เธอพบเขาในฝัน
-------------------
สองสาวตกใจเมื่อหญิงสาวอายุประมาณสามสิบวิ่งถลันออกมาจากห้องด้านในที่เป็นห้องพบแพทย์
“คุณ!...หมอยังไม่ทันตรวจ เป็นอะไร” หมอตามออกมาหน้าตาตกใจ
“ไม่ค่ะ...ฉันกลัว” หญิงสาวคนนี้วิ่งเข้ามากอดคนึงนิจแน่นไม่ยอมปล่อย แม้หมอจะให้ผู้ช่วยในคลินิกมาช่วยกันพูดก็ตาม
“คุณ...ไม่ต้องกลัวนะ” คนึงนิจเสียงเบากำลังจะเป็นลม ใจเต้นหวาดผวาไปด้วย
แล้วน้อยหน่าต้องรีบประคองเพื่อนสาวที่ถูกผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดกอดเอาไว้แน่น เธอตกใจเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้
“เฮ้ย...นิจ อย่าหลับเชียวนะ ฉันกลัวอ่ะ” น้อยหน่าตบหน้าคนึงนิจเบาๆ
น้อยหน่าเรียกหมอให้เข้ามาดูว่าเพื่อนของเธอเป็นอะไร
“ผมจะตรวจดูก่อน...ช่วยประคองเพื่อนคุณเข้าไปห้องตรวจข้างใน เร็วนะ” หมอเร่งให้ผู้ช่วยในคลินิกสองคนมาช่วยน้อยหน่า
“เพื่อนคุณเป็นลม ชีพจรเต้นเบา คงต้องฉีดกลูโคส” หมอจัดเตรียมยาฉีดให้เพื่อนสาว ส่วนผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ด ถูกผู้ช่วยในร้านพาเธอไปนอนพักที่ห้องตรวจอีกห้องเพื่อรอญาติมารับกลับ
“คุณหมอคะ ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดเธอเป็นอะไรคะ” น้อยหน่ายังสงสัย จึงถามขึ้น
“เธอประสาทหลอน ญาติพามาตรวจ แล้วออกไปทำธุระ ให้รอญาติมารับกลับไป” หมอพูดคร่าวๆ
“เธอทำไมถึงร้องขนาดนั้น” น้อยหน่าถามอีก
“เธอคงเห็นผมเป็นพวกหมอผีล่ะมั้ง” หมอพูดขำๆ
“เอ้า...แปลกจังเลย”
“ญาติบอกว่า ไปหาหมอดู กลับมาแล้วหลอนไม่หยุด”
“หรือคะ...ตายจริง พวกเราสองคนกำลังเป็นเหมือนกันเลยค่ะ” น้อยหน่าบอกหมอ หมอทำหน้าสงสัย
“ผมว่า...คุณอย่าเชื่อเรื่องพวกนี้เลย ทำให้วิตกกังวล”
“จริงนะคะ...”
น้อยหน่ายังคุยกับหมอไม่นานเท่าไหร่ คนึงนิจส่งเสียงโวยวายเหมือนละเมอ
“อย่านะ...อย่าเข้ามา ...อย่า...อย่า” เสียงเพื่อนของน้อยหน่าดังลั่นคลินิก ทำให้คนไข้ที่รออยู่ด้านนอกอีกสองคนตกใจ
น้อยหน่าใจสั่นไม่หาย ใจเต้นแรงจนเธอรู้สึกหอบ หมอต้องให้เธอเข้าห้องตรวจด้านใน หมอฉีดยาระงับประสาททั้งสองคน และให้ทั้งสองนอนพักจนถึงเวลาคลินิกปิด
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา น้อยหน่าตื่นขึ้นมาพบว่าเพื่อนเธอยังนอนสลบไม่ได้สติ หมอสั่งให้ผู้ช่วยโทรไปที่โรงพยาบาล ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดให้ส่งรถพยาบาลมารับเธอเข้าแอดมิตทันที
น้อยหน่าตามเพื่อนไปดูอาการที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง เธอไม่รู้จักญาติพี่น้องของคนึงนิจเลย ตัวเธอเองจำเป็นต้องรีบกลับไปดูอาการของลูกชายที่บ้านแม่ แต่เธอได้ให้หมายเลขโทรศัพท์กับโรงพยาบาลไว้ หากเพื่อนของเธอฟื้นมีสติขึ้นมาแล้ว
น้อยหน่าอาการดีกว่าคนึงนิจ แต่ความรู้สึกหลอนยังอยู่ในสมอง ภาพของลุงหมอดูที่เหมือนปีศาจยังจำติดตา เธอเล่าเรื่องราวให้แม่ฟังอย่างหวาดกลัว
“คราวหน้าจะไปทำอะไร ต้องคิดดูให้ดี อย่าไปเชื่อป้าสร้อยมากนัก ยัยนั่นมันบ้าหมอดู”
“แม่คะ...ป้าสร้อยแกทำไมว่า ลุงหมอดูนี่แม่นมาก”
“ฉันไม่เคยไปกับป้าแก...มันเชื่อของมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา”
“ลุงหมอดู...ไปมากลายร่างเป็นปีศาจ แล้วแก้ผ้าล่อนจ้อน ราวคนบ้า”
“นั่นล่ะ...คนไปดู ถูกมันข่มขืนจะทำยังไง พวกแกรอดมาได้นี่ บุญแล้วนะ” แม่พูดอย่างกังวล
“แล้วมันมีคาถาอาคมอะไร ใครจะไปรู้ เกิดมันเสกคาถามารใส่พวกแก สมัยก่อนเป็นบ้าเลยนะ” แม่ของน้อยหน่าเล่าจนน่ากลัว
“แล้วเพื่อนเราเป็นยังไงบ้าง”
“ลุงแกบอกว่า เพื่อนหนูมีเคราะห์หนัก”
“นั่น...มันจะเสกของใส่เพื่อนแกล่ะมั้ง”
“นี่เธอยังไม่ฟื้นเลย เป็นห่วงจัง ทำไงดี หนูไม่รู้จักบ้านเธอด้วย”
“แจ้งความที่โรงพักแถวบ้านเธอให้ช่วยตามหาญาติ” แม่ของน้อยหน่าบอกให้เธอรีบไปจัดการ
น้อยหน่าขึ้นประกาศออนไลน์และโทรไปแจ้งความไว้กับสน.แถวบ้านของคนึงนิจ ไม่นานมีคนเข้ามาทักเธอในแช็ต
“ผมเป็นญาติของคนึงนิจ มีอะไรครับ” ชายหนุ่มเข้ามาสอบถาม
“เธอแอดมิตที่โรงพยาบาล ยังไม่รู้สึกตัวค่ะ” น้อยหน่าตอบไป
น้อยหน่าส่งแผนที่ของโรงพยาบาลแถวบางบัวทองไปให้ ซึ่งน่าจะไม่ไกลจากบ้านของเพื่อนสาว เพราะเท่าที่เธอพอรู้ บ้านของคนึงนิจน่าจะอยู่แถวนั้น
สุธนตำแหน่งรองผู้กำกับสน. รีบสั่งลูกน้องให้เดินทางไปดูอาการของหญิงสาว เขายังไม่ว่างติดคดีสอบสวนผู้ต้องหาคดีสำคัญอยู่ แต่ก่อนที่จ่าแดงจะออกไปตามคำสั่ง เขาได้โทรไปที่โรงพยาบาลตามหมายเลขที่น้อยหน่าส่งมาให้ จึงได้รู้ว่าอาการของเธอยังไม่ดีขึ้น
เขาขับรถมาถึงโรงพยาบาลเกือบสองทุ่ม หลังจากจ่าแดงขอตัวกลับไปเข้าเวรที่สน. เขาเดินไปสอบถามอาการของหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ของชั้นที่เธอแอดมิต ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าห้องเดินตรงไปที่เตียง พบสายน้ำเกลือที่สอดมายังฝ่ามือของสาวน้อย
ขณะมองหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติอยู่บนเตียง สุธนหวนนึกถึงภาระที่ไม่เคยคาดคิดว่าสาวน้อยคนนี้จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของตนเอง มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ เมื่อต้นปีเขากำลังขับรถไปหาร้านอาหาร สาวน้อยคนนี้ขับมอเตอร์ไซด์ตกหลุมบนถนนแล้วพลาดมาชนรถของเขา ทำให้ต้องลงมาพูดคุยรอประกันมาเคลียร์ เขาเลยชวนเธอไปกินข้าวด้วยกัน จึงกลายเป็นที่มาของการตกไปอยู่ในภาระจำยอมเลี้ยงดูสาวน้อยคนนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจที่เธออยู่คนเดียวต้องช่วยเหลือน้องชาย พ่อแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เธออายุเพียงสิบห้า และต้องระหกระเหินไปอยู่ในครอบครัวของญาติพี่น้องของพ่อบ้างแม่บ้าง อดมื้อกินมื้อจนเติบโตมาได้ ถือว่าลำบากอย่างแสนสาหัส
ตอนที่ต่อรองกันเพื่ออุปถัมภ์เธอ สุธนรู้สึกว่าทำไมจึงกลายเป็นคนเลิศเลอสมเป็นแมนดีแท้
“ผมจะกลับมาอยู่บ้านแค่อาทิตย์ละสามวัน อังคารพุธพฤหัส หนูนิจมาอยู่เป็นแม่ครัวทำกับข้าวให้ผมกิน อยู่เป็นเพื่อนผมแค่นั้นพอใจไหม ยังไม่อยากบังคับ” เขามีข้อเสนอล่อใจดีมาก ไม่บังคับให้ยอมเป็นคู่นอน
“เอ่อ...ค่ะ หนูไม่ต้องนอนห้องเดียวกับคุณพ่อใช่ไหมคะ” เขายอมให้เธอเรียกเป็น
คุณพ่ออย่างจำยอม จริงๆ เขาไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น แต่ด้วยอายุของเขานั้นไล่เลี่ยเท่า
ป้าของเธอ
“แล้วแต่...ไม่อยากขึ้นเตียงให้ผมกอด...เอาเลย ไปเลือกเอาห้องไหนก็ไปจัดการ” จะว่าไปเขานี่ใจกว้างสุดๆ ไม่เอาเปรียบ ปล่อยให้เธอไปเลือกห้องว่างอีกสองห้อง ชั้นบนหนึ่งห้องและชั้นล่างอีกหนึ่งห้อง เธอขอเลือกเป็นห้องชั้นล่าง น่าจะสะดวกและปลอดภัยในความรู้สึก เพราะไม่อยากใช้ห้องน้ำข้างบนร่วมกับเขา
“เอ่อ...หนูต้องใช้หนี้ด้วยการอยู่แบบนี้ไปสักกี่เดือนคะ...”
“หักไป เดือนละสองพันบาท คิดไปที่เราเป็นหนี้อยู่มันเท่าไหร่”
“...เอ่อ...อ่า เกือบสี่ปีค่ะ” เขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวครุ่นคิดกับหนี้ค่าเล่าเรียนของน้องชายน่าจะเกือบประมาณเท่านี้
สุธนตัดสินใจนอนเฝ้าคนึงนิจคืนนั้น เขากลับไปเอาเสื้อผ้าจากบ้านมาเปลี่ยนและหลับบนโซฟาจนถึงรุ่งเช้าอีกวัน เขาเดินไปมองเธอบนเตียง เห็นยังไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงออกมาจากห้องและไปสั่งพยาบาลตรงเคาน์เตอร์ด้านนอกว่า ถ้าเธอมีอาการอะไรช่วยโทรแจ้งเขาด้วย
คนึงนิจมารู้สึกตัวเกือบค่ำของวันนั้น เธอหลับฝันไปอย่างกับอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ สุธนมาถึงเกือบสองทุ่มซื้ออาหารเบาๆ มาฝาก และสอบถามอาการ
“เป็นยังไงบ้าง...”
“หนูหลับไปนานเกือบสองวันเลยหรือคะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“ใช่...พยาบาลว่าอย่างนั้น”
“ทำไม...ถึงสลบไปล่ะ”
“หนูออกมาจากบ้านลุงหมอดู ไปเป็นลมที่คลินิก แล้วมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“เพื่อนเรา...ตามหาญาติ ผมไปเห็นบนออนไลน์” สุธนเล่าเรื่องราวให้เธอฟัง
น้อยหน่าได้ทำเรื่องลางานให้คนึงนิจ เธอสอบถามมาที่โรงพยาบาลตลอดอย่างเป็นกังวล
“วันพรุ่งนี้ เธอบอกว่าจะมาเยี่ยม” เขาเปิดข้อความในแช็ตที่คุยกับน้อยหน่า
“หมอบอกว่า เราประสาทหลอน” เขาบอกเธออย่างกังวล
“หนู...ฝันว่า ไปอยู่บ้านใครไม่รู้ มีสีสันแปลกมาก เหมือนบ้านในยุโรป” สุธนได้ยินเธอพึมพำ เขาหัวเราะทันที
“เคยไปยุโรปเหรอ ถึงได้ฝัน...” สีหน้าของเขาเริ่มกังวล
“ไม่เคยค่ะ...แต่นิจอยู่ที่นั่นจริงๆ นะคะ”
“ฝันล่ะสิ”
“จริงค่ะ” เธอไม่อยากเล่าว่า เธอได้พบหนุ่มยุโรปคนหนึ่งซึ่งพาเธอไปบ้านเพื่อแนะนำให้เธอรู้จักพ่อแม่
“เป็นไง...เล่าให้ฟังหน่อย” สุธนทำท่าเหมือนอยากรู้ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นเอาเบียร์กระป๋องที่แช่ออกมาเปิดดื่ม
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าคะ หนูกลัว” เสียงของเธอสั่นขึ้นมาทันที
สุธนนั่งดื่มเบียร์เงียบๆ เปิดอ่านข้อความต่างๆ ในกลุ่มไลน์ของที่ทำงาน แต่ละวันงานของเขามีแต่เรื่องคดีความ ซึ่งเครียดแย่พออยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากเอาเรื่องอะไรของหญิงสาวคนนี้มาหนักสมองอีก
รุ่งขึ้นเขาพาเธอกลับบ้านช่วงบ่ายหลังจากคุยกับหมอและรับยาแล้ว
“นิจ...หนูยังไม่ต้องไปทำงานนะ ลางานหรือพักร้อนไปได้ไหม”
“เหรอคะ...หนูต้องไปทำงานหรือคะ” เธอ งง กับคำถาม
“เอ้า...ก็เรามีงานทำนี่...ถ้าไม่ลา บริษัทก็ให้ออกนะ” เขาทำเสียงหงุดหงิดกับอาการของเธอ
สุธนตกใจทันทีที่คนึงนิจตอบเขา
“หนู...อยู่ยุโรปนะคะ...”
ด้วยศักดิ์ศรี...จะไม่ทำอะไรเด็ดขาดถ้าเธอไม่ยอมรับ------------------------หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้าน แม่สุภาเร่งให้สุธนพาคนึงนิจไปหาหลวงตาที่วัด แม่ของเขาไปด้วย แต่จะตามไปพร้อมป้าสำเนียงและทวี เธอรู้ว่าสุธนรู้จักหลวงตารูปนี้ดี เขาเคยมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ท่านเป็นผู้มีอาคมขมังเวทตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเคยไปฝึกสายกรรมฐานแถวอีสานอยู่นับสิบปี ก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเดิมแห่งนี้“กราบนมัสการหลวงตา...ครับ” สุธนเข้าไปนั่งกับพื้นพร้อมคนึงนิจก้มลงกราบท่าน ขณะท่านมองมาทั้งคู่อย่างยินดี“วันนี้...เราว่างหรือ” ท่านถามขึ้น“ไม่ว่างหรอกครับ แต่ผมต้องมาจัดการตามที่หลวงตาสั่งโยมแม่ไป”“เอ่อ...ไว้รอมากันให้ครบทุกคน หลวงตาจะเป่ามนต์เสกล้อมพวกเราไว้ทุกคน ไม่งั้นมันจะกลับมาเล่นงานทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับอิหนูคนนี้” ท่านกล่าวเตือน“โยม...ไม่นาน จะกลับมาหาหลวงตาอีก”“ทำไมหรือครับ...”“ไม่มีอะไร...จะกลับมา... หลวงตาต้องเรียก โยมผู้กำกับ” ท่านหัวเราะเสียงแห้ง“โอ...จริงหรือครับ”“ตอนนี้...มีใครเป็นใหญ่ในสน.ล่ะ”“ยังไม่มีคำสั่งลงมาครับ...ผมรักษาการแทน” สุธนตอบ“นั่นล่ะ...วิบากของโยมกำลังตามมา...ระวังด้วย อิหนูนี
เพราะสายลมนี้ทำให้ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง------------------------รุ่งขึ้นแม่สุภาพาคนึงนิจสาวน้อยที่นางคิดว่าเธอต้องถูกหมอดูเสกคาถาใส่ทำให้เธอกลายเป็นคนสติไม่อยู่กับตัว“กินข้าวแล้ว แม่จะพาเธอไปพบหลวงตาที่วัด” แม่ของสุธนพูดกับเขาเสียงเบา ไม่อยากให้สาวน้อยของเขาได้ยิน“ครับ...ฝากแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ” เขายังดูกังวลกับเธอ“แม่จะให้สำเนียงไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแม่ดูแล” แม่เขาดูกังวลเช่นกัน“ขอบคุณครับ วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน เสร็จงานจะรีบกลับมา อาจค้างที่นี่อีกคืนถ้าถึงดึก”แม่ไปเรียกป้าสำเนียงข้างบ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนคนึงนิจ ส่วนนางรีบโทรไปหามัคนายกที่ดูแลปรนนิบัติหลวงตา โชคดีที่วันนี้หลวงตาไม่มีกิจนิมนต์ เธอจึงรีบพาสาวน้อยออกจากบ้านให้หลานชายลูกป้าสำเนียงขับรถไปส่งหลวงตามองดูสาวน้อยที่เดินตามสุภาเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าท่าน ขณะเธอกำลังก้มลงกราบท่านจึงทักขึ้นทันที“โยม...พานางหนูนี่มาทำไม...”“อิฉันเห็นว่า อาการมันแปลกๆ คะ หลวงตา”“ลูกสาวโยมรึ” ท่านมีสีหน้ากังวล“ไม่ใช่ค่ะ...เป็นแฟนของลูกชาย”“จะอยู่ที่นี่นานไหม...ต้องทำพิธีถอนมนต์ดำ” ท่านบอกกับสุภา“ให้พ่อหนุ่มไปเอาไข่ไก่มา..
แผงอกอุ่นนี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน------------------------คนึงนิจสาวน้อยนอนกอดสุธนตั้งแต่เธอยังไม่หลับจนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า หนุ่มใหญ่เช่นเขาเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองสามวัน ไปทำงานก็ยังคิดถึงเป็นห่วงเธอ กังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม บางครั้งต้องให้จ่าแดงคนสนิทที่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าทุกคน โทรมาหาป้าสมใจคอยถามเรื่องอาหารการกินและอาการของเธอ เขาพยายามบอกให้ป้าสมใจหลอกล่อให้เธอกินยาตามที่หมอสั่งเช้าวันนี้เขารู้สึกไม่อยากไปทำงาน แต่อยากพาสาวน้อยคนนี้ไปเที่ยวนอกเมืองแถวบ้านเดิมของเขาก่อนเข้าตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี พาเธอไปพบแม่ของเขาที่อายุค่อนมากแล้ว ท่านอยู่กับหลานสาวอายุสิบเจ็ดปี“หนูนิจ วันนี้ไปเที่ยวกันนะ” เขาเอ่ยปากชวนระหว่างกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน“เหรอคะ...ที่ไหน” เธอแต่งตัวสวยเหมือนพร้อมออกบ้าน“ไปบ้านแม่ผม...ไม่ไกลจากนี่สักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ไปทานข้าวบ้านแม่ ท่านทำอาหารอร่อยนะ” เขาเอ่ยชวนเธอ“ดีจังค่ะ...”“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ชุดนี้สวยดีแล้ว” เขาบอกเธอ และหันไปสั่งป้าสมใจให้ขึ้นไปเอายาลงมา เขาจะเอาไปด้วย“หนูต้องทำอะไรบ้าง เวลาเจ
จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดี------------------------น้อยหน่าทำเรื่องลางานให้คนึงนิจส่งไปที่ฝ่ายบุคคล และคนที่ลงชื่ออนุมัติคือมาร์คุส ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เธออยู่ใต้สายงานโดยตรง มาร์คุสสงสัยว่าทำไมสาวน้อยที่มีภารกิจต้องดูแลประสานงานกับลูกค้าช่วยเขา ไม่มาทำงานวันที่สองแล้ว“ให้คุณชนากานต์ขึ้นมาพบผมตอนบ่ายสามโมง” เขาสั่งเลขาให้ตามน้อยหน่ามาพบเพื่อสอบถาม“คุณชนากานต์ลาช่วงบ่ายแล้วค่ะ บอส” เลขาตอบเขา“โทรหาเธอเลย”เลขาติดต่อน้อยหน่าได้แล้วโอนสายให้เขา...“คุณนิจเป็นอะไรไม่มาทำงาน ลาพักร้อน” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมีงานหลายอย่างที่ยังคั่งค้าง“เธอไม่สบายค่ะ บอส”“เป็นอะไร...มากหรือ” เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่ที่นี่เกือบห้าปี“บอสอยากไปเยี่ยมไหมคะ”“เธออยู่บ้านตรงไหน ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมจะให้คนขับรถไปดูพรุ่งนี้”รุ่งขึ้นสุธนฝากให้ป้าสมใจดูแลเรื่องอาหารการกิน เขาบอกให้สั่งจากร้านในหมู่บ้านมาส่งไม่ต้องทำกับข้าวให้ลำบาก เขามีภารกิจประชุมเรื่องคดีสำคัญทั้งวัน จึงไม่มีเวลาที่จะโทรสอบถาม แต่สั่งให้ป้าโทรกลับไปถ้าเธอมีอาการผิดปกติมาร์คุสนายใหญ่ของคนึงนิจให้คนขับรถไ
ทำหัวใจกระเจิง-------------------สุธนมองจ้องหน้าคนึงนิจสาวน้อยนัยน์ตาคมขนตาเป็นแพยาว ผิวสีน้ำผึ้งของเธอขับกับรูปใบหน้าเหลี่ยมจมูกมีสันเล็กน้อย แก้มแดงเรื่อๆ องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอได้รูปเป็นสาวยุคใหม่ที่สวยสะอาง แต่ตอนนี้สติของเธอไม่ได้เรื่องได้ราวไปเสียแล้ว เขาเกิดความกลัวจนไม่น่าเป็นไปได้ พื้นอารมณ์ที่นิ่งสุขุมของเขาจากอาชีพและอุปนิสัยแต่เดิมนั้น ทำให้เขาไม่เคยหวาดกลัวอะไรมาก่อนเท่านี้ หรือเป็นเพราะเขาเริ่มใกล้ชิดเธอในความสัมพันธ์เพียงแค่สามเดือนที่ผ่านมาเขาตัดสินใจเขียนข้อความไปในแช็ตถึงน้อยหน่าเพื่อนของเธอ“ผมอยากขอให้คุณช่วยลางานพักร้อนให้นิจได้ไหมครับ”“ค่ะ...จะลองถามฝ่ายบุคคลดูก่อนนะคะ”“พรุ่งนี้จะแจ้งคุณนะคะ”เขาต้องหาคนมาอยู่เฝ้าเธอ ท่าทางแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแล้ว เขาจึงโทรขอให้ป้าที่ทำความสะอาดในสำนักงานช่วยหาคนมาดูแลเธอด่วน“นิจ...ผมจะหาคนมาเฝ้าคุณนะ” เขาบอกเธอ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน สั่งงานทางออนไลน์“ไม่ต้องค่ะ คุณพ่อ นิจดูแลตัวเองได้ค่ะ” เธอยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร“ไม่ได้...ถ้าเป็นอะไรไป ผมแย่เลย”เขากลัวว่าเธอเกิดเพ้อเจ้อทำร้ายตนเองขึ้นมา เขาจะรู้สึกผิดและไม่แน่ว่
เธอพบเขาในฝัน-------------------สองสาวตกใจเมื่อหญิงสาวอายุประมาณสามสิบวิ่งถลันออกมาจากห้องด้านในที่เป็นห้องพบแพทย์“คุณ!...หมอยังไม่ทันตรวจ เป็นอะไร” หมอตามออกมาหน้าตาตกใจ“ไม่ค่ะ...ฉันกลัว” หญิงสาวคนนี้วิ่งเข้ามากอดคนึงนิจแน่นไม่ยอมปล่อย แม้หมอจะให้ผู้ช่วยในคลินิกมาช่วยกันพูดก็ตาม“คุณ...ไม่ต้องกลัวนะ” คนึงนิจเสียงเบากำลังจะเป็นลม ใจเต้นหวาดผวาไปด้วยแล้วน้อยหน่าต้องรีบประคองเพื่อนสาวที่ถูกผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดกอดเอาไว้แน่น เธอตกใจเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้“เฮ้ย...นิจ อย่าหลับเชียวนะ ฉันกลัวอ่ะ” น้อยหน่าตบหน้าคนึงนิจเบาๆน้อยหน่าเรียกหมอให้เข้ามาดูว่าเพื่อนของเธอเป็นอะไร“ผมจะตรวจดูก่อน...ช่วยประคองเพื่อนคุณเข้าไปห้องตรวจข้างใน เร็วนะ” หมอเร่งให้ผู้ช่วยในคลินิกสองคนมาช่วยน้อยหน่า“เพื่อนคุณเป็นลม ชีพจรเต้นเบา คงต้องฉีดกลูโคส” หมอจัดเตรียมยาฉีดให้เพื่อนสาว ส่วนผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ด ถูกผู้ช่วยในร้านพาเธอไปนอนพักที่ห้องตรวจอีกห้องเพื่อรอญาติมารับกลับ“คุณหมอคะ ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดเธอเป็นอะไรคะ” น้อยหน่ายังสงสัย จึงถามขึ้น“เธอประสาทหลอน ญาติพามาตรวจ แล้วออกไ
หลอน...มู...จนขาสั่น จิตกระเจิง--------------------------------“สะ...สะ เสียงดังกังวาน...ออกมาจาก หะ...หัวกะ...กะ...โหลกนั่น...” คนึงนิจหันไปกอดกับน้อยหน่าหลับตาปี๋ เสียงเบาตะกุกตะกัก“บอกแล้วไม่ต้องกลัว...พ่อปู่สื่อวิญญาณอยู่” ลุงหมอดูเดินเข้ามาจับหัวสาวทั้งสอง และตบหลังพวกเธอเบาๆเอาล่ะสิ...คนึงนิจสะดุ้งขาสั่น ขนใต้ผิวหนังตั้งชันเหมือนจับไข้ น้อยหน่าเหงื่อแตกด้วยความกลัว สองสาวยังกอดกันค่อยเขยิบก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ“ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด...เข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าพ่อปู่” ชายชราหมอดูเสียงเปลี่ยนเป็นห้าวก้อง หน้าตาจากที่เหี่ยวแห้งกลับดูเป็นหนุ่มมีพละกำลังเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิหลับตาลง สองสาวมองหน้ากันอยากวิ่งออกไปแต่ประตูห้องดันถูกปิดจากด้านนอก พวกเธอจำยอมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ก้มหน้าไม่ยอมมองตรงไปข้างหน้า กลัวพวกหัวกะโหลกแยกเขี้ยวอยู่เต็มห้อง มองไปทางไหนเหมือนกำลังจ้องมาที่พวกเธอ“วิธังเสติ ......” พ่อปู่ร่ายคาถายาวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และยกมือทำท่าเหมือนโปรยคาถาครอบคลุมไปทั่วห้อง“โอม...นะมะจิตตัง...ยะจับใจ ...พุทธะหลงใหล...” เสียงของผู้เฒ่าหน้าทารก ณ บัดนาวด
ปัดวิบาก...ตัดกรรม-----------------------สุธนเดินเข้าไปในห้องนอนของคนึงนิจ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นตุ๊กตาหล่นอยู่ที่พื้นหนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เขามอบให้เธอ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาและมองจ้องเปิดดูเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเดรสสีชมพู หน้าตาของตุ๊กตายิ้มสวยกว่าอีกตัวที่เธอเพิ่งเอามาด้วยซ้ำ เขาคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้ที่ส่งเสียงกรี๊ดจนเธอตกใจรีบทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งออกมากอดเขา“ไม่เห็นมีอะไรเลย...นิจ เข้ามาดูสิ ผมอุ้มขึ้นมากอดอยู่” เขากอดตุ๊กตาไว้ที่อกตะโกนออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ เลยเดินออกจากห้องเพื่อเอาไปให้ดูว่าไม่มีอะไร“ไม่ค่ะ...นิจ ขอคืนให้คุณพ่อนะคะ” สาวน้อยแทบไม่อยากมองมันเลย“หนูว่า...คงจริงอย่างที่พ่อปู่เตือน” คำพูดเธอทำให้สุธนสงสัย“มีอะไร...รึ”“ลุงหมอดูเตือนว่าหนูมีเคราะห์ และไม่ควรอยู่ที่บ้าน”“อย่างมงาย...”“แล้วตุ๊กตานี่ไปได้จากที่ไหนมาคะ...” เธออยากรู้“ผมไม่รู้ เพราะลูกน้องใน สน. มอบให้ผู้กำกับ แต่ท่านไม่เอา ดันมาวางไว้บนโต๊ะผม” เขามองหน้าสาวน้อยส่ายหัว“ไว้เข้า สน.พรุ่งนี้ผมจะถามพวกนั้นดู”“แล้วจะให้ผมเอาไปไว้ไหนดี...” เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่จะพยายามเอาใจเพื่อให้เธ
อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน--------------------------------ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทองทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว“ใครแนะนำ...”“ป้าฉันนะสิ...”ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”“ไม่ลองไม่รู้”และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน“อีหนูสองค