Masukผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่
“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ
“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”
ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้ว
ขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ
“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”
“อืม”
ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!
แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ
“ชอบสุกี้เหรอ?”
น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ
“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”
“ทำไมไม่กินข้าว”
“...”
นอกจากจะไม่ตอบคำถามผมแล้ว ไต้ฝุ่นยังถามกลับอีก ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทว่ายังไม่ได้พูดอะไรต่อ ชายหัวดำตรงหน้าก็ช็อตฟีลผมอีกรอบ
“กินแต่ผัก ถึงได้ตัวเล็กแบบนี้ไง” ว่าจบก็มองผมขึ้นลงพลางส่ายหัว ก่อนจากไปยังยกมือมาขยี้หัวผมเบา ๆ ทีหนึ่ง
“ฮะ...” ผมมองตามหลังไต้ฝุ่นไป ปากอ้าค้างจนแมลงวันแทบจะเข้าไปวางไข่ได้
“หนูคิริน เอาเหมือนเดิมใช่มั้ยจ๊ะ”
“อ๊ะ ครับ เหมือนเดิมเลย”
ผมรีบหันไปตอบด้วยท่าทางลนลาน มือไม้พันกันวุ่น จะหยิบส้อมก็ดันไปหยิบช้อนมาสองคันแทน เอาน้ำปลาเทใส่ถ้วยน้ำจิ้มสุกี้มั่วซั่วไปหมด
แม่ง เมื่อกี้โดนด่าแท้ ๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกเขินเนี่ย
หลังจากซื้อข้าวเสร็จ เราสองคนก็เดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกัน เนื่องจากเพื่อนสองคนของเขานั่งกันคนละฝั่ง ผมเลยกะว่าจะแยกไปนั่งอีกด้านแต่ไต้ฝุ่นกลับรั้งแขนเอาไว้ก่อน
“ทัพ มึงไปนั่งกับเมษา”
“แหม!” ชายหนุ่มหน้าตาดีที่ชื่อทัพร้องออกมาเสียงสูงเมื่อโดนเพื่อนสนิทไล่ที่ แต่ก็ยอมลุกให้โดยดี “อะ ๆ คนมันอยากจะนั่งกับแฟนอะเนอะ”
“นั่งนี่” ไต้ฝุ่นพูดจบก็วางจานกับขวดน้ำในมือตัวเองลง ก่อนจะหันมาแย่งถ้วยผมไป แล้วฉุดแขนให้นั่งลงข้างตนเอง
นั่งลงเรียบร้อย สายตาสองคู่ฝั่งตรงข้ามก็เอาแต่จ้องมองมาอย่างสำรวจ ทำให้ผมต้องรีบจ้วงสุกี้ตรงหน้ารัว ๆ แม้ว่ามันจะร้อนจนลวกปากก็ตาม
“รีบกินไปไหน ไม่ร้อนหรือไง”
“หิว” ผมตอบสั้น ๆ กลืนคำที่อยู่ในปากลงคอไปแล้วพูดอีกประโยค “เมื่อเช้าไม่ได้กินข้าว”
“แล้วทำไมไม่กิน”
“ตื่นสาย”
ทั้งโต๊ะเงียบกริบ มีเพียงเสียงบทสนทนาของผมกับไต้ฝุ่น ราวกับพวกเรานั่งกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น
“นี่ พวกนายไปคบกันได้ไงน่ะ” เมษาพูดขึ้นมาลอย ๆ ทำให้ผมที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างเล็กเพรียวบาง ผิวขาวผ่อง ใบหน้าเรียวสวย ซึ่งต่างจากเพื่อนอีกสองคนที่ตัวสูงหนาอย่างกับเสาไฟ เวลาที่สามคนนี้เดินด้วยกันเหมือนบอดี้การ์ดกับคุณหนูเลยละ
“เอ่อ...”
ผมอ้ำอึ้ง สายตาล่อกแล่กไปมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ให้ตายเถอะ เรื่องนี้มันก็น่าอายอยู่นะ
“กูจีบเอง” น้ำเสียงเรียบนิ่งพูดขัดขึ้นมา มือหนายื่นทิชชูมาให้ผมซับคราบน้ำจิ้มที่กระเด็นเลอะปาก “คิรินมันพูดไม่เก่ง มึงไม่ต้องถามแล้ว”
ประโยคหลังทำให้ผมหันขวับไปมองไต้ฝุ่นจนคอแทบหัก ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้มองมาทางนี้เลย มือตักข้าวเข้าปากไม่หยุด
ไม่รู้ว่าไต้ฝุ่นรู้นิสัยผมหรือว่าเดาสุ่มกันแน่ แต่ถ้าเดา ก็ต้องบอกเลยว่าตรงเผง
“กูไม่อยากจะเชื่อสายตาจริง ๆ” ทัพพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ส่ายหน้าไปมาพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอไม่หยุด
“อะไรของมึง” ไต้ฝุ่นตอบกลับเสียงไร้อารมณ์ มือก็ยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ผมอีกครั้ง
“ก็ไม่คิดว่ามึงจะคบกับ…” ท้ายประโยคเสียงเบาลงไปเล็กน้อย ทัพเบนสายตามองผม “คิริน”
ผมฟังแล้วก็ได้แต่เอ๊ะในใจ ทำไมถึงชะงักไปก่อนที่จะพูดชื่อผมล่ะ คบกับผมแล้วมันทำไม? หา!
นี่ทัพต้องการหาเรื่องผมหรือเปล่า
“อืม” ไต้ฝุ่นตอบรับในลำคอ
นี่ก็อีกคน ‘อืม’ อะไร ช่วยพูดภาษามนุษย์ได้ไหม ฟังไม่รู้เรื่อง!
“เอ่อ เมษามองฉันทำไม นายมีอะไรหรือเปล่า”
หลังประโยคนี้หลุดออกไป ผมก็อยากจะตบปากตัวเองซะจริง ๆ ฟังยังไงมันก็หาเรื่องชัด ๆ โชคดีที่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้คิดมากอะไร
“โทษที ฉันแค่อยากสำรวจหน้าแฟนของไต้ฝุ่นน่ะ พวกเราสามคนคบกันมาตั้งแต่มอปลายแล้ว เพิ่งเคยเห็นมันพาแฟนมาเปิดตัวครั้งแรกนี่แหละ”
เมษาพูดจบก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ปากจะยิ้ม แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกผมว่า อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมา
ผมยิ้มบางมองพวกเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทันเห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของทัพ จากนั้นเขาก็สำลักไม่หยุด
“โง่ ไม่รู้จักระวังเลย” เมษาที่นั่งด้านข้างด่าออกมา มือหนึ่งยื่นขวดน้ำให้ อีกมือก็ลูบหลังเพื่อนเบา ๆ
“อาหารหมามันติดคอน่ะ” ทัพหัวเราะออกมาเป็นเชิงล้อเลียน
ส่วนเจ้าคนโปรยอาหารหมากลับนั่งทำหน้าขรึม ดูก็รู้ว่าไม่เข้าใจ แต่ผมที่เข้าใจศัพท์นี้ดี หน้าแดงแปร๊ดไปแล้วเรียบร้อย
จะไหวเหรอวะ มาวันแรกก็แซวหนักจนโต๊ะข้าง ๆ หันมามองไม่หยุดแบบนี้ ผมไม่ได้ต้องการให้คนนอกรู้ไปมากกว่านี้นะ!
ไม่ใช่อะไรหรอก
มันจะบอกเลิกยากน่ะ
กว่าพวกเรากินข้าวกันเสร็จก็เป็นเวลาเกือบบ่ายแล้ว ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ หันไปหาไต้ฝุ่น
“เดี๋ยวฉันไปแล้วนะ”
ไต้ฝุ่นไม่ตอบรับ แต่กลับรั้งแขนผมเอาไว้ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ย “เดี๋ยวไปส่ง”
“โอ๊ย! เบื่อว่ะ” ทัพพูดขึ้นมาเสียงดัง หันใบหน้าไปหาเมษา “เมษา ไปห้องเรียนกัน เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ส่งหน้ามึง” เมษาตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ก็เรียนด้วยกัน”
ไม่รอให้โดนล้อเลียนต่อ ผมรีบก้มหน้างุดแล้วเดินหนีออกมาทันที ถึงจะไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นหรือคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนจริง ๆ แต่แซวไม่เลิกแบบนี้ ใครไม่เขินผมให้ถีบเลย
วันนี้เป็นวันอังคาร ผมไม่มีวิชาที่เรียนตัวเดียวกับไต้ฝุ่น นั่นจึงทำให้พวกเราเรียนกันคนละห้อง แต่ก็ยังอยู่ตึกเดียวกันนั่นแหละ แค่คนละชั้นเท่านั้น
“ส่งตรงนี้ก็พอ”
ผมหันไปพูดกับไต้ฝุ่นเมื่อเราสองคนขึ้นมาถึงชั้นสามของอาคารแต่ยังคงอยู่กันที่บันได สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายสื่อเป็นเชิงไล่กลาย ๆ
“เดี๋ยวไปส่ง”
ประโยคเดิมถูกพูดออกมาอีกครั้ง ไม่รอให้ผมได้ค้านก็ออกตัวเดินนำไปทันที
ผมรู้ว่าเขาเข้าใจที่ผมสื่อ แต่ไต้ฝุ่นก็แสดงออกมาว่า ‘ถ้าไม่ทำตาม แล้วจะทำไม?’ หลังจากได้คุยกันมาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันโคตรมึน!
แถมยังกวนโอ๊ยสุด ๆ
สุดท้ายในเมื่อห้ามขาอีกฝ่ายไม่ได้ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจพลางสาวเท้าตามไป ขณะจะเงยหน้าถามว่าเดินนำนี่รู้ห้องเหรอ ไต้ฝุ่นก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่ผมต้องเรียนวันนี้พอดี
“...!”
มันรู้ได้ไงเนี่ย แค่วันเดียวก็สืบมาหมดแล้วเรอะ น่ากลัวโคตร
“ไม่ต้องบอกว่าจะไปส่งในห้องนะ” ผมรีบเบรกทันที ยื่นมือไปดึงแขนอีกฝ่ายให้เบี่ยงออกจากหน้าประตูห้องเรียนด้วยความระแวง
โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มีใครมา ไม่งั้นถ้ามีคนเห็นไต้ฝุ่นอยู่ตรงนี้ ผมได้อธิบายกันยาวแน่
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะเข้าไป” ไต้ฝุ่นพูดพลางขำในลำคอเล็กน้อยที่เห็นผมเสียอาการ มือหนายกขึ้นมาขยี้หัวผมเบา ๆ “ไปละ ตอนเย็นก็รอที่นี่ เดี๋ยวมาหา”
“มะ--”
หย่อนระเบิดทิ้งไว้แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งผมให้ยืนอ้าปากค้าง คำพูดติดอยู่ที่ปาก ใจสั่นระรัว ใบหน้าร้อนผ่าวอยู่หน้าห้องเรียน
การกระทำของเขามันธรรมชาติเกินไป ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันเลยแม้แต่น้อย โดนคนหล่อทรีตดีขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้ชายก็ต้องเขินปะวะ
แล้วก็เลิกยิ้มพร่ำเพรื่อได้แล้ว!
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน







