เวลาผันผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็สนิทสนมและปรับตัวเข้ากับคนที่นี่อย่างรวดเร็ว หญิงสาวได้เรียนรู้ว่าที่แท้การเป็นโจรก็มิใช่ว่าจะโหดร้ายเสมอไป ในยามที่พวกเขาออกปล้นส่วนใหญ่แล้วไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ ทว่าพวกเขาจะเลือกเฉพาะบรรดาคนรวยที่ได้เงินมาอย่างผิดศีลธรรม จากนั้นก็จะนำไปแจกจ่ายให้บรรดาคนไร้บ้าน คนที่ยากไร้
เพียงแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงสามารถทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ได้ อันที่จริง จิตวิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างเจ้าของร่างเดิมต่างหาก เพราะย่วนเผิงเฟยบอกว่าตอนเขาไปถึงก็เห็นนางนอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว ส่วนบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ หนีเตลิดหายกันไปหมด
“กำลังคิดอะไรหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนผินหน้าไปยังต้นเสียง ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใดริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้น “พี่ใหญ่ย่วน ข้าเพียงกำลังนึกบางอย่างเพลิน ๆ เท่านั้น”
เจ้าของร่างสูงหย่อนกายลงนั่งขนาบข้างคนตัวเล็ก เขามองมือที่กำลังวาดบางอย่างก็เลิกคิ้วฉงน
“นี่เจ้ากำลังทำอะไรหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนมองภาพวาดในมือ จากนั้นก็ปัดฝุ่นที่ปลิวเกาะกระดาษออก “พี่ใหญ่ย่วน อันนี้ข้าให้ท่าน ข้าจดรายละเอียดทั้งโครงสร้าง และวัสดุเอาไว้แล้วรับไปสิ”
ย่วนเผิงเฟยรับไว้ด้วยสีหน้างุนงง กระทั่งสังเกตดี ๆ นี่ก็คือแบบแปลนของการปลูกเรือน ทว่ารูปแบบมันออกจากประหลาด ทว่ากลับผสมผสานกับบรรยากาศของที่นี่ได้อย่างลงตัว
“นี่คือ…”
“นี่เป็นแปลนบ้าน ข้าออกแบบมานานแล้ว ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาสักพักก็รู้ว่าที่อาศัยของพวกท่านยังมีข้อบกพร่อง ยามหนาวก็หนาวขาดใจ พอคราวหน้าฝนก็ถูกสาดจนข้าวของเสียหาย ต้องเคลื่อนย้ายอยู่ตลอด ครั้นเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนก็ระอุเจียนบ้า ท่านว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”
ย่วนเผิงเฟยนิ่ง พริบตาก็ยิ้มออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไร เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนถอนหายใจพลางแหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า “อันที่จริงได้ตื่นขึ้นมาแล้วอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน “เจ้าไม่คิดถึงบ้านและคนที่บ้านหรือ หากเจ้าคิดถึงข้าจะไปส่ง”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ที่นี่ข้าไม่มีบ้าน หรือต่อให้เป็นที่ที่จากมาก็ยิ่งไม่ถือว่าเป็นบ้านเช่นเดียวกัน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ความจำเสื่อมจนจำสิ่งใดไม่ได้แล้วหรือ อันที่จริงข้ารู้มาว่าบิดาของเจ้าเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของแคว้นตงเฉิน แต่ที่พ่อของเจ้าร่ำรวยได้เพราะเรียกเก็บค่าเช่าเกินจริง ไม่เพียงเท่านั้นเขาเอ่อ…ยังทำธุรกิจสีเทา”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนแค่นยิ้ม นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาของตัวเองในโลกใบนี้เป็นใคร หากเป็นอย่างนั้นจริงฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ไม่อยากทำความรู้จักพวกเขาเสียแล้ว
“พี่ใหญ่ย่วน ในเมื่อข้าเรียกท่านพี่ใหญ่แล้ว เช่นนั้นเรามาสาบานเป็นพี่น้องกันดีหรือไม่”
ย่วนเผิงเฟยสำรวจองคาพยพอันงดงามของสตรีข้างกายด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่วันแรกที่ได้ทำความรู้จักกับนาง ภายในใจของเขามันก็รู้สึกคันยุบยิบอยู่ตลอด ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกว่าอกด้านซ้ายคันคะเยอมากขึ้นเพียงเพราะนางต้องการร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเขา
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่อยากร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับโจรเช่นข้า”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าค่ะ ในเมื่อครั้งแรกที่ตื่นขึ้นข้าพบท่านและสถานที่นี้เป็นแห่งแรก เช่นนั้นที่นี่จะเป็นบ้านของข้า”
ย่วนเผิงเฟยขบขัน “เจ้านี่มันสตรีประหลาด มีใครบ้างอยากอาศัยอยู่กับโจร”
“โจรเช่นพวกท่านข้าขอคารวะ ไว้มีโอกาสข้าจะขอลองตรวจสอบว่าที่พวกท่านอ้างปล้นคนรวยช่วยคนจนนั้นจริงหรือไม่ คงมิใช่ว่าปล้นส่งเดช”
“เอาสิ ตามใจเจ้า ก่อนที่ข้าจะลงมือ ย่อมต้องมีข้อมูลก่อนเท่านั้น เว้นเพียงลูกน้องของข้าผิดพลาด เช่นนั้นก็คงต้องหาวิธีไถ่บาปแล้ว”
ทั้งสองมองหน้ากันพลางหัวเราะคิกคัก ฟางเซี่ยนเซี่ยนล้วงบางอย่างออกมาจากสาบเสื้อ “ในเมื่อจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องจะขาดเจ้านี่ได้อย่างไร”
ย่วนเผิงเฟยอ้าปากหวอ “ที่แท้สุราดอกท้อเป็นเจ้าที่ลอบขโมยมาจากห้องข้าเองรึ”
“ฮ่า ฮ่า พี่ใหญ่ย่วน ท่านซ่อนของดีไม่แบ่งน้อง ๆ เลยงั้นหรือ”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เอามานี่” มือกว้างเอื้อมคว้าไปยังสุราในมือของฟางเซี่ยนเซี่ยน ทว่านางกลับเบี่ยงหลบเขาอย่างคล่องแคล่ว
ทำให้ใบหน้าคนทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นจนรู้สึกกระอักกระอ่วน มือเรียวเร่งผลักแผงอกของอีกฝ่ายเบา ๆ
ย่วนเผิงเฟยได้สติ “เอ่อ…เมื่อครู่…”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเร่งตัดบท “ท่านไม่ต้องพูด” กล่าวต่อว่า “เมื่อครู่อุบัติเหตุข้าเข้าใจ เช่นนั้นก่อนเราจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน ท่านไม่คิดเล่าประวัติของท่านให้ข้าฟังบ้างหรือ เหตุใดมีแค่ท่านที่รู้ตัวตนของข้า จากที่ข้าสังเกตหน้าตาอย่างท่านคงไม่ได้เติบโตเพื่อมาเป็นโจรตั้งแต่แรกใช่หรือไม่”
ย่วนเผิงเฟยก้มหน้า เขาหัวเราะขมขื่น “ไม่มีเรื่องใดปิดบังเจ้าได้จริง ๆ เอาล่ะข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นพี่น้องกับข้าถึงเพียงนั้น…”
ปึง ปึง ปึง
“มีคนบุกรุก! มีคนบุกรุก!”
บทสนทนาสิ้นสุดเพียงเท่านั้น ย่วนเผิงเฟยลุกพรวด ฟางเซี่ยนเซี่ยนผุดลุกตาม อีกฝ่ายตั้งท่าตรงไปยังที่เกิดเหตุ ฟางเซี่ยนเซี่ยนคว้ามือเขาไว้
“พี่ใหญ่ย่วน ให้ข้าไปด้วยคน”
ย่วนเผิงเฟยลดตามองมือที่จับแขนเขาเอาไว้ จากนั้นย้ายไปสบตาเว้าวอนของอีกฝ่าย “มันอันตรายเกินไป เจ้าเข้าไปหลบด้านใน”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนส่ายหน้า “ไม่ ในเมื่อข้าก็นับเป็นคนของที่นี่ กินข้าวหม้อเดียวกันแล้ว มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ข้าไม่มีทางทิ้งท่านและทุกคนเด็ดขาด”
ย่วนเผิงเฟยถอนหายใจ “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าหลบอยู่ข้างหลังข้าไว้เล่า”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยิ้ม “อือ”
ทันทีที่มาถึงลานกว้างหน้าค่ายก็พบว่ามีทหารจำนวนมากปิดล้อมเอาไว้จนไร้ช่องทางหลบหนี
“คนของทางการหรือ โจรอย่างพวกข้าทำอันใดผิด ไยจำต้องยกโขยงกันมาดั่งฝูงมด” ย่วนเผิงเฟยกัดฟันกรอด
“ขึ้นชื่อว่าโจรก็ผิดแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงทุ้มดังออกมาจากความมืดมิด
เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดินดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ บรรดาทหารต่างแยกออกเป็นสองฝั่งเพื่อเปิดทาง พริบตาก็ปรากฏร่างม้าศึกตัวสีขาวนวลสูงใหญ่ พร้อมบุรุษใบหน้าหล่อเหลาองอาจที่นั่งคุมบังเหียนด้านบน
ย่วนเผิงเฟยขมวดคิ้ว “ที่แท้ก็ราชครูผู้เลื่องชื่อ ซ่งเหวยซู”
บุรุษบนหลังม้าเหยียดยิ้ม เขาดึงกระบี่จากข้างเอวออกมา จากนั้นชี้ปลายแหลมคมไปเบื้องหน้า “เจ้าโจรบังอาจ ข้ามิเคยก้าวก่ายเรื่องปล้นสะดมคนชั่วช้าเพื่อจุนเจือคนยากไร้ ทว่าพวกเจ้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว”
“พวกข้าเหิมเกริมอย่างไร แล้วไปกระตุกหนวดท่านเมื่อใดไม่ทราบ”
“ยังคิดจะทำไขสืออีกรึ คืนเจ้าสาวของข้ามา” เสียงทุ้มเย็นเยียบประหนึ่งใบมีดสุดคมปลาบ
ย่วนเผิงเฟยแผ่นหลังชาวาบ เขาน่ะหรือไปลักพาตัวเจ้าสาวของราชครูซ่งมา นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
อยู่ ๆ แขนเสื้อของเขาก็กระตุกเบา ๆ คนที่หลบหลังโผล่หน้าออกมาพลันกระซิบ “นี่ท่านไปขโมยเจ้าสาวเขามาจริงหรือ”
“เจ้าจะบ้ารึ นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่”
ครั้นซ่งเหวยซูสังเกตเห็นว่าผู้ใดยืนข้างกายย่วนเผิงเฟย ชายหนุ่มก็ยิ่งบังเกิดโทสะ
“เซี่ยนเอ๋อร์!”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนฉงน แต่เดิมย่วนเผิงเฟยให้นางหลบหลังก็เลยเชื่อฟัง แต่เมื่อครู่ดูเหมือนฝั่งตรงข้ามจะหมายถึงนาง ร่างระหงสาวเท้าไปเบื้องหน้า พลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เมื่อครู่ท่านเรียกข้าหรือ”
บุรุษร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้ารวดเร็วประหนึ่งลมกรด ย่วนเผิงเฟยเห็นเช่นนั้นก็เร่งเข้ามาบังกายฟางเซี่ยนเซี่ยนเพื่อระวังภัยให้นาง
ซ่งเหวยซูหยุดฝีเท้าลง ศีรษะของเขาบังเกิดหมอกขาวเต็มไปหมดเมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมของคนทั้งสอง เหล่าทหารกล้าและกลุ่มโจรต่างมองตากันปริบ ๆ
“พี่ใหญ่ซ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร เขารู้จักข้าหรือ”
ย่วนเผิงเฟยก็ไม่แน่ใจ เพราะเดิมทีลูกน้องของเขาบอกว่าขบวนเจ้าสาวที่ปล้นเป็นลูกสาวของเศรษฐีสกุลจี้
หรือว่า…
เสียงทุ้มโพล่งอีกครั้ง ทำให้ย่วนเผิงเฟยหลุดจากภวังค์
“เซี่ยนเอ๋อร์ กลับไปกับพี่เดี๋ยวนี้!”
“ราชครู ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ นางคงไม่ใช่คนที่ท่านตามหา” ย่วนเผิงเฟยดึงแขนฟางเซี่ยนเซี่ยนให้ไปหลบด้านหลังซ่งเหวยซูย้ำอีกครั้ง “นางเป็นคู่หมั้นของข้า ในวันส่งตัวเจ้าสาวเป็นพวกเจ้าที่ดักปล้น หากไม่ยอมรับเช่นนั้นก็ต้องชดใช้”ฟางเซี่ยนเซี่ยนตาโต “พี่ใหญ่ย่วน คนผู้นี้หรือที่ท่านบอกว่าเป็นเจ้าบ่าวไม่ได้เรื่องของข้า มักมากในสตรีและเงินทอง หากเป็นเขาข้าไม่กลับ ข้าไม่รู้จักเขา”ย่วนเผิงเฟยกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ก่อนที่เยว่หานจะสาวเท้าเข้ามากระซิบข้างหูเขาอีกฝั่งด้วยสีหน้าซีดขาว“พี่ใหญ่ วันนั้นมีขบวนเจ้าสาวของสกุลจี้จริง ทว่าในวันเดียวกันก็มีขบวนเจ้าสาวของลูกสาวใต้เท้าฟางด้วยขอรับ ดูเหมือนว่าพวกเราจะปล้นผิดเสียแล้ว”ย่วนเผิงเฟยใจเต้นระรัวประหนึ่งฟ้าถล่มลงตรงหน้า ที่แท้นางก็มิใช่ลูกคุณหนูธรรมดา ทว่ากลับเป็นถึงบุตรีของใต้เท้าฟางขุนนางที่ถือครองตำแหน่งจงซูเสิ่ง [1] ย่วนเผิงเฟยค่อย ๆ เหลียวมองสตรีข้างกายที่ยืนตาใส ดูเหมือนว่านางเองก็ความจำเสื่อมแต่แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้นางไม่อยากกลับก็ต้องมีเหตุให้ทุกข์ใจแน่“ท่านราชครู แต่เดิ
เวลาผันผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็สนิทสนมและปรับตัวเข้ากับคนที่นี่อย่างรวดเร็ว หญิงสาวได้เรียนรู้ว่าที่แท้การเป็นโจรก็มิใช่ว่าจะโหดร้ายเสมอไป ในยามที่พวกเขาออกปล้นส่วนใหญ่แล้วไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ ทว่าพวกเขาจะเลือกเฉพาะบรรดาคนรวยที่ได้เงินมาอย่างผิดศีลธรรม จากนั้นก็จะนำไปแจกจ่ายให้บรรดาคนไร้บ้าน คนที่ยากไร้เพียงแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงสามารถทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ได้ อันที่จริง จิตวิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างเจ้าของร่างเดิมต่างหาก เพราะย่วนเผิงเฟยบอกว่าตอนเขาไปถึงก็เห็นนางนอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว ส่วนบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ หนีเตลิดหายกันไปหมด“กำลังคิดอะไรหรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนผินหน้าไปยังต้นเสียง ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใดริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้น “พี่ใหญ่ย่วน ข้าเพียงกำลังนึกบางอย่างเพลิน ๆ เท่านั้น”เจ้าของร่างสูงหย่อนกายลงนั่งขนาบข้างคนตัวเล็ก เขามองมือที่กำลังวาดบางอย่างก็เลิกคิ้วฉงน“นี่เจ้ากำลังทำอะไรหรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนมองภาพวาดในมือ จากนั้นก็ปัดฝุ่นที่ปลิวเกาะกระดาษออก “พี่ใหญ่ย่วน อันนี้ข้าให้ท่าน ข้าจดรายละเอี
กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารโชยเข้าแตะปลายจมูก เสียงจอกกระทบกันสรวลเสดังขึ้นเป็นระยะ“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าให้นางทำอาหารน่ะ แล้วถ้าหากนางวางยาพวกเราเล่าจะทำอย่างไร”ไพ่นกกระจอกตัวสุดท้ายถูกหงายแนบโต๊ะ “ข้าชนะแล้ว”“หา…พี่ใหญ่ชนะแล้ว ชนะอีกแล้วโธ่”บรรดาลูกน้องต่างร้องโอดครวญ ไม่ว่าทำอย่างไรพวกเขาก็พ่ายแพ้ต่อลูกพี่ใหญ่ของตนเองอยู่เรื่อยย่วนเผิงเฟยขบขัน เขาดึงกระดาษสามสี่แผ่นที่ยังเหลือแปะใบหน้าของผู้แพ้ทีละคน และไม่ลืมตอบคำถามที่ค้างคาไว้ “นางไม่มีทางทำแน่”“มาแล้วเจ้าค่ะ อาหารเลิศรส เชิญพวกท่านมาลองชิมดู”เหล่าชายฉกรรจ์หลากหลายรูปร่างต่างกรูเข้าห้อมล้อมจานอาหารที่วางเรียงกันบนโต๊ะนับสิบ สายตาของทุกคนเป็นประกายลุกวาว“อื้อฮือ…หอมมาก หอมจริง ๆ”“ข้าขอชิมดูหน่อย”เพียะ!มือหยาบกร้านไม่ทันคว้าเจ้าขาแพะชิ้นโตก็ต้องหดกลับทันควัน เมื่อถูกสหายข้างกายฟาดจนต้องหน้ายู่“ทำอะไรของเจ้า”“เจ้าไม่
ท้ายที่สุดฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ยินยอมสงบสติและคุยกับอีกฝ่ายอย่างสันติเสียที ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งตรงเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญ “แม่นาง เจ้ามานั่งนี่สิ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนยังคงลังเลพลางกวาดตามองโดยรอบ ที่แห่งนี้กลิ่นอายไม่คล้ายยุคสมัยที่จากมาเลยสักนิด อกซ้ายของฟางเซี่ยนเซี่ยนกระเพื่อมถี่ประหนึ่งสายน้ำเกิดระลอกคลื่นข้าวของทุกอย่างดูเก่าคร่ำคร่า ทั้งการแต่งกายของพวกเขาก็ล้าสมัยเฉกเช่นกำลังถ่ายทำซีรีส์ย้อนยุคเสียงทุ้มเอ่ยซ้ำ “เจ้าไม่วางใจหรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนสะดุ้งแผ่ว “เปล่า เพียงแต่ฉันมีข้อสงสัย”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “สงสัยงั้นหรือ เจ้าอยากถามเรื่องใดกันเล่า”“ที่นี่คือที่ไหนเหรอ”ชายหนุ่มอมยิ้ม มือหยาบกร้านยกกาน้ำชาขึ้นรินลงถ้วยดินเผา “ที่นี่เป็นรังโจร แล้วข้าจำเป็นต้องบอกที่ตั้งแก่เจ้าด้วยหรือ”นั่นสินะ เดี๋ยวลองคุยกับหมอนี่ดูแล้วกัน อย่างน้อย ๆ เขาก็เป็นประเภทโจรที่มีมโนธรรมอยู่บ้าง“มัวยืนอ้ำอึ้ง หากเจ้าไม่มาข้าจะลากเจ้ามานั่งเดี๋ยวนี้”“ฉันไป ฉันไป”ร่างระหงสาวเท้าไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่มทันควัน ฟางเซี่ยนเซี่ยนหย่อนกายลงนั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เลื่อนถ้วยชาส่งให้น
เสียงหัวเราะครึกครื้นกับบทสนทนาโหวกเหวกประหนึ่งใครตั้งวงเหล้าดังสนั่นจนชวนหงุดหงิด“อื้อ…หนวกหูจัง”“เอ๋…พี่ใหญ่ ๆ มาดูเร็ว เหมือนนางจะได้สติแล้วนะขอรับ” ชายฉกรรจ์ทั้งร่างบึกบึน ตัวสูง ตัวเตี้ย ต่างมารุมล้อมเมียงมองสตรีร่างระหงที่นอนสลบไสลไร้สติอยู่บนกองฟางด้วยความสนใจใคร่รู้เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับแผ่ว แพขนตาหนาระริกไหวดั่งผีเสื้อกระพือปีก อึดใจถัดมาก็แง้มเปิดแช่มช้า“ฟื้นแล้ว นางฟื้นแล้ว”ภาพตรงหน้าเลือนรางเป็นอย่างมาก ไม่นานก็เริ่มกระจ่างชัด หญิงสาวดีดกายผึงพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ริมฝีปากอ้าเผยอทว่าไร้เสียงบรรดาชายร่างใหญ่ร่างเล็กต่างถอยกรูดแตกกระเจิงเพราะตกใจต่อท่าทีประหลาดของนางนัยน์ตาดอกท้อเหลือบซ้ายแลขวาพลันถอยหลังกรูดไปนั่งกอดเข่าด้วยความหวาดกลัวโจรงั้นเหรอ แต่ชุดที่พวกเขาสวมเก่าไปหน่อยไหม ชุดโบราณ นี่ก็ชุดโบราณ คนนี้ก็ชุดโบราณฟางเซี่ยนเซี่ยนกลอกตาไปมาจนรู้สึกสับสน กระทั่งชายร่างแคระสูงไม่พ้นเข่าชายกำยำเอ่ย “ดูเหมือนนางคงตกใจจนเป็นใบ้”จู่ ๆ พวกเขาก็หัวเราะครืนด้วยความสนุกสนานฟางเซี่ยนเซี่ยนตั้งสติ “พวกแกเป็นใคร”ชายร่างสูงตอบ “คนสวยเจ้าจำไม่ได้งั้นหรือ ข้าก็เป็นเจ้าบ่าวของ
ถนนสายหลักในเมืองหลวงเต็มไปด้วยรถราคลาคล่ำ ร้านไก่ทอดรสเลิศตั้งอยู่ตรงทำเลทองเข้าพอดีจึงทำให้ลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย“ขอบพระคุณที่แวะมาอุดหนุนนะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่ค่ะ” เข็มนาฬิกายามค่ำคืนเดินไปหยุดที่เลขเก้าและเลขสิบสอง บ่งบอกว่าถึงเวลาปิดร้านแล้ว ทันทีที่ลูกค้าคนสุดท้ายก้าวเท้าพ้นธรณีประตู หญิงสาวก็รีบถลาเข้าพลิกป้ายหน้าร้านเป็นปิดทำการอย่างรวดเร็ว กริ้ง เสียงกระดิ่งแขวนหน้าประตูดังขึ้นตามแรงขยับ“แหม…เซี่ยนเซี่ยน พรุ่งนี้หยุดก็รีบเลยเชียว”ฟางเซี่ยนเซี่ยนปัดมือไปมาพลางฉีกยิ้มกว้างจนดวงตายิบหยีเป็นครึ่งจันทร์เสี้ยว “แน่นอนอยู่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุดยาวก่อนสิ้นปีนี่นา คอยดูเถอะจะกลับห้องไปอ่านนิยายให้ฉ่ำ”เผิงซินยวี่เพื่อนสาวต่างคณะส่ายศีรษะไปมาทว่าริมฝีปากกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “คนอื่นเขามีแต่อยากรีบกลับไปเค้าต์ดาวน์พร้อมแฟนหรือครอบครัว ก็มีแต่เธอนี่แหละที่อยากไปอ่านนิยายข้ามปี”ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะคิกคัก จากนั้นเดินไปเท้าคางหน้าเค้าน์เตอร์ที่เพื่อนสาวกำลังนับเงินปิดบัญชี “แน่นอนอยู่แล้ว เธอก็รู้ว่าครอบครัวเราเป็นยังไง อีกอย่างเราก็ไม่มีแฟน ไม่เหมือนใครบางคน”เผิง