“ราชครู ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ นางคงไม่ใช่คนที่ท่านตามหา” ย่วนเผิงเฟยดึงแขนฟางเซี่ยนเซี่ยนให้ไปหลบด้านหลัง
ซ่งเหวยซูย้ำอีกครั้ง “นางเป็นคู่หมั้นของข้า ในวันส่งตัวเจ้าสาวเป็นพวกเจ้าที่ดักปล้น หากไม่ยอมรับเช่นนั้นก็ต้องชดใช้”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนตาโต “พี่ใหญ่ย่วน คนผู้นี้หรือที่ท่านบอกว่าเป็นเจ้าบ่าวไม่ได้เรื่องของข้า มักมากในสตรีและเงินทอง หากเป็นเขาข้าไม่กลับ ข้าไม่รู้จักเขา”
ย่วนเผิงเฟยกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ก่อนที่เยว่หานจะสาวเท้าเข้ามากระซิบข้างหูเขาอีกฝั่งด้วยสีหน้าซีดขาว
“พี่ใหญ่ วันนั้นมีขบวนเจ้าสาวของสกุลจี้จริง ทว่าในวันเดียวกันก็มีขบวนเจ้าสาวของลูกสาวใต้เท้าฟางด้วยขอรับ ดูเหมือนว่าพวกเราจะปล้นผิดเสียแล้ว”
ย่วนเผิงเฟยใจเต้นระรัวประหนึ่งฟ้าถล่มลงตรงหน้า ที่แท้นางก็มิใช่ลูกคุณหนูธรรมดา ทว่ากลับเป็นถึงบุตรีของใต้เท้าฟางขุนนางที่ถือครองตำแหน่งจงซูเสิ่ง [1] ย่วนเผิงเฟยค่อย ๆ เหลียวมองสตรีข้างกายที่ยืนตาใส ดูเหมือนว่านางเองก็ความจำเสื่อม
แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้นางไม่อยากกลับก็ต้องมีเหตุให้ทุกข์ใจแน่
“ท่านราชครู แต่เดิมข้าไม่เคยคิดอยากบาดหมางกับท่าน เพราะข้ารู้ดีว่าท่านเป็นขุนนางเที่ยงตรง มีมโนธรรม แต่อาเซี่ยนตอนนี้เป็นคนของข้าแล้ว”
ซ่งเหวยซูได้ยินก็ควันออกหู “บังอาจ! เจ้าพูดอะไรออกมา”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนโพล่ง “ใช่ ข้าเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขาแล้ว ข้าไม่รู้จักท่าน ท่านกลับไปเสียเถิด”
ซ่งเหวยซูคล้ายถูกน้ำเย็นเยียบราดตั้งแต่ศีรษะลงสู่ปลายเท้า “เซี่ยนเอ๋อร์ เจ้ายังโกรธพี่อยู่อีกหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเบือนหน้าหนี ราชครูซ่งผู้นี้หล่อเหลาก็จริง แต่ท่าทีหยิ่งผยอง อีกอย่างฟางเซี่ยนเซี่ยนทะลุมิติมาจากโลกอีกด้าน ย่อมไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือโกหก
“ข้าไม่รู้จักท่าน ข้าไม่กลับ”
ซ่งเหวยซูเจ็บปวดดั่งถูกเข็มนับร้อยล้านเล่มทิ่มลงตรงกลางหัวใจ เดิมทีเขาและนางสนิทสนมกันมาตั้งแต่เยาว์วัยเพียงแต่ในตอนที่เขาอายุได้สิบสามปีก็ต้องบอกลาเพื่อไปศึกษาต่อยังต่างแคว้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ส่งจดหมายกลับมาหานางทุกอาทิตย์แม้ไม่เคยได้รับการตอบกลับจากเจ้าตัวเลยก็ตาม
ซ่งเหวยซูคิดเพียงว่าฟางเซี่ยนเซี่ยนโกรธเคืองที่ตนต้องจากมาอย่างกะทันหัน เมื่อเขากลับมารับตำแหน่งราชครูจึงเร่งไปสู่ขอนางให้ถูกต้องตามประเพณี ใครจะไปรู้ว่าระหว่างทางส่งตัวเจ้าสาวจะเกิดการดักปล้นขึ้น เรื่องนี้คงต้องโทษเขาที่ไม่อาจดูแลนางได้ดีพอ
ซ่งเหวยซูถอนหายใจ จากแววตาระริกไหวแดงก่ำก็แปรผันเป็นดุดันน่าเกรงขาม “พี่ไม่สนว่าเจ้าคิดเล่นอุบายใดจึงบอกว่าจำไม่ได้ แต่เจ้าไม่นึกถึงจิตใจท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าบ้างหรือ พวกท่านกำลังรอเจ้ากลับไปอย่างมีความหวัง พวกท่านรักเจ้ามาก”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสลดลง เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร พ่อแม่ในมิติแห่งนี้ไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของนาง อีกอย่างนางเองก็กำพร้ามาตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งตอนนี้ฟางเซี่ยนเซี่ยนตัดสินใจเป็นสมาชิกอีกคนของค่ายโจร สำหรับยุคสมัยนี้แล้วจะมีบ้านใดกล้าอ้าแขนรับลูกสาวกลับไปกันเล่า
ฟางเซี่ยนเซี่ยนดูซีรีส์อ่านนิยายจีนโบราณมานักต่อนัก หากนางกลับไปไม่ถูกเฉดหัวก็ต้องถูกดูแคลน ครั้นนึกถึงนิยายโซนสมองของฟางเซี่ยนเซี่ยนก็บังเกิดความผิดปกติ คล้ายดั่งมีตัวอักษรกำลังวิ่งสลับวนไปมาจนชวนเวียนศีรษะ
ซ่งเหวยซู ราชครูซ่ง ท่านพี่ซ่ง ใคร? เขาเป็นใคร ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสลัดศีรษะเพื่อขับไล่ความฟุ้งซ่าน ย่วนเผิงเฟยเห็นท่าทีประหลาดของนาง เขากล่าวด้วยความเป็นห่วง
“อาเซี่ยน เจ้าเป็นอะไรไป”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนช้อนตามองตอบ “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ทว่ายามนี้เสียงในโซนสมองกำลังตบตีกันจ้าละหวั่น
ท่านพี่ซ่ง ท่านพี่ซ่งช่วยข้าด้วย ท่านบอกจะปกป้องข้า แล้วท่านไปอยู่ที่ใด ท่านพี่ซ่งข้าไม่ไหวแล้ว…
ฟางเซี่ยนเซี่ยนรู้สึกว่าพื้นกำลังเอียงกระเท่เร่ ไม่รู้ว่าเสียงที่ดังก้องในหัวเป็นเสียงของใคร หากไตร่ตรองดี ๆ นี่มันคือเสียงของนางเองต่างหาก
“เซี่ยนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร” ซ่งเหวยซูตกใจ ร่างสูงขยับเท้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ทว่าก็ถูกเหล่าลูกน้องของย่วนเผิงเฟยยืนกั้นเอาไว้ดั่งกำแพงมนุษย์
“ถอยไป”
ทุกคนไม่ขยับพลางกระชับอาวุธในมือแน่น “พวกเราไม่มีทางให้พี่ใหญ่ฟางไปกับเจ้าแน่นอน นางก็บอกแล้วว่าไม่อยากกลับ”
ซ่งเหวยซูกัดฟันกรอด “เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี”
ซ่งเหวยซูพลิกกระบี่จนเนื้อเหล็กต้องกระทบแสงจันทร์ ลำแสงสีทองสาดประกายวิบวับด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
“จับกุม ใครต่อต้านสังหารให้สิ้น!”
ทหารได้ยินคำสั่งก็ดาหน้าเข้ามาไม่หวาดหวั่น ซ่งเหวยซูหวดกระบี่ไม่ยั้ง ผู้ใดขยับเข้าใกล้เขาก็ต้องเลือดอาบ บางคนทรุดตัวลงไปกองบนพื้นทั้งที่ยังไม่ได้แตะแม้เพียงปลายเส้นผมของเขา
เท้าสูงเยื้องย่างอย่างสุขุมประหนึ่งมัจจุราชจอมเหี้ยม ฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นพี่น้องนองโลหิตก็ตกใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเราเหรอ
ย่วนเผิงเฟยบีบมือเนียนนุ่มเบา ๆ “อาเซี่ยนไม่ต้องกลัว หากเขาคิดพาเจ้ากลับต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน”
กระบอกตาคู่งามร้อนรื้น กระนั้นเมื่อเหลียวมองอาวุธที่ต้องกระทบกันเสียงดังกึกก้องพร้อมกลิ่นโลหิตที่โชยมาตามสายลมฟางเซี่ยนเซี่ยนกลับบังเกิดความหวาดกลัว
นางกลัวว่าจะสูญเสียพวกเขาไปทั้งหมด คนที่เรียกฟางเซี่ยนเซี่ยนว่าพี่ใหญ่ค่อย ๆ ล้มลงดั่งใบไม้แห้งด้วยปลายกระบี่ของปีศาจ
ซ่งเหวยซูตีฝ่ากำแพงมนุษย์เข้ามาจนประชิดตัวคนทั้งสอง กระทั่งย่วนเผิงเฟยเข้าปะทะกับซ่งเหวยซูฟางเซี่ยนเซี่ยนจึงได้สติ ยามนี้ใบหน้าของราชครูซ่งกระจ่างชัดอย่างมาก จู่ ๆ ความทรงจำแปลก ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ฉัวะ!
แขนซ้ายของย่วนเผิงเฟยถูกเฉือนจนเลือดกระเซ็น นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตื่นตระหนก ก่อนที่กระบี่คมปลาบจะสะบั้นลงมาอีกครั้ง ร่างระหงก็ทะยานเข้าบังหน้าบุรุษร่างสูงเอาไว้
“อย่า ท่านพี่ซ่ง ท่านอย่าทำเขา ได้โปรดยั้งมือด้วย” ฟางเซี่ยนเซี่ยนกางมือออกพลันหลับตาแน่น
ซ่งเหวยซูมือสั่นระริก เขาลดกระบี่ลงแช่มช้า “เพราะเหตุใด เจ้าถูกเขาจับตัวมาจนเป็นเช่นนี้ ไยเจ้าจึงคิดปกป้องเขา”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนทนไม่ไหวแล้ว นางหวาดกลัวแทบบ้า เคยเห็นฉากบู๊แค่เพียงในซีรีส์ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาประสบพบเจอในชีวิตจริง หนำซ้ำยังมีความทรงจำแปลก ๆ ซ้อนทับขึ้นมา
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเหลียวมองย่วนเผิงเฟยที่กำลังยืนหอบหายใจถี่ระรัว “พี่ใหญ่ย่วน ท่านไหวหรือไม่”
แม้บาดแผลนั้นลึกมากย่วนเผิงเฟยก็ยังคลี่ยิ้มให้นาง “ข้าไม่เป็นไร แผลแมวข่วนเท่านั้น”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนพยักหน้า จากนั้นย้ายสายตามองจลาจลที่เกิดขึ้น หากนางไม่หยุดมัน จะต้องมีการสูญเสียมากไปกว่านี้แน่
“ท่านพี่ซ่ง ข้าจะกลับไปกับท่าน ได้โปรดหยุดทำร้ายพวกเขาได้หรือไม่”
ซ่งเหวยซูจ้องแววตาระริกไหวที่พร้อมจะร่ำไห้อย่างไม่เข้าใจ เขาหวาดกลัวว่าคนที่ตนรักจะปันใจให้โจรไปแล้ว
เสียงใสกล่าวอีกครั้ง “ท่านพี่ซ่ง ข้ายอมแล้ว อย่าทำร้ายพวกเขา ได้โปรดสั่งให้ทหารเหล่านั้นหยุดได้หรือไม่”
“อาเซี่ยน ไม่ต้อง! หากเขาอยากได้ตัวเจ้าก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน” ย่วนเผิงเฟยเอื้อมมือหมายคว้าแขนเล็กให้ไปหลบด้านหลัง ทว่ากลับช้ากว่าบุรุษฝั่งตรงข้ามไปครึ่งก้าว
แขนแกร่งคว้าร่างระหงเข้าไปสวมกอดแนบกาย ฟางเซี่ยนเซี่ยนตัวแข็งทื่อประหนึ่งดินปั้นไม้แกะสลัก
“หยุด!”
อาวุธที่ตีปะทะกันสงบลงแล้ว ฟางเซี่ยนเซี่ยนแหงนมองบุรุษข้างกายแช่มช้า เขาลดสายตามองตอบนางพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
ความทรงจำที่ผุดเข้ามาทำให้นางเกิดความสับสน ดูเหมือนว่านี่เป็นความทรงจำเจ้าของร่างเดิม แต่นางก็มีรูปร่างคล้ายกับฟางเซี่ยนเซี่ยนทุกกระเบียดนิ้ว หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเรียกนางว่าเซี่ยนเอ๋อร์
หรือว่านี่เป็นตัวเราในอีกมิติ
ยิ่งจ้องแววตาคมเข้มลึกเข้าไปหัวใจของนางก็ยิ่งสั่นคลอน ริมฝีปากสีกุหลาบขยับเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านพี่ซ่ง ไว้ชีวิตพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ”
ย่วนเผิงเฟยเห็นภาพคนทั้งสองที่ยืนแนบชิดก็รู้สึกปวดใจอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดกับนางแค่เพียงพี่น้องเสียแล้ว
“ได้ ข้าจะไว้ชีวิตพวกเขา แต่พวกเขาจะต้องถูกคุมตัวเข้าคุกหลวง”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกวาดสายตามองทุกคนที่ตกเป็นรอง หากไม่ยินยอมพวกเขาต้องตายแน่นอน ขึ้นชื่อว่าโจรก็ผิดอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟางเซี่ยนเซี่ยนพยักหน้า “อือ”
ย่วนเผิงเฟยเสียใจประหนึ่งฟ้าถล่มลงตรงหน้า ฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นความบอบช้ำในแววตาของเขา แม้พวกเขาถูกจับอย่างน้อย ๆ ก็ยังมีโอกาสรอด
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เปรียบดั่งพี่น้องของนางแล้ว ฟางเซี่ยนเซี่ยนจะต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกเขาให้จงได้
ไม่ทันเอ่ยปากกับย่วนเผิงเฟยอีกครั้ง เท้าของนางก็ลอยหวือไม่ติดพื้น กระทั่งหลุดจากภวังค์จึงรู้ว่าซ่งเหวยซูอุ้มนางขึ้นจนตัวลอย
“ทำอะไรเจ้าคะ”
“อย่าขยับ กลับไปเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เชิงอรรถ
^จงซูเสิ่งหรือเสนาบดีสำนักราชเลขานุการ(中書省)
“ราชครู ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ นางคงไม่ใช่คนที่ท่านตามหา” ย่วนเผิงเฟยดึงแขนฟางเซี่ยนเซี่ยนให้ไปหลบด้านหลังซ่งเหวยซูย้ำอีกครั้ง “นางเป็นคู่หมั้นของข้า ในวันส่งตัวเจ้าสาวเป็นพวกเจ้าที่ดักปล้น หากไม่ยอมรับเช่นนั้นก็ต้องชดใช้”ฟางเซี่ยนเซี่ยนตาโต “พี่ใหญ่ย่วน คนผู้นี้หรือที่ท่านบอกว่าเป็นเจ้าบ่าวไม่ได้เรื่องของข้า มักมากในสตรีและเงินทอง หากเป็นเขาข้าไม่กลับ ข้าไม่รู้จักเขา”ย่วนเผิงเฟยกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ก่อนที่เยว่หานจะสาวเท้าเข้ามากระซิบข้างหูเขาอีกฝั่งด้วยสีหน้าซีดขาว“พี่ใหญ่ วันนั้นมีขบวนเจ้าสาวของสกุลจี้จริง ทว่าในวันเดียวกันก็มีขบวนเจ้าสาวของลูกสาวใต้เท้าฟางด้วยขอรับ ดูเหมือนว่าพวกเราจะปล้นผิดเสียแล้ว”ย่วนเผิงเฟยใจเต้นระรัวประหนึ่งฟ้าถล่มลงตรงหน้า ที่แท้นางก็มิใช่ลูกคุณหนูธรรมดา ทว่ากลับเป็นถึงบุตรีของใต้เท้าฟางขุนนางที่ถือครองตำแหน่งจงซูเสิ่ง [1] ย่วนเผิงเฟยค่อย ๆ เหลียวมองสตรีข้างกายที่ยืนตาใส ดูเหมือนว่านางเองก็ความจำเสื่อมแต่แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้นางไม่อยากกลับก็ต้องมีเหตุให้ทุกข์ใจแน่“ท่านราชครู แต่เดิ
เวลาผันผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็สนิทสนมและปรับตัวเข้ากับคนที่นี่อย่างรวดเร็ว หญิงสาวได้เรียนรู้ว่าที่แท้การเป็นโจรก็มิใช่ว่าจะโหดร้ายเสมอไป ในยามที่พวกเขาออกปล้นส่วนใหญ่แล้วไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ ทว่าพวกเขาจะเลือกเฉพาะบรรดาคนรวยที่ได้เงินมาอย่างผิดศีลธรรม จากนั้นก็จะนำไปแจกจ่ายให้บรรดาคนไร้บ้าน คนที่ยากไร้เพียงแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงสามารถทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ได้ อันที่จริง จิตวิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างเจ้าของร่างเดิมต่างหาก เพราะย่วนเผิงเฟยบอกว่าตอนเขาไปถึงก็เห็นนางนอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว ส่วนบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ หนีเตลิดหายกันไปหมด“กำลังคิดอะไรหรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนผินหน้าไปยังต้นเสียง ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใดริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้น “พี่ใหญ่ย่วน ข้าเพียงกำลังนึกบางอย่างเพลิน ๆ เท่านั้น”เจ้าของร่างสูงหย่อนกายลงนั่งขนาบข้างคนตัวเล็ก เขามองมือที่กำลังวาดบางอย่างก็เลิกคิ้วฉงน“นี่เจ้ากำลังทำอะไรหรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนมองภาพวาดในมือ จากนั้นก็ปัดฝุ่นที่ปลิวเกาะกระดาษออก “พี่ใหญ่ย่วน อันนี้ข้าให้ท่าน ข้าจดรายละเอี
กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารโชยเข้าแตะปลายจมูก เสียงจอกกระทบกันสรวลเสดังขึ้นเป็นระยะ“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าให้นางทำอาหารน่ะ แล้วถ้าหากนางวางยาพวกเราเล่าจะทำอย่างไร”ไพ่นกกระจอกตัวสุดท้ายถูกหงายแนบโต๊ะ “ข้าชนะแล้ว”“หา…พี่ใหญ่ชนะแล้ว ชนะอีกแล้วโธ่”บรรดาลูกน้องต่างร้องโอดครวญ ไม่ว่าทำอย่างไรพวกเขาก็พ่ายแพ้ต่อลูกพี่ใหญ่ของตนเองอยู่เรื่อยย่วนเผิงเฟยขบขัน เขาดึงกระดาษสามสี่แผ่นที่ยังเหลือแปะใบหน้าของผู้แพ้ทีละคน และไม่ลืมตอบคำถามที่ค้างคาไว้ “นางไม่มีทางทำแน่”“มาแล้วเจ้าค่ะ อาหารเลิศรส เชิญพวกท่านมาลองชิมดู”เหล่าชายฉกรรจ์หลากหลายรูปร่างต่างกรูเข้าห้อมล้อมจานอาหารที่วางเรียงกันบนโต๊ะนับสิบ สายตาของทุกคนเป็นประกายลุกวาว“อื้อฮือ…หอมมาก หอมจริง ๆ”“ข้าขอชิมดูหน่อย”เพียะ!มือหยาบกร้านไม่ทันคว้าเจ้าขาแพะชิ้นโตก็ต้องหดกลับทันควัน เมื่อถูกสหายข้างกายฟาดจนต้องหน้ายู่“ทำอะไรของเจ้า”“เจ้าไม่
ท้ายที่สุดฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ยินยอมสงบสติและคุยกับอีกฝ่ายอย่างสันติเสียที ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งตรงเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญ “แม่นาง เจ้ามานั่งนี่สิ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนยังคงลังเลพลางกวาดตามองโดยรอบ ที่แห่งนี้กลิ่นอายไม่คล้ายยุคสมัยที่จากมาเลยสักนิด อกซ้ายของฟางเซี่ยนเซี่ยนกระเพื่อมถี่ประหนึ่งสายน้ำเกิดระลอกคลื่นข้าวของทุกอย่างดูเก่าคร่ำคร่า ทั้งการแต่งกายของพวกเขาก็ล้าสมัยเฉกเช่นกำลังถ่ายทำซีรีส์ย้อนยุคเสียงทุ้มเอ่ยซ้ำ “เจ้าไม่วางใจหรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนสะดุ้งแผ่ว “เปล่า เพียงแต่ฉันมีข้อสงสัย”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “สงสัยงั้นหรือ เจ้าอยากถามเรื่องใดกันเล่า”“ที่นี่คือที่ไหนเหรอ”ชายหนุ่มอมยิ้ม มือหยาบกร้านยกกาน้ำชาขึ้นรินลงถ้วยดินเผา “ที่นี่เป็นรังโจร แล้วข้าจำเป็นต้องบอกที่ตั้งแก่เจ้าด้วยหรือ”นั่นสินะ เดี๋ยวลองคุยกับหมอนี่ดูแล้วกัน อย่างน้อย ๆ เขาก็เป็นประเภทโจรที่มีมโนธรรมอยู่บ้าง“มัวยืนอ้ำอึ้ง หากเจ้าไม่มาข้าจะลากเจ้ามานั่งเดี๋ยวนี้”“ฉันไป ฉันไป”ร่างระหงสาวเท้าไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่มทันควัน ฟางเซี่ยนเซี่ยนหย่อนกายลงนั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เลื่อนถ้วยชาส่งให้น
เสียงหัวเราะครึกครื้นกับบทสนทนาโหวกเหวกประหนึ่งใครตั้งวงเหล้าดังสนั่นจนชวนหงุดหงิด“อื้อ…หนวกหูจัง”“เอ๋…พี่ใหญ่ ๆ มาดูเร็ว เหมือนนางจะได้สติแล้วนะขอรับ” ชายฉกรรจ์ทั้งร่างบึกบึน ตัวสูง ตัวเตี้ย ต่างมารุมล้อมเมียงมองสตรีร่างระหงที่นอนสลบไสลไร้สติอยู่บนกองฟางด้วยความสนใจใคร่รู้เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับแผ่ว แพขนตาหนาระริกไหวดั่งผีเสื้อกระพือปีก อึดใจถัดมาก็แง้มเปิดแช่มช้า“ฟื้นแล้ว นางฟื้นแล้ว”ภาพตรงหน้าเลือนรางเป็นอย่างมาก ไม่นานก็เริ่มกระจ่างชัด หญิงสาวดีดกายผึงพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ริมฝีปากอ้าเผยอทว่าไร้เสียงบรรดาชายร่างใหญ่ร่างเล็กต่างถอยกรูดแตกกระเจิงเพราะตกใจต่อท่าทีประหลาดของนางนัยน์ตาดอกท้อเหลือบซ้ายแลขวาพลันถอยหลังกรูดไปนั่งกอดเข่าด้วยความหวาดกลัวโจรงั้นเหรอ แต่ชุดที่พวกเขาสวมเก่าไปหน่อยไหม ชุดโบราณ นี่ก็ชุดโบราณ คนนี้ก็ชุดโบราณฟางเซี่ยนเซี่ยนกลอกตาไปมาจนรู้สึกสับสน กระทั่งชายร่างแคระสูงไม่พ้นเข่าชายกำยำเอ่ย “ดูเหมือนนางคงตกใจจนเป็นใบ้”จู่ ๆ พวกเขาก็หัวเราะครืนด้วยความสนุกสนานฟางเซี่ยนเซี่ยนตั้งสติ “พวกแกเป็นใคร”ชายร่างสูงตอบ “คนสวยเจ้าจำไม่ได้งั้นหรือ ข้าก็เป็นเจ้าบ่าวของ
ถนนสายหลักในเมืองหลวงเต็มไปด้วยรถราคลาคล่ำ ร้านไก่ทอดรสเลิศตั้งอยู่ตรงทำเลทองเข้าพอดีจึงทำให้ลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย“ขอบพระคุณที่แวะมาอุดหนุนนะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่ค่ะ” เข็มนาฬิกายามค่ำคืนเดินไปหยุดที่เลขเก้าและเลขสิบสอง บ่งบอกว่าถึงเวลาปิดร้านแล้ว ทันทีที่ลูกค้าคนสุดท้ายก้าวเท้าพ้นธรณีประตู หญิงสาวก็รีบถลาเข้าพลิกป้ายหน้าร้านเป็นปิดทำการอย่างรวดเร็ว กริ้ง เสียงกระดิ่งแขวนหน้าประตูดังขึ้นตามแรงขยับ“แหม…เซี่ยนเซี่ยน พรุ่งนี้หยุดก็รีบเลยเชียว”ฟางเซี่ยนเซี่ยนปัดมือไปมาพลางฉีกยิ้มกว้างจนดวงตายิบหยีเป็นครึ่งจันทร์เสี้ยว “แน่นอนอยู่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุดยาวก่อนสิ้นปีนี่นา คอยดูเถอะจะกลับห้องไปอ่านนิยายให้ฉ่ำ”เผิงซินยวี่เพื่อนสาวต่างคณะส่ายศีรษะไปมาทว่าริมฝีปากกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “คนอื่นเขามีแต่อยากรีบกลับไปเค้าต์ดาวน์พร้อมแฟนหรือครอบครัว ก็มีแต่เธอนี่แหละที่อยากไปอ่านนิยายข้ามปี”ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะคิกคัก จากนั้นเดินไปเท้าคางหน้าเค้าน์เตอร์ที่เพื่อนสาวกำลังนับเงินปิดบัญชี “แน่นอนอยู่แล้ว เธอก็รู้ว่าครอบครัวเราเป็นยังไง อีกอย่างเราก็ไม่มีแฟน ไม่เหมือนใครบางคน”เผิง