Masuk“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”
เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”
“ก็ไม่นะ”
ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันที
ผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อย
ดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!
เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว
“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”
อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้ง
นักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้วน ๆ
ส่วนผมน่ะเหรอ แน่นอนว่าเนื้อหาไม่เข้าหัวตั้งแต่เริ่มคลาสนั่นแหละ ในสมองมีแต่ภาพหมอนั่นเต็มไปหมด จนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทำไมทุกการกระทำที่ไต้ฝุ่นแสดงออกมา ถึงดูไหลลื่นจนผมเผลอคล้อยตามก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเลย
ดูท่าสอบกลางภาคผมน่าจะเอฟวิชานี้แล้วละ...
หลังจากไอ้คนหล่อมันยืนขาแข็งรอผมอยู่ราวสิบนาที ในที่สุดอาจารย์ก็ปล่อยพวกเราเป็นอิสระ ทันใดนั้น ห้องเรียนก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
“ไต้ฝุ่นมาทำอะไรน่ะ”
“หรือเขามาหาใคร”
“อยากรู้จังว่ามาหาใคร”
“แก! ยิ่งมองก็ยิ่งหล่อ ลูกรักพระเจ้าจริง ๆ”
“ถ้าได้คบนะ จะกราบเช้ากราบเย็นเลย”
“ฝันเหรอยะ”
ผมนั่งเก็บของลงกระเป๋าด้วยความลีลาสุด ๆ หูก็แอบฟังเพื่อนร่วมคลาสพูดถึงหนุ่มหล่อหน้าห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ว่าแต่กราบเช้ากราบเย็นงั้นเหรอ?
บรื๋อ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคนางทาสสักหน่อย
มีคนที่ใจกล้าหน่อยเดินตรงเข้าไปทักทายไต้ฝุ่น ทว่าหมอนั่นราวกับรอผมลีลาไม่ไหว พอเห็นอาจารย์ประจำวิชาเดินออกไปแล้ว เลยเดินตรงเข้ามาหาผม เมินทุกสายตาและหญิงสาวที่ทักตัวเองไปเลย
จะว่าไปแล้ว...นิสัยแย่เหมือนกันนะเนี่ย อย่างน้อยหันไปตอบสักนิดก็ยังดี แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของผมที่จะไปสอนเขาอีกนั่นแหละ
“เสร็จหรือยัง”
“อืม”
ผมตอบสั้น ๆ คว้ากระเป๋าขึ้นมาทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก แต่ไอ้คุณไต้ฝุ่นมันสร้างเรื่องให้ผมอีกแล้ว ด้วยการแย่งกระเป๋าของผมไปถือเอง
ไอ้xx เอ๊ย
แค่เดินเข้ามาหาผม ผู้หญิงทั้งห้องก็แทบจะพุ่งเข้ามาจิกหัวอยู่แล้ว ตอนนี้มันยังมาทำแบบนี้อีก ต่อให้ใส่ตะกร้าล้างเจ็ดน้ำก็แก้ตัวไม่ขึ้น เพื่อนผู้ชายที่ไหนเขามาถือกระเป๋าให้กันฟระ
รับรองได้เลยว่าพรุ่งนี้ผมต้องโดนซักจนขาวยิ่งกว่ากระดาษแน่นอน
“ฉันถือเองได้”
ผมยื่นมือไปหมายจะคว้ากระเป๋าของตัวเองกลับคืน แต่ก็วืดเมื่อไต้ฝุ่นชักมือหลบ เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เมินทุกสายตาและสาวเท้าลงจากอาคารเรียนไป แน่นอนว่าผมที่โดนยึดกระเป๋าย่อมต้องตามไปอยู่แล้ว
ไต้ฝุ่นเดินนำมาที่ลานจอดรถของคณะบริหาร รถสีดำคันหรูที่ผมเพิ่งเห็นและจำได้ไม่ลืมก็จอดอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
มิน่า ถึงได้คุ้นรถคันนี้มาก ที่แท้ก็อยู่คณะเดียวกันนี่เอง อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นเจ้าของรถ!
ถ้าเจอไอ้เวรนั่น--
ติ๊ด
เสียงปลดล็อกรถดังขึ้น ไต้ฝุ่นเดินตรงไปยังรถคู่แค้นของผมหน้าตาเฉย มือหนาดึงประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พลางหันมาทางนี้
“มาขึ้นรถสิ เดี๋ยวไปส่ง”
“...”
ชิบ
ไอ้เวรนั่นก็คือนายเองงั้นเหรอ ไต้ฝุ่น!
ผมเม้มปากเล็กน้อย ก้าวขาขึ้นรถอีกฝ่ายด้วยความเซ็ง ถึงเมื่อกี้จะคิดว่าอย่าให้รู้ว่าเป็นรถของใคร แต่ผมไม่คิดว่าเจ้าของรถจะดันมาเป็นแฟนที่ได้มาจากการเล่นแผลง ๆ คนนี้
“เป็นอะไร”
เขาจะรู้มั้ยนะว่าขับรถเหยียบน้ำใส่คนอื่น
“เมื่อวาน” ผมลากเสียง ก่อนจะพูดประโยคถัดมา “นายได้ขับรถผ่านป้ายรถเมล์หน้ามหา’ลัยไหม”
ไต้ฝุ่นสตาร์ตรถ ผินใบหน้าเรียบเฉยมาทางผม “จะไปแล้ว คาดเข็มขัดด้วย หรือว่าต้องคาดให้?”
“ไม่ต้อง!” ผมแหวเสียงดัง หันไปคาดเข็มขัดนิรภัย พลางถามอีกรอบ “ตอบมาก่อน”
“ว่า?”
“นายได้ขับรถผ่านป้ายรถเมล์มหา’ลัยไหม เมื่อวาน ตอนเย็น!”
ท้ายเสียงผมลงน้ำหนักมากกว่าปกติ บ่งบอกอารมณ์ที่คุกรุ่นเล็กน้อย นี่เขาไม่ตั้งใจฟังที่ผมถามเลยหรือไง
ไต้ฝุ่นเหลือบสายตามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองถนนต่อ “ผ่าน”
“แล้วได้ขับรถเหยียบน้ำใส่คนตรงป้ายรถเมล์ไหม” ผมตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ
ไต้ฝุ่นเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมาด้วยท่าทางนิ่ง ๆ ตามนิสัยปกติ “...ไม่รู้สิ”
มองไม่ออกเลยว่าเขาพูดจริงหรือหลอกกันแน่
“เหรอ”
ผมหันออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยท่าทางเหม่อลอย ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่รู้ ผมก็ไม่มีเหตุผลให้ไปง้างปากเขาด้วยสิ
ช่างเถอะ แค่โดนน้ำสาด ไม่ได้มีส่วนไหนสึกหรอสักหน่อย
นั่งเหม่อมาประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ผมที่เพิ่งสังเกตทิวทัศน์รอบตัวก็สะดุ้งโหยงร้องออกมาเสียงดัง
“ที่ไหนเนี่ย!” ผมรีบหันไปมองคนขับหน้าหล่อทันทีอย่างต้องการคำตอบ
“ทำหน้าอย่างกับคนโดนลักพาตัว” ไต้ฝุ่นขำในลำคอเล็กน้อย
“ไม่เล่น”
“ก็พอขึ้นรถมานายก็หันหน้าคอพับไปทางนั้น ฉันก็นึกว่าหลับเพราะเรียนเหนื่อยน่ะสิ ใครจะไปกล้าปลุกล่ะ”
“...”
ประโยคนี้ดูจริงใจสุด ๆ จนผมพูดต่อไม่ออก ได้แต่โทษตัวเองที่เอาแต่เหม่อแบบนี้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เหม่อตอนอยู่กับไต้ฝุ่นน่ะ ถ้าไปเหม่อบนรถประจำทาง กว่าจะรู้ตัวคงถึงอู่รถไปแล้วมั้ง
“ขอโทษที” ผมพูดเสียงเบา
“บ้านอยู่ที่ไหนล่ะ”
จากนั้นผมก็บอกทางไปบ้านให้อีกฝ่าย น่าเหลือเชื่อจริง ๆ คิดว่าไต้ฝุ่นสืบข้อมูลของผมมาหมดแล้วเสียอีก อย่างน้อยก็ยังเว้นบ้านไว้สินะ เพราะถ้าหากหมอนี่รู้กระทั่งว่าบ้านผมอยู่ไหนด้วยละก็ แบบนั้นผมต้องระแวงเขาสุด ๆ แน่
ภายในรถเงียบกริบ แอร์เย็นฉ่ำเป่าเข้าหน้า จนผมเผลอหลับเข้าไปจริง ๆ มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ไต้ฝุ่นเขย่าแขนเบา ๆ
“ถึงแล้วนะ”
“อืม” ผมขยี้ตาเบา ๆ หันใบหน้าออกไปมองด้านนอกเห็นเป็นสวนสาธารณะใกล้บ้านตัวเองก็ถอนหายใจออกมา
ใช่แล้ว ผมบอกพิกัดแค่สวนสาธารณะนั่นแหละ ไม่ใช่ว่ารักความเป็นส่วนตัวหรือว่าระแวงอะไรไต้ฝุ่นหรอก ผมแค่ไม่อยากให้คนที่บ้านรู้เท่านั้น จะว่าไปแล้วก็เหมือนเด็กน้อยวัยใสแอบผู้ปกครองมีแฟนเลยแฮะ
ว่าไปนั่น ก็แค่อยากเลี่ยงคำถามของคุณมารดาเท่านั้นแหละ
“จากนี่เดินไกลไหม”
ไต้ฝุ่นถามออกมาเสียงเรียบ ผมไม่แน่ใจว่าหมอนี่แค่อยากรู้หรือว่าเป็นห่วงกันแน่ ก็นะ นิสัยของเขาดูออกยากเหลือเกิน
“ไม่ไกลหรอก เดินเข้าซอยข้างหน้าก็ถึงแล้ว”
“อืม งั้นเจอกันพรุ่งนี้”
ยะ ยังต้องเจออีกสินะ ผมยิ้มแหยเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเบา “ขอบคุณนะ”
ไต้ฝุ่นพยักหน้า มองมาทางนี้นิ่ง ริมฝีปากอมยิ้มส่งมาน้อย ๆ มือยื่นมาตรงหน้า ผมชะงักก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ ใบหน้าที่โดนแอร์เป่าจนเย็นเฉียบพลันร้อนผ่าวขึ้นมา มือจับกระเป๋าพุ่งตัวออกไป ปิดประตูดังปังแล้วหันหลังวิ่งออกมาทันที
ขณะวิ่งไป ในใจก็คิดว่าประตูจะพังไหม รถแพงซะด้วย...
แต่ให้ตายเหอะ! ทำไมเขาต้องมองแบบนั้นด้วยเนี่ย เรียนด้วยกันมาปีกว่า ปกติเห็นแต่หน้านิ่งเฉื่อยชาไม่สนใจใคร เจอแบบนี้เข้าผมก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนะ
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน



![What is a divorce? [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)



