“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”
เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ
“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”
เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีก
เอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด
“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรง
เอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง
“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบ
จากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุ
เมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใคร
ในขณะที่แสงเทียนมองภาพนั้นจนรู้สึกปวดศีรษะ สายตาพร่าเลือน จึงใช้นิ้วกดตรงขมับเพื่อผ่อนคลาย
“เป็นอะไร” เอลิสหันมาถาม
“ไม่นี่... ว่าแต่คนเยอะขึ้นว่าไหม” เธอรีบถามกลบและเก็บอาการไว้ เพราะไม่อยากให้เพื่อนกังวลจนหมดสนุก
เมื่อเพื่อนเลิกสนใจ เธอก็สาดสายตามองคนอื่น ๆ ซึ่งภาพพวกนั้นก็ยังเป็นเช่นเดิม ทั้งที่รู้สึกมึนเบลอ หากแต่ภาพพวกนั้นทำเอาเลือดในกายของเธอสูบฉีดและรวมตัวกันอยู่บนใบหน้า สองมือกำอยู่บนหน้าขาของตัวเองแน่น ประหนึ่งระงับความคิดพลุกพล่านไว้
ปากจะเปื่อยกันไหมเนี่ย! แสงเทียนคิด พร้อมกับสะบัดศีรษะเพื่อผ่อนคลายความปวดตึงที่เริ่มมากขึ้น...
“เป็นอะไร” เอลิสหันมาถามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอก้มหน้าลงมาใกล้ จนต่างคนต่างได้กลิ่นฉุนของกันและกัน
“เทียนอยากกลับแล้วอะ”
หากแยกตัวกลับก่อน เธอคิดว่าไม่น่าเกลียดอะไรแล้ว เมื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็ทำตัวทำเหมือนคนรอบกายเป็นเพียงธาตุอากาศไปแล้ว
“งั้นเรากลับกัน...พวกแก ฉันกับแสงเทียนกลับก่อนนะ!” เอลิสเห็นด้วย จึงหันไปบอกเพื่อน ๆ โดยไม่เจาะจงว่าบอกกล่าวกับใครเป็นพิเศษ
แม้ไม่ได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนเห็นผิวได้ร่มผ้าอย่างเพื่อนสาวคนอื่น ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนตัวเล็กผิวขาวผมดกดำวาวมีสัดส่วนสะดุดตาไม่ว่าจะหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวและสะโพกผายซึ่งขับให้เอวดูคอดกิ่วลงไปอีก ซึ่งสัดส่วนและเครื่องหน้าโดยปากนิดจมูกหน่อย ทำให้ดึงดูดเพศตรงข้ามและเพศเดียวกันโดยที่แสงเทียนไม่รู้ตัว
“รีบเดินเถอะ” อาลิสก้มลงไปกระซิบบอก แล้วหิวปีกลากให้แสงเทียนรีบออกไปจากสถานที่นี้โดยเร็ว
คนตัวเล็กกว่าเดินสาวเท้าเกือบไม่ทันอีกทั้งร่างกายมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ทำให้เธอเดินไม่ถนัด จนทิ้งน้ำหนักไปที่อีกคน
“บ้าจริง!” เอลิสสบถออกมา เมื่อสังเกตเห็นชายฉกรรจ์สองคนตั้งแต่อยู่ในร้านมองมาทางแสงเทียงตาเป็นมัน หากตอนนี้เดินตามกันออกมา โดยระยะห่างไม่กี่ก้าว
“...?” คนเมาช้อนตาขึ้นมองสายตาเป็นคำถาม ซึ่งเอลิสเข้าใจความหมายของสายตานั้น
“เรารีบเดินไปให้ถึงรถเถอะ” เอลิสเปรยออกมาเบา ๆ
“รถก็อยู่ไม่ไกล อุ้มฉันไปเลยไหม”
เมื่อโดนหิ้วกึ่งลากจนเท้าไม่ถึงพื้นก็แกล้งพูดประชดเพื่อนออกไป หากเป็นเวลาอื่นเอลิสคงเล่นบทให้ไหลตามน้ำ หากเวลานี้ไม่มีเวลาโต้ตอบ
เมื่อความรีบร้อนไม่ได้หันไปมองหลัง จนกระทั่งชายร่างสูงใหญ่โผล่ออกมายืนขวางจนเต็มเส้นทางเดิน
เอลิสสะดุ้งโหย่ง แสงเทียงปรือตาเพ่งมอง
“ถึงรถแล้วเหรอ”
“ยะ ยัง”
“อ้าว แล้วหยุดทำไม...”
เอลิสไม่ตอบแต่สายตาจดจ่อไปข้างหน้า แสงเทียงมองตามและเห็นว่าตรงหน้าที่ห่างกันไม่กี่ก้าวมีชายรูปร่างสูงใหญ่สองคน ยืนมองมายังพวกเธอ ซึ่งสายตาของชายทั้งคู่นั้นดูไม่น่าไว้วางใจ
สติที่ขาด ๆ เกิน ๆ ก่อนหน้านั้นเริ่มกลับเข้าที่ “ใคร” เธอถาม เอลิสส่ายหน้าดิก แสงเทียนอ้าปากเหว่อแล้วพูดขึ้นด้วยความตื่นตกใจ“อ้าว ไม่รู้จักเหรอ...”
“ไม่รู้จัก แต่ตามมาจากด้านในแล้ว”
“แน่ใจ” แสงเทียนถามย้ำ เอลิสพยักหน้ายืนยัน
เมื่อได้คำตอบชัดเจนแสงเทียนจึงประคองตัวยืนตรงอกเชิดขึ้น ปรับสายตามองตรงไปยังสองหนุ่มร่างใหญ่ ซึ่งเธอดูแล้วว่าท่าทางและสายตาไม่น่าใช่ผู้หวังดี
“ขอโทษนะคะ พวกคุณต้องการอะไรคะ”
ตัวเล็กแต่ท่าทางไม่เกรงกลัว มุมปากหนาเหยียดยิ้มไม่มีคำตอบ มีเพียงสายตาที่มองสาวตรงหน้าอย่างจาบจ้วง
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ