สามเดือนต่อมา
สิ่งที่ธานินคาดคะเนไว้ก็เป็นจริง แต่กำไรที่หักต้นทุนและค่าใช่จ่ายต่าง ๆ เมื่อเอามาหารสองก็ได้กำไรน้อยกว่าครั้งก่อนอยู่มาก ซึ่งทำให้ปิยะรู้สึกผิดหวังในตัวเขา จากนั้นก็มีทีท่าห่างเหินไม่เข้าใกล้ เลี่ยงแม้กระทั่งวันที่ต้องเข้าประชุมร่วมกัน...
ธานินจากที่เป็นคนมั่นใจในตัวเองก็เริ่มหวั่นวิตกและละอายแก่ใจ จนคิดว่าตัวเองอาจสร้างปัญหาให้เพื่อนเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่าสายตาและคำพูดทับถมของคนรอบข้าง...
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาธานินเก็บความคิดน้อยเนื้อต่ำใจไว้เพียงลำพัง จนภรรยาที่เฝ้ามองอย่างผิดสังเกตจึงตัดสินใจถามขึ้น อีกทั้งข่าวที่ได้รับฟังมามีเค้าความจริง...
สี่ทุ่ม หลังจากที่มินตรายืนชะเง้อมองไปยังประตูทางเข้า จนในที่สุดก็เห็นรถเก๋งคันคุ้นตาขับเข้ามา เธอยืนมองจนสามีเดินลงมาจากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าบ้านเพื่อเตรียมน้ำดื่มเย็น ๆ รอรับอย่างเช่นทุกวัน
“ช่วงนี้งานเยอะหรือคะ”
“นิดหน่อย...” น้ำเสียงเหนื่อยเอ่ยตอบพร้อมกับพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดแรง ซึ่งพักหลัง ๆ เธอเห็นอาการเช่นนี้ของสามีบ่อยมากจนรู้สึกเป็นห่วงจับใจ
“เล่าให้ฟังได้ไหมคะ”จากที่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องงาน วันนี้ก็ทนเก็บความห่วงใยเอาไว้ไม่ไหว
ธานินยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วยิ้มกว้างให้ภรรยา “มันไม่มีอะไรหรอก...”
หากแววตาคือหน้าต่างของความรู้สึกมันปิดไม่มิด แม้คนพูดจะพยายามเก็บอาการทุกอย่างเอาไว้...
“นิดหน่อยจริง ๆ หรือคะ” เธอย้อนถามด้วยความเป็นห่วง เพราะสังเกตเห็นอาการของสามีมาเกือบเดือน มันเหมือนคนไม่มีความสุขกับงานแม้แต่น้อย
...หากเพียงวันสองวันเธอจะไม่ยุ่ง
“ไม่ใช่ว่างานมีปัญหาจนคุณแก้ไม่ตกหรือคะ...” เธอรับแก้วน้ำจากมือสามีและวางลง รอคอยคำตอบ “เล่าให้ฟังได้ไหมคะ” เธออยากช่วยแบ่งเบาสิ่งที่สามีแบกรับอยู่
ธานินพยักหน้ารับ เธอจึงขยับมานั่งใกล้ๆ และเรื่องทุกอย่างที่ถูกเก็บเงียบไว้ตลอดหลายเดือนก็ถูกระบายออกมาด้วยความผิดหวังและเสียใจ
มินตราที่ฟังเรื่องราวจากปากสามี หากเป็นเธอคงยากที่จะแก้ไข
‘คำพูดคือยาพิษที่ไร้กลิ่น มันลุกลามกัดกินก้อนเนื้อข้างซ้ายจนไร้ทางรักษา’
“แบบนี้ เรื่องที่คุณลินดาไปพูด ก็ไม่เป็นความจริงหรือคะ”
“ลินดาเขาไปพูดว่าไง”
ธานินที่มีอาการอิดโรยเพราะเครียดถามเสียงตื่น
“คือ...”
มินตราสองจิตสองใจ กลัวเรื่องนี้จะทำให้สามีคิดมากเพิ่มขึ้นอีกจึงลังเลที่จะพูด
“พูดมาเถอะ เพราะผมก็พอได้ยินมาบ้าง...”
“มินเข้าใจคุณนะคะ...” เธอบีบมือสามีเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ
“เขาว่ากันว่าไงเหรอ...”
มินตรามองหน้าสามี ใจเจ็บไม่ต่างกัน “ก็ประมาณว่า คุณโกงบริษัท”
สีหน้าอ่อนล้าสิ้นหวังมากกว่าเดิม “แล้วคุณเชื่อคำพูดพวกนั้นหรือเปล่า...” สายตาอิดโรยรอฟังจากปากภรรยา
“ไม่อยู่แล้วค่ะ มินยังโมโหคนพวกนั้น... เราแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทดีไหมคะ” เธออยากเอาคืนคนพวกนั้นแทนสามีให้สาสมใจ
อยากเล่ากันปากต่อปากกันอย่างสนุกสนานกันดีนัก... เธอคิดอย่างแค้นเคือง
“อย่าเลย... แต่ก็นะ เพราะผมทำพลาดจริง ๆ แต่ผมยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะสิ่งที่ยื่นไปเป็นตัวเลขที่ถูกต้อง แต่ของที่มีอยู่...” ประโยคหลังหายไปในลำคอ เพราะสิ่งของที่ปิยะเคยบอกว่ามีค้างอยู่เหลือพออีกหลายโครงการ แต่พอเอาเข้าจริงของพวกนั้นมีไม่ตรงกับตัวเลขที่บันทึกไว้
“ของอะไรหรือคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้เมื่อสามีพูดทิ้งค้างไว้
“ไม่มีอะไรหรอก... แค่คุณเข้าใจผมก็พอ”
“ค่ะ มินเชื่อคุณค่ะ” เธอยิ้มให้สามีพร้อมกับบีบมือที่กุมไว้อีกครั้งซ้ำ ๆ
“ลูกหลับแล้วเหรอ”
เมื่อรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้าง ธานินก็เปลี่ยนเรื่องถามถึงลูกสาวทั้งสอง
“ยัยธัญน่าจะทำการบ้านอยู่ ส่วนยัยทิพย์หลับไปก่อนที่คุณจะกลับมาไม่นาน... แล้วนี่คุณจะอาบน้ำก่อน หรือกินข้าวก่อนดีคะ”
“อาบน้ำก่อนดีกว่า”
“งั้นคุณก็ขึ้นไปอาบน้ำ เดี๋ยวมินจะอุ่นกับข้าวให้ใหม่นะคะ”
จากนั้นธานินก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านใน ในขณะที่มินตราเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่ออุ่นกับข้าวรอสามีกลับลงมากิน...
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ