะครับที่ยกโทษให้ผม เธอก็เหมือนกันนะเกว ขอบคุณ…ที่ยกโทษให้ฉัน” คุณคิมหันต์หันไปพูดต่อหน้าพ่อกับแม่ฉัน ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฉันพลางส่งยิ้มมาให้ หมับ!! แต่จู่ๆคนตัวสูงก็ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างการยื่นมือมาจับมือฉันเอาไว้ต่อหน้าพ่อกันแม่ฉันซะงั้น “คุณคิมหันต์…” “ผมมีอีกเรื่องที่อยากจะขอท่านทั้งสองคนครับ” ยังไม่ทันที่ฉันจะร้องประท้วง คุณคิมหันต์ก็เอ่ยปากพูดต่อหน้าพ่อกับแม่ขึ้นมาซะก่อน นี่เขากำลังจะทำอะไรของเขาเนี่ย? “ลูกสาวของพ่อกับแม่ ผมขอนะครับ” “คุณคิมหันต์ 0[]0!!” ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินสิ่งที่คนตัวสูงโพล่งออกมา “ผมขอเป็นคนดูแลเกวลินแทนพ่อกับแม่เองนะครับ” ตึกตักๆๆ!! จู่ๆใจฉันก็เต้นรัวขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณคิมหันต์พูดออกมาหลังจากนั้น “พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผม…จะดูแลผู้หญิงที่ผมรักให้ดีที่สุดเลยล่ะครับ” ตึกตักๆๆๆ!! ใจฉันมันก็เต้นเร็วและรัวขึ้นมากกว่าเดิมราวกับจะระเบิดออกมให้ได้ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับจะเป็นไข้ยังไงยังงั้นเลย เขาเอ่ยออกมาอย่างเต็มปากว่าฉัน…คือคนรักของเขา แถมยังเอ่ยออกมาต่อหน้าพ่อกับแม่ฉันด้วย ตอนนี้ฉันรู้สึกดีใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของคุณคิมหันต์เอามากๆเลยล่ะ ฉันรู้ดีว่าฉันไม่คู่ควรกับคำว่ารักจากเขาเลย แต่ขอแค่ตอนนี้ก็พอใจ ขอให้ฉันได้ดื่มด่ำกับความดีใจนี้ให้เต็มที่ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้รับความรู้สึกนี้อีก “ขอบคุณนะคะ คุณคิมหันต์” ฉันพูดพลางส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนไม่แพ้กัน“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า