Masuk“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”
“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”
“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้
“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้าน
จัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่
“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”
“...”
จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดี
ทำไมต้องนึกถึงหมอนั่นด้วยเนี่ย!
“หือ?”
“อ๋า! ต้องรีบไปแล้วเดี๋ยวเพื่อนจะด่าเอา งั้นรินไปก่อนนะ”
ก่อนที่แม่จะได้ทันได้สังเกตเห็นอาการประหลาด ๆ นี้ ผมรีบพูดรัวเร็ว ไม่รออีกฝ่ายตอบก็วิ่งออกจากบ้านไปทันที
“แฮก”
เมื่อกี้ตอนที่แม่พูดเรื่องแฟน จู่ ๆ เหตุการณ์เมื่อคืนก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อราวกับฝันไป และเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้ละเมอไปเอง เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแชตอ่านอีกครั้ง
[ฉันชอบนาย]
[คบกันไหม]
[OK]
ข้อความยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสติกเกอร์โอเคนั่นที่ช่างทิ่มแทงสายตาเหลือเกิน บ่งบอกว่าผมไม่ได้คิดไปเอง และเป็นการตอกย้ำถึงสิ่งที่ผมทำลงไป
นี่สรุปผมกับหมอนั่นคบกันแล้วจริงดิ ถ้าคบกันก็หมายความว่าเป็น ฟะ แฟนดิ
“อ่า”
ผมครางออกมาเสียงอ่อนอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ดวงตาจ้องมองข้อความในแชตซ้ำ ๆ ราวกับคนละเมอ ริมฝีปากเม้มแน่น ท่าทางเหม่อลอย ในหัวมีแต่ข้อความที่พิมพ์ไป เสียงคุยโทรศัพท์เมื่อคืน และหน้าของไต้ฝุ่นที่เคยเห็นในคลาสวนเวียนราวกับคนเป็นโรคประสาท
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขึ้นรถมาถึงมหาวิทยาลัยตอนไหน กระทั่งมาถึงโรงอาหารนั่นแหละถึงได้สติขึ้นมา
ท่าจะเป็นเอามาก
“เอาไงดี ๆ ๆ ๆ”
ตอนนี้มาถึงโรงอาหารแล้ว แน่นอนว่ายอดชายนายคิรินย่อมเกิดอาการวิตกจริตขึ้นมาอีกแล้วนั่นเอง
ผมเดินวนไปเวียนมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ใจหนึ่งก็ตื่นเต้นราวกับนัดเจอคู่เดตในแอปที่ไม่รู้จัก อีกใจก็ไม่อยากมองหน้าหมอนั่นตรง ๆ เลย
ให้ตาย ทั้งที่ก็เรียนด้วยกันมาปีกว่าแล้ว ทำไมถึงได้มารู้สึกว่าไต้ฝุ่นมันเป็นคนแปลกหน้าเอาตอนนี้เนี่ย
“ทำอะไรอยู่” น้ำเสียงคุ้นหูที่เพิ่งได้ยินเมื่อคืนทำให้ผมตัวแข็งค้าง ใบหน้าเกร็งเล็กน้อย
ทำไมมันมาอยู่ตรงนี้!
“อ่า เอ่อ เพิ่งมาถึง” ผมหันหน้าไปทางไต้ฝุ่น ทว่าดวงตากลับมองเลยไปด้านหลังอีกฝ่ายแทน ขอร้องเถอะ ผมไม่กล้ามองจริง ๆ นะ!
ก่อนหน้านี้เราสองคนเป็นแค่คนคุ้นหน้ากัน มีมองกันผ่าน ๆ บ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานะของผมกับมันจะเปลี่ยนไป ทั้งผมยังมีชนักติดหลังอีกด้วย เลยทำให้ออกจะกระอักกระอ่วนไปบ้าง
“พอดีเลย ฉันก็เพิ่งมาถึง งั้นไปด้วยกันเถอะ” ไต้ฝุ่นพูดออกมาด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
ทำเอาผมที่เผลอเบนสายตาไปมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ถึงกับตะลึงก้าวขาแทบไม่ออก เดี๋ยวนะ...
ยิ้ม!
ไต้ฝุ่นคนนั้นเนี่ยนะ
ไอ้หมอนี่ถึงจะหล่อระเบิด มีแฟนคลับติดตามในโซเชียลหลักแสน แต่อย่างเดียวเลยที่เป็นเอกลักษณ์คือความเย็นชานี่แหละ เข้าแบบฉบับพระเอกเย็นชาในละครเปี๊ยบ
นี่ถ้าแฟนคลับได้มาเห็นภาพนี้คงกรี๊ดกันสลบแน่ ของระดับ ssr แบบนี้แต่คนแบบผมดันได้เห็นง่าย ๆ ซะงั้น นี่ถ้าเอาไปขาย...
“เป็นอะไร”
“ขอถ่ายรูปได้ปะ”
“...”
พอประโยคนี้หลุดออกจากปากไป ไต้ฝุ่นเงียบไม่ตอบคำพลางเอียงคอน้อย ๆ มองผมด้วยความสงสัย ทว่ากลับเป็นผมที่สะดุ้งโหยง เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอพูดในสิ่งที่คิดเสียได้
ว่าแต่…ขนาดเอียงคอก็ยังหล่อเลยอะ อิจฉา!
“อ่า เอ้อ เห็นว่านายยิ้มแล้วดูดี เผื่อเอาไปขายหาค่าขนม”
ผมพูดเป็นเรื่องตลก พลางหัวเราะกลบเกลื่อนไปด้วย ในเมื่อหลุดปากไปแล้วก็ไม่คิดที่จะปิดบังอะไร อย่างน้อยการพูดเล่นนี่ก็ช่วยให้ผมได้คลายความประหม่าลงไปได้บ้าง
“ถ้าชอบ งั้นฉันจะยิ้มให้นายบ่อย ๆ แต่ให้ถ่ายเก็บเอาไว้เองเท่านั้นนะ ห้ามเอาไปขาย”
ประโยคท้ายเน้นน้ำเสียงหนักอย่างกับกลัวว่าผมจะทำจริง ๆ พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าโรงอาหารไป ทิ้งผมที่ยืนยิ้มค้างเอาไว้แบบนั้น
“...”
ไหนว่าไอ้หมอนี่มันไม่เคยคบใครไงวะ นี่มันเสือผู้หญิงเลยไม่ใช่หรือไง ข่าวของพวกแฟนคลับนี่เชื่อถือไม่ได้แล้ว!
“มาสิ”
ก่อนที่ผมจะได้ยืนแข็งทื่อเป็นหุ่นสตัฟฟ์ไปนานกว่านี้ ชายหนุ่มขายาวสูงชะลูดพ่วงตำแหน่งแฟนหมาด ๆ ก็หันมาเอ่ยเร่งผม ทำท่าจะเดินย้อนกลับออกมา
“ไปแล้ว ๆ”
ผมตะโกนเสียงดังด้วยความลนลาน วิ่งไปยังจุดที่ไต้ฝุ่นยืนอยู่ พอเห็นผมมาแล้วอีกฝ่ายก็ออกเดินต่อ ส่วนผมนั้นแน่นอนว่าต้องเดินตามหลังอยู่แล้ว!
ใครจะไปกล้าเทียบรัศมีท่านล่ะครับ
“มาเดินนี่”
คราวนี้ไต้ฝุ่นหันมาดึงแขนผมให้เดินข้าง ๆ ตัวเอง ทั้งยังแอบถอนหายใจอีกด้วย
ถึงจะเบาแต่ได้ยินนะเว้ย ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยใจนะ!
“อือ”
ตอนนี้เป็นช่วงพักกลางวัน แน่นอนว่าประชากรนักศึกษาแทบจะล้นออกไปด้านนอกอยู่แล้ว ปกติไต้ฝุ่นก็เป็นหนุ่มฮอตประจำคณะ ทุกครั้งที่เขาไปไหนก็มักจะมีสายตาจับจ้องอยู่ตลอดเวลา พอผมมาเดินข้าง ๆ ด้วย สายตาพวกนั้นเลยเผื่อแผ่มาถึงผมเช่นกัน
เพื่อหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นพวกนั้น ผมก็เผลอขยับตัวเข้าไปชิดไต้ฝุ่นโดยไม่รู้ตัว กระทั่งแขนของพวกเราชนกัน ผมถึงได้สังเกตว่าตอนนี้เราสองคนอยู่ใกล้กันมาก
“ไม่ชอบที่มีคนมอง?”
“...เปล่า” ตอนแรกผมจะบอกว่าใช่ แต่คิด ๆ แล้วเราก็ไม่สามารถไปควบคุมให้ใครไม่มองได้ ถ้าผมยอมรับตรง ๆ อาจจะทำให้ไต้ฝุ่นหนักใจเอาก็ได้ “ก็แค่ไม่ชิน”
“อ้อ” เขาครางรับในลำคอเสียงเบา ก้มหน้ามองผมด้วยสายตาเจือรอยยิ้มที่ยากสังเกต “งั้นก็รีบชินซะนะ เพราะนายจะต้องโดนจ้องแบบนี้ตลอด”
“...” ขอบคุณนะ
เป็นอีกครั้งที่ผมแดกจุดกับผู้ชายคนนี้ ไอ้เรารึก็อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวมันคิดมาก ดูแล้วคนที่ต้องคิดมากมันก็มีแต่ผมนี่แหละ!
หลังจากโดนช็อตฟีลไปหลายรอบ ทั้งผมและไต้ฝุ่นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ผมที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเดินตามอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ กระทั่งมาถึงโต๊ะหนึ่งที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วสองคน
“ไอ้ฝุ่น กว่าจะเสด็จมานะมึง”
เสียงทักดังขึ้น ทำให้ผมที่เหม่ออยู่สติกลับเข้าร่าง หันไปมองก็เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันกับไต้ฝุ่นที่มักจะไปไหนมาด้วยกันตลอด
อ่า คิดว่าจะนัดกินข้าวกันสองคนซะอีก ผมไม่ได้เตรียมใจมาเจอเพื่อนเขาเลยนะ
ไม่ใช่ว่าผมอยากไปกินข้าวสองต่อสองกับไต้ฝุ่นหรอก แต่ผมแค่คุยกับคนแปลกหน้าไม่เก่ง ไม่รู้จะต้องเริ่มบทสนทนายังไงเนี่ยสิ กลัวพวกเขาว่าหยิ่ง
“แล้วนั่นใครน่ะ” ชายหนุ่มตัวเล็กที่สุดในกลุ่มของไต้ฝุ่นเอ่ยขึ้น สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยคำถาม
ยังไม่ทันที่ไต้ฝุ่นหรือผมจะได้ตอบ ชายหนุ่มอีกคนที่หน้าตาค่อนข้างดีพลันเอ่ยขึ้นมาก่อน “นี่...คิรินที่เรียนคลาสเดียวกันทุกวันศุกร์ใช่ไหม ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะ”
ผมเบิกตาเล็กน้อย หันไปมองหน้าเขาพลางยิ้มทักทาย ไม่คิดว่านอกจากไต้ฝุ่นก็ยังมีคนอื่นที่ยังจำผมได้ด้วย เพราะปกติผมนั่งแต่หลังห้องเท่านั้น
“แฟน” ไต้ฝุ่นตอบเสียงเรียบราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
“หา!”
สองเสียงประสานออกมาพร้อมเพรียงกัน ดวงตากวาดมองผมขึ้นลงไม่หยุด ราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เออ ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันนั่นแหละ
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน






![รรร...ก็แค่ตกกระไดพลอยโจน [mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
