เพราะสายลมนี้ทำให้ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง
------------------------
รุ่งขึ้นแม่สุภาพาคนึงนิจสาวน้อยที่นางคิดว่าเธอต้องถูกหมอดูเสกคาถาใส่ทำให้เธอกลายเป็นคนสติไม่อยู่กับตัว
“กินข้าวแล้ว แม่จะพาเธอไปพบหลวงตาที่วัด” แม่ของสุธนพูดกับเขาเสียงเบา ไม่อยากให้สาวน้อยของเขาได้ยิน
“ครับ...ฝากแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ” เขายังดูกังวลกับเธอ
“แม่จะให้สำเนียงไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแม่ดูแล” แม่เขาดูกังวลเช่นกัน
“ขอบคุณครับ วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน เสร็จงานจะรีบกลับมา อาจค้างที่นี่อีกคืนถ้าถึงดึก”
แม่ไปเรียกป้าสำเนียงข้างบ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนคนึงนิจ ส่วนนางรีบโทรไปหามัคนายกที่ดูแลปรนนิบัติหลวงตา โชคดีที่วันนี้หลวงตาไม่มีกิจนิมนต์ เธอจึงรีบพาสาวน้อยออกจากบ้านให้หลานชายลูกป้าสำเนียงขับรถไปส่ง
หลวงตามองดูสาวน้อยที่เดินตามสุภาเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าท่าน ขณะเธอกำลังก้มลงกราบท่านจึงทักขึ้นทันที
“โยม...พานางหนูนี่มาทำไม...”
“อิฉันเห็นว่า อาการมันแปลกๆ คะ หลวงตา”
“ลูกสาวโยมรึ” ท่านมีสีหน้ากังวล
“ไม่ใช่ค่ะ...เป็นแฟนของลูกชาย”
“จะอยู่ที่นี่นานไหม...ต้องทำพิธีถอนมนต์ดำ” ท่านบอกกับสุภา
“ให้พ่อหนุ่มไปเอาไข่ไก่มา...จะดูว่าอิหนูถูกมนต์เข้าตรงไหน” ท่านหันไปบอกทวีหลานชาย
“ครับ...เดี๋ยวผมไปซื้อมา” เขารีบเดินลงจากกุฏิท่านทันที
ท่านหันกลับมาสอบถามสุภาเพื่อซักไซ้ไล่เลียง
“อิหนู...ไปทำอะไรมา หน้าตาเหมือนถูกมนต์สะกด”
“คือว่า เธอไปหาหมอดูอะไรสักอย่าง ลูกชายเล่าว่าได้ตุ๊กตามาหนึ่งตัว เธอกอดคุยกับตุ๊กตาตลอดเวลา ค่ะ”
“เอาตุ๊กตามาด้วยไหม...”
“อยู่ในรถ... เดี๋ยวหลานเอาไข่กลับมา จะเอามาให้หลวงตาตรวจดู” สุภาหันไปจ้องหน้าคนึงนิจ
“หนู...ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ หลวงตา” คนึงนิจแย้ง
“โยม...ชื่ออะไร”
“คนึงนิจ...ค่ะ” หลวงตาหันไปมองหน้าสุภา
“ใช่ค่ะ...เธอชื่อคนึงนิจ”
“จะดูว่า...เธอเป็นอะไร”
สักพักหลวงตาให้มัคนายกจ้อยไปหยิบตำราและเอาสมุดปากกาออกมาจากที่ห้องด้านใน ท่านสะกดชื่อตามที่สาวน้อยบอกและลงอักขระ บวกเลขไปบนชื่อของเธอ
“โยม...มีเคราะห์หนัก” หลวงตาเอ่ยขึ้น
“ยังไงคะ...” สุภา
“ถูกมนต์ดำจากชายแก่ร่างปีศาจ และยังมีเรื่องตามมาอีก”
“ต้องทำยังไงอีกคะ ถ้าถอนมนต์ดำ”
“เรื่องที่ตามมานั้นเป็นวิบากกรรม”
“จะแก้ได้ไหมคะ...” สุภาถามอย่างกังวล
“พรุ่งนี้ให้ลูกชายมาด้วยนะ จะทำพิธีให้ทั้งคู่”
“กลับไป...เอาสายสิญจน์นี้ไปล้อมห้องนอนเธอไว้ ตกกลางคืนถ้ากระวนกระวายอย่าให้ออกจากห้องเด็ดขาด”
ประมาณครึ่งชั่วโมงทวีกลับมาพร้อมไข่ทั้งหมดสามสิบฟองตามที่หลวงตาสั่ง และสุภาบอกให้เขาไปเอาตุ๊กตาที่อยู่ในรถขึ้นมา
“เอาตุ๊กตามาวางหน้า...หลวงตา”
“ทวี...เอาไปวางบนพานนั่น” สุภาสั่ง
“นี่เป็นตุ๊กตาผี...ที่หมอดูถอดจิตอิหนูคนนี้เอาไปใส่ไว้ เธอถึงมีสติล่องลอยไม่อยู่กับตัว บางทีเหมือนปกติ บางทีพูดไม่รู้เรื่อง” หลวงตานั่งบริกรรมคาถาแล้วหลับตา สักพักลุกขึ้นยืนกำลังจะเอาน้ำมนต์ที่อยู่ในขันมารด
“อย่านะคะ...เสื้อผ้าจะเปียก” คนึงนิจร้องห้าม
“อิหนู...อยู่เฉยๆ” หลวงตาร้องสั่งให้ทุกคนช่วยจับตัวเธอไว้ คนึงนิจกำลังจะตะครุบเอาตุ๊กตาคืน
คนึงนิจร้องโวยวายและดิ้นไม่ยอมให้ใครจับตัวเธอ หลวงตากำลังสาดน้ำมนต์มาที่ตัวเธออย่างแรง เป่าคาถาอาคมเสียงดัง จนเธอเริ่มอ่อนลงเปลือกตาเริ่มปิดและฟุบลงไปต่อหน้าหลวงตา
“โยมแม่...เอาม้วนด้ายสายสิญจน์กลับไปแล้วให้อิหนูอยู่ในห้องก่อน จึงเอาด้ายล้อมห้องไว้ และอย่าให้เธอออกมาเด็ดขาด”
“แล้วเธอจะต้องอาบน้ำกินข้าวยังไงคะ”
“กลับไปรีบให้เธอกินข้าวอาบน้ำเลย และขังเธออยู่แต่ในห้อง” หลวงตาบอก
“โยมแม่...พรุ่งนี้มาแต่เช้าก่อนฉันเพล หลวงตาจะทำพิธีให้ และหลังเพลต้องเข้าพิธีอาบน้ำมนต์สะเดาะห์เคราะห์ ลูกชายต้องมาด้วยนะ”
แม่สุภาพาคนึงนิจที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นกลับมาบ้านอย่างร้อนรน นางสั่งให้ทวีไปหาซื้อกุญแจเพื่อล็อกประตูด้านนอกห้องนอนสุธน และสั่งให้ป้าสำเนียงช่วยทำกับข้าว สุภาพาคนึงนิจขึ้นไปนอนข้างบน เปิดแอร์เพื่อให้อากาศถ่ายเท
“ป้าคะ...หนูเป็นอะไรคะ”
“เป็นลม...”
“หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะเนี่ย ที่นี่ที่ไหน” เธอพูดราวกับคนปกติ
“หนูมากับสุธน นี่บ้านแม่” แม่สุภาจ้องแววตาของเธอ ดวงตาคู่นี้ของสาวน้อยบ่งบอกว่าเธอเริ่มมีสติ
“หนูเป็นอะไรคะ...ทำไมไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“ไม่เป็นไร...ไว้พรุ่งนี้ ทุกอย่างจะปกติ” แม่สุภาตัดบท
“ห้องนอนใครค่ะ...ห้องนอนนี้ไม่ใช่ห้องหนูนะคะ” เธอกำลังจะเดินไปที่ประตู
“ห้องนอนสุธน...ลูกชายแม่”
“เหรอคะ...สุธนนี่ใช่คุณพ่อหรือเปล่าคะ” เธอถามทันที
“ใช่...ที่ผ่านมาหนูเรียกเขาว่า คุณพ่อ ถูกต้องไหม” แม่สุภาจ้องหน้าเธอ
“ค่ะ...เขาอุปถัมภ์หนูเองค่ะ ให้หนูอยู่เฝ้าบ้านและช่วยทำกับข้าวให้ด้วย” เธอเล่ารายละเอียด ซึ่งสุภาไม่รู้มาก่อนว่า สุธนเอาเธอมาเลี้ยงดู
“เอาล่ะ...คืนนี้นอนกับเขาในห้องนี้นะ...หนูนิจ”
“ไม่ได้ค่ะ...หนูไม่ได้เป็นอะไรกับคุณพ่อนะคะ” เธอแย้งเสียงดัง ไม่ยอมท่าเดียว จะเดินออกจากห้อง แม่สุภาจึงรั้งมือเธอไว้และชวนเธอลงไปกินข้าว
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวลงไปกินข้าวกินปลา แล้วหนูไปอาบน้ำนะ สุธนกลับมาค่อยว่ากัน” นางถอนหายใจ
สุธนกลับมาเกือบสี่ทุ่ม เขาเดินเข้าบ้านอย่างร้อนรนเป็นห่วงกลัวว่าคนึงนิจจะทำอะไรประหลาดที่วัด แม่สุภาบอกลูกชายว่าเธอน่าจะปกติดีแล้ว เธอโวยวายไม่ยอมนอนห้องเดียวกับเขาคืนนี้ แต่แม่ของเขาพยายามต่อรองกล่อมเธอจนตอนนี้เธอนอนอยู่บนเตียงพับที่ทวีหลานชายไปเอามาต่อวางอยู่ใกล้กับเตียงนอนใหญ่ของสุธน
เขามองหน้าประตูห้องนอนที่ถูกล็อกกุญแจ แม่สุภาเล่ารายละเอียดให้เขาช่วยดูแลเธอให้ดี เพราะอาจมีอะไรเกิดขึ้นกลางดึก ครั้นสุธนอาบน้ำเสร็จแล้วเดินเข้าห้องไป แม่สุภาจึงเอากุญแจล็อกประตูด้านนอกไว้ สั่งห้ามไม่ให้ออกจากห้องจนถึงเช้า
ตกดึกเกือบตีหนึ่งสุธนได้ยินเสียงประหลาดแหลมดังวนเวียนที่หน้าต่างห้องนอน เสียงหวีดหวิวเบาๆ และสายลมพัดกระทบหน้าต่างดังตึงตัง เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงมองไปที่สาวน้อยกำลังหลับตาอยู่บนเตียงพับข้างๆ อย่างหวั่นใจ ไม่รู้ว่าเธอจะมีอาการอะไรแปลกๆ อีกหรือไม่ ทันใดนั้นเองเธอผวาลุกขึ้นทันทีกระโดดลงจากเตียงยืนจ้องมาที่เขา
“คุณพ่อ...จะทำอะไรหนู” เธอถามเสียงดัง
“เปล่า...ผมนอนอยู่ เห็นหนูกระโดดลงจากเตียงนั้น ผมตกใจตื่น” เขาพูดไม่ตรงความจริง เขาลุกนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เหรอคะ...ขอโทษคะ”
“นิจ...หนูต้องเข้าใจว่าเรามาที่นี่ ทุกคนมองว่าหนูเป็นเมียผม”
“ไม่ใช่ค่ะ...เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ” เธอยังปฏิเสธเสียงแข็ง
เสียงดังหวีดหวิวยังครางเบาๆ อยู่ด้านนอกและสายลมยังพัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้หน้าต่างไม้เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
“เสียงอะไรคะ...น่ากลัวจัง” เธอร้องอย่างตกใจ และรีบกระโดดขึ้นเตียงเข้าไปกอดสุธนทันที
“ไม่ต้องกลัว...ผมอยู่นี่”
“ทำไม...ลมถึงพัดแรงจังคะ” เสียงลมด้านนอกพัดตลอดเวลา
“ทำไม...น่ากลัวขนาดนี้” เธอหลับตากอดสุธนแน่น เขามองเธอขำๆ
“เป็นไง...หายดีแล้ว ใช่ไหม” เขากอดเธอตบหลังเบาๆ
“หนูเป็นอะไรเหรอคะ...ไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่ค่ะ” เสียงเธอขึงขัง
“พรุ่งนี้เราต้องไปที่วัดให้หลวงตาทำพิธี” เขาบอกเธอคร่าวๆ
“ทำไม...” เธอยังสงสัย
“พรุ่งนี้จะรู้ว่าเป็นอะไร” เขากอดเธอและก้มลงหอมแก้มเบาๆ ครั้งนี้สาวน้อยไม่ดื้อเหมือนที่ผ่านมายอมให้เขาหอมแก้ม
เขาสั่งให้เธอนอนกอดเขาบนเตียงไม่ต้องลงไปนอนตรงเตียงพับนั่นถ้ายังกลัว ในที่สุดเธอนอนกอดสุธนจนถึงรุ่งเช้า เขาตื่นมาแม้แขนเป็นเหน็บไปข้างหนึ่งแต่เขารู้สึกสุขใจเป็นที่สุด คนึงนิจตื่นทันทีเมื่อสุธนขยับตัว และหน้าตาของเธอดูนอนเต็มอิ่ม ฟ้าสางประมาณหกโมงเช้าเขาส่งเสียงดังเรียกแม่สุภาให้เอากุญแจมาไขหน้าประตู เขาบอกแม่ว่าจะชวนสาวน้อยออกไปเดินรับลมเย็น สูดอากาศยามเช้าที่ท้องทุ่งบริเวณบ้าน
“เป็นไง...หลับฝันอะไรบ้างไหม” เขาอยากรู้ว่าเธอปกติดีแล้ว
“ไม่เลยค่ะ...หนูกลัวผีที่สุด” เธอยอมรับ ที่ผ่านมาเธอจะไม่ยอมดูหนังผีเด็ดขาด
“หลายวันมานี้ ผมคิดว่าหนูเป็นโรคจิต หมอสั่งยามาให้ด้วย” เขาเฉลย
“หนูเป็นขนาดนั้นเลยหรือคะ” เธอดูตกใจ
“ใช่...ผมต้องจ้างคนมาเฝ้าหนูด้วย” สุธนมีความสุขที่เธอกลับมาเหมือนเดิม แม้เขาอาจจะไม่ได้นอนกับเธอต่อไปอีกเลยก็ตาม
“ลมเย็นดีจัง...ชอบที่นี่ไหม”
“อากาศดีมากเลยค่ะ...เดือนหน้าต้องไปต่างประเทศกับเจ้านาย หนูยังไม่ได้บอกคุณพ่อเลย”
“ไปไหน...” เขาถาม แต่เขารู้แล้วตอนเธอสติไม่อยู่กับตัว
“ลอนดอนค่ะ”
“ที่นั่น...หิมะน่าจะตกตอนหนูไปกับเจ้านาย เพราะใกล้คริสต์มาส”
“ถ้าชอบบ้านคุณแม่ผม...คราวหน้าเราก็มานอน...มารับลมหนาวกันดีไหม”
“ดีค่ะ...ทำให้หนูคิดถึงตอนสมัยยังเด็ก”
“ทำไม...หรือ”
“ยายตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ ตอนเช้าจะพาหนูไปยกยอด้วย ระหว่างเดินไปที่บ่อน้ำสายลมตอนใกล้รุ่งเบาเย็นสบาย ยิ่งหน้าร้อน... มีความสุขที่สุด”
“นี่รู้จักยอด้วยหรือ...”
“เอ้า...บ้านยายหนูอยู่ต่างจังหวัดนี่คะ”
“ไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย...” เขาจ้องหน้าเธอ
“ยายเลี้ยงหนูกับน้องชายตอนพ่อกับแม่ตายแล้ว หนูร้องไห้กับยายทุกคืน งอแงมากจนยายอยากเอาไปให้คนอื่นเลี้ยง”
“สายลมตอนเช้าทำให้ผมต้องลุกมาแต่เช้าทุกวัน”
“คุณพ่อลุกมาทำอะไรคะ”
“ลุกมานั่งรับลมเย็นๆ เพราะสายลมนี้ทำให้ผมฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง”
“ใครกันคะ...”
สุธนหยุดเดินและจับมือเธอขึ้นมาลูบเบาๆ หัวใจเขาเต้นดังแทบระเบิด...อยากบอกรักเธอ
“คนที่อยู่ตรงหน้าผม...นี่ไง”
ด้วยศักดิ์ศรี...จะไม่ทำอะไรเด็ดขาดถ้าเธอไม่ยอมรับ------------------------หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้าน แม่สุภาเร่งให้สุธนพาคนึงนิจไปหาหลวงตาที่วัด แม่ของเขาไปด้วย แต่จะตามไปพร้อมป้าสำเนียงและทวี เธอรู้ว่าสุธนรู้จักหลวงตารูปนี้ดี เขาเคยมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ท่านเป็นผู้มีอาคมขมังเวทตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเคยไปฝึกสายกรรมฐานแถวอีสานอยู่นับสิบปี ก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเดิมแห่งนี้“กราบนมัสการหลวงตา...ครับ” สุธนเข้าไปนั่งกับพื้นพร้อมคนึงนิจก้มลงกราบท่าน ขณะท่านมองมาทั้งคู่อย่างยินดี“วันนี้...เราว่างหรือ” ท่านถามขึ้น“ไม่ว่างหรอกครับ แต่ผมต้องมาจัดการตามที่หลวงตาสั่งโยมแม่ไป”“เอ่อ...ไว้รอมากันให้ครบทุกคน หลวงตาจะเป่ามนต์เสกล้อมพวกเราไว้ทุกคน ไม่งั้นมันจะกลับมาเล่นงานทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับอิหนูคนนี้” ท่านกล่าวเตือน“โยม...ไม่นาน จะกลับมาหาหลวงตาอีก”“ทำไมหรือครับ...”“ไม่มีอะไร...จะกลับมา... หลวงตาต้องเรียก โยมผู้กำกับ” ท่านหัวเราะเสียงแห้ง“โอ...จริงหรือครับ”“ตอนนี้...มีใครเป็นใหญ่ในสน.ล่ะ”“ยังไม่มีคำสั่งลงมาครับ...ผมรักษาการแทน” สุธนตอบ“นั่นล่ะ...วิบากของโยมกำลังตามมา...ระวังด้วย อิหนูนี
เพราะสายลมนี้ทำให้ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง------------------------รุ่งขึ้นแม่สุภาพาคนึงนิจสาวน้อยที่นางคิดว่าเธอต้องถูกหมอดูเสกคาถาใส่ทำให้เธอกลายเป็นคนสติไม่อยู่กับตัว“กินข้าวแล้ว แม่จะพาเธอไปพบหลวงตาที่วัด” แม่ของสุธนพูดกับเขาเสียงเบา ไม่อยากให้สาวน้อยของเขาได้ยิน“ครับ...ฝากแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ” เขายังดูกังวลกับเธอ“แม่จะให้สำเนียงไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแม่ดูแล” แม่เขาดูกังวลเช่นกัน“ขอบคุณครับ วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน เสร็จงานจะรีบกลับมา อาจค้างที่นี่อีกคืนถ้าถึงดึก”แม่ไปเรียกป้าสำเนียงข้างบ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนคนึงนิจ ส่วนนางรีบโทรไปหามัคนายกที่ดูแลปรนนิบัติหลวงตา โชคดีที่วันนี้หลวงตาไม่มีกิจนิมนต์ เธอจึงรีบพาสาวน้อยออกจากบ้านให้หลานชายลูกป้าสำเนียงขับรถไปส่งหลวงตามองดูสาวน้อยที่เดินตามสุภาเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าท่าน ขณะเธอกำลังก้มลงกราบท่านจึงทักขึ้นทันที“โยม...พานางหนูนี่มาทำไม...”“อิฉันเห็นว่า อาการมันแปลกๆ คะ หลวงตา”“ลูกสาวโยมรึ” ท่านมีสีหน้ากังวล“ไม่ใช่ค่ะ...เป็นแฟนของลูกชาย”“จะอยู่ที่นี่นานไหม...ต้องทำพิธีถอนมนต์ดำ” ท่านบอกกับสุภา“ให้พ่อหนุ่มไปเอาไข่ไก่มา..
แผงอกอุ่นนี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน------------------------คนึงนิจสาวน้อยนอนกอดสุธนตั้งแต่เธอยังไม่หลับจนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า หนุ่มใหญ่เช่นเขาเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองสามวัน ไปทำงานก็ยังคิดถึงเป็นห่วงเธอ กังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม บางครั้งต้องให้จ่าแดงคนสนิทที่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าทุกคน โทรมาหาป้าสมใจคอยถามเรื่องอาหารการกินและอาการของเธอ เขาพยายามบอกให้ป้าสมใจหลอกล่อให้เธอกินยาตามที่หมอสั่งเช้าวันนี้เขารู้สึกไม่อยากไปทำงาน แต่อยากพาสาวน้อยคนนี้ไปเที่ยวนอกเมืองแถวบ้านเดิมของเขาก่อนเข้าตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี พาเธอไปพบแม่ของเขาที่อายุค่อนมากแล้ว ท่านอยู่กับหลานสาวอายุสิบเจ็ดปี“หนูนิจ วันนี้ไปเที่ยวกันนะ” เขาเอ่ยปากชวนระหว่างกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน“เหรอคะ...ที่ไหน” เธอแต่งตัวสวยเหมือนพร้อมออกบ้าน“ไปบ้านแม่ผม...ไม่ไกลจากนี่สักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ไปทานข้าวบ้านแม่ ท่านทำอาหารอร่อยนะ” เขาเอ่ยชวนเธอ“ดีจังค่ะ...”“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ชุดนี้สวยดีแล้ว” เขาบอกเธอ และหันไปสั่งป้าสมใจให้ขึ้นไปเอายาลงมา เขาจะเอาไปด้วย“หนูต้องทำอะไรบ้าง เวลาเจ
จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดี------------------------น้อยหน่าทำเรื่องลางานให้คนึงนิจส่งไปที่ฝ่ายบุคคล และคนที่ลงชื่ออนุมัติคือมาร์คุส ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เธออยู่ใต้สายงานโดยตรง มาร์คุสสงสัยว่าทำไมสาวน้อยที่มีภารกิจต้องดูแลประสานงานกับลูกค้าช่วยเขา ไม่มาทำงานวันที่สองแล้ว“ให้คุณชนากานต์ขึ้นมาพบผมตอนบ่ายสามโมง” เขาสั่งเลขาให้ตามน้อยหน่ามาพบเพื่อสอบถาม“คุณชนากานต์ลาช่วงบ่ายแล้วค่ะ บอส” เลขาตอบเขา“โทรหาเธอเลย”เลขาติดต่อน้อยหน่าได้แล้วโอนสายให้เขา...“คุณนิจเป็นอะไรไม่มาทำงาน ลาพักร้อน” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมีงานหลายอย่างที่ยังคั่งค้าง“เธอไม่สบายค่ะ บอส”“เป็นอะไร...มากหรือ” เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่ที่นี่เกือบห้าปี“บอสอยากไปเยี่ยมไหมคะ”“เธออยู่บ้านตรงไหน ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมจะให้คนขับรถไปดูพรุ่งนี้”รุ่งขึ้นสุธนฝากให้ป้าสมใจดูแลเรื่องอาหารการกิน เขาบอกให้สั่งจากร้านในหมู่บ้านมาส่งไม่ต้องทำกับข้าวให้ลำบาก เขามีภารกิจประชุมเรื่องคดีสำคัญทั้งวัน จึงไม่มีเวลาที่จะโทรสอบถาม แต่สั่งให้ป้าโทรกลับไปถ้าเธอมีอาการผิดปกติมาร์คุสนายใหญ่ของคนึงนิจให้คนขับรถไ
ทำหัวใจกระเจิง-------------------สุธนมองจ้องหน้าคนึงนิจสาวน้อยนัยน์ตาคมขนตาเป็นแพยาว ผิวสีน้ำผึ้งของเธอขับกับรูปใบหน้าเหลี่ยมจมูกมีสันเล็กน้อย แก้มแดงเรื่อๆ องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอได้รูปเป็นสาวยุคใหม่ที่สวยสะอาง แต่ตอนนี้สติของเธอไม่ได้เรื่องได้ราวไปเสียแล้ว เขาเกิดความกลัวจนไม่น่าเป็นไปได้ พื้นอารมณ์ที่นิ่งสุขุมของเขาจากอาชีพและอุปนิสัยแต่เดิมนั้น ทำให้เขาไม่เคยหวาดกลัวอะไรมาก่อนเท่านี้ หรือเป็นเพราะเขาเริ่มใกล้ชิดเธอในความสัมพันธ์เพียงแค่สามเดือนที่ผ่านมาเขาตัดสินใจเขียนข้อความไปในแช็ตถึงน้อยหน่าเพื่อนของเธอ“ผมอยากขอให้คุณช่วยลางานพักร้อนให้นิจได้ไหมครับ”“ค่ะ...จะลองถามฝ่ายบุคคลดูก่อนนะคะ”“พรุ่งนี้จะแจ้งคุณนะคะ”เขาต้องหาคนมาอยู่เฝ้าเธอ ท่าทางแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแล้ว เขาจึงโทรขอให้ป้าที่ทำความสะอาดในสำนักงานช่วยหาคนมาดูแลเธอด่วน“นิจ...ผมจะหาคนมาเฝ้าคุณนะ” เขาบอกเธอ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน สั่งงานทางออนไลน์“ไม่ต้องค่ะ คุณพ่อ นิจดูแลตัวเองได้ค่ะ” เธอยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร“ไม่ได้...ถ้าเป็นอะไรไป ผมแย่เลย”เขากลัวว่าเธอเกิดเพ้อเจ้อทำร้ายตนเองขึ้นมา เขาจะรู้สึกผิดและไม่แน่ว่
เธอพบเขาในฝัน-------------------สองสาวตกใจเมื่อหญิงสาวอายุประมาณสามสิบวิ่งถลันออกมาจากห้องด้านในที่เป็นห้องพบแพทย์“คุณ!...หมอยังไม่ทันตรวจ เป็นอะไร” หมอตามออกมาหน้าตาตกใจ“ไม่ค่ะ...ฉันกลัว” หญิงสาวคนนี้วิ่งเข้ามากอดคนึงนิจแน่นไม่ยอมปล่อย แม้หมอจะให้ผู้ช่วยในคลินิกมาช่วยกันพูดก็ตาม“คุณ...ไม่ต้องกลัวนะ” คนึงนิจเสียงเบากำลังจะเป็นลม ใจเต้นหวาดผวาไปด้วยแล้วน้อยหน่าต้องรีบประคองเพื่อนสาวที่ถูกผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดกอดเอาไว้แน่น เธอตกใจเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้“เฮ้ย...นิจ อย่าหลับเชียวนะ ฉันกลัวอ่ะ” น้อยหน่าตบหน้าคนึงนิจเบาๆน้อยหน่าเรียกหมอให้เข้ามาดูว่าเพื่อนของเธอเป็นอะไร“ผมจะตรวจดูก่อน...ช่วยประคองเพื่อนคุณเข้าไปห้องตรวจข้างใน เร็วนะ” หมอเร่งให้ผู้ช่วยในคลินิกสองคนมาช่วยน้อยหน่า“เพื่อนคุณเป็นลม ชีพจรเต้นเบา คงต้องฉีดกลูโคส” หมอจัดเตรียมยาฉีดให้เพื่อนสาว ส่วนผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ด ถูกผู้ช่วยในร้านพาเธอไปนอนพักที่ห้องตรวจอีกห้องเพื่อรอญาติมารับกลับ“คุณหมอคะ ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดเธอเป็นอะไรคะ” น้อยหน่ายังสงสัย จึงถามขึ้น“เธอประสาทหลอน ญาติพามาตรวจ แล้วออกไ
หลอน...มู...จนขาสั่น จิตกระเจิง--------------------------------“สะ...สะ เสียงดังกังวาน...ออกมาจาก หะ...หัวกะ...กะ...โหลกนั่น...” คนึงนิจหันไปกอดกับน้อยหน่าหลับตาปี๋ เสียงเบาตะกุกตะกัก“บอกแล้วไม่ต้องกลัว...พ่อปู่สื่อวิญญาณอยู่” ลุงหมอดูเดินเข้ามาจับหัวสาวทั้งสอง และตบหลังพวกเธอเบาๆเอาล่ะสิ...คนึงนิจสะดุ้งขาสั่น ขนใต้ผิวหนังตั้งชันเหมือนจับไข้ น้อยหน่าเหงื่อแตกด้วยความกลัว สองสาวยังกอดกันค่อยเขยิบก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ“ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด...เข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าพ่อปู่” ชายชราหมอดูเสียงเปลี่ยนเป็นห้าวก้อง หน้าตาจากที่เหี่ยวแห้งกลับดูเป็นหนุ่มมีพละกำลังเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิหลับตาลง สองสาวมองหน้ากันอยากวิ่งออกไปแต่ประตูห้องดันถูกปิดจากด้านนอก พวกเธอจำยอมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ก้มหน้าไม่ยอมมองตรงไปข้างหน้า กลัวพวกหัวกะโหลกแยกเขี้ยวอยู่เต็มห้อง มองไปทางไหนเหมือนกำลังจ้องมาที่พวกเธอ“วิธังเสติ ......” พ่อปู่ร่ายคาถายาวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และยกมือทำท่าเหมือนโปรยคาถาครอบคลุมไปทั่วห้อง“โอม...นะมะจิตตัง...ยะจับใจ ...พุทธะหลงใหล...” เสียงของผู้เฒ่าหน้าทารก ณ บัดนาวด
ปัดวิบาก...ตัดกรรม-----------------------สุธนเดินเข้าไปในห้องนอนของคนึงนิจ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นตุ๊กตาหล่นอยู่ที่พื้นหนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เขามอบให้เธอ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาและมองจ้องเปิดดูเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเดรสสีชมพู หน้าตาของตุ๊กตายิ้มสวยกว่าอีกตัวที่เธอเพิ่งเอามาด้วยซ้ำ เขาคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้ที่ส่งเสียงกรี๊ดจนเธอตกใจรีบทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งออกมากอดเขา“ไม่เห็นมีอะไรเลย...นิจ เข้ามาดูสิ ผมอุ้มขึ้นมากอดอยู่” เขากอดตุ๊กตาไว้ที่อกตะโกนออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ เลยเดินออกจากห้องเพื่อเอาไปให้ดูว่าไม่มีอะไร“ไม่ค่ะ...นิจ ขอคืนให้คุณพ่อนะคะ” สาวน้อยแทบไม่อยากมองมันเลย“หนูว่า...คงจริงอย่างที่พ่อปู่เตือน” คำพูดเธอทำให้สุธนสงสัย“มีอะไร...รึ”“ลุงหมอดูเตือนว่าหนูมีเคราะห์ และไม่ควรอยู่ที่บ้าน”“อย่างมงาย...”“แล้วตุ๊กตานี่ไปได้จากที่ไหนมาคะ...” เธออยากรู้“ผมไม่รู้ เพราะลูกน้องใน สน. มอบให้ผู้กำกับ แต่ท่านไม่เอา ดันมาวางไว้บนโต๊ะผม” เขามองหน้าสาวน้อยส่ายหัว“ไว้เข้า สน.พรุ่งนี้ผมจะถามพวกนั้นดู”“แล้วจะให้ผมเอาไปไว้ไหนดี...” เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่จะพยายามเอาใจเพื่อให้เธ
อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน--------------------------------ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทองทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว“ใครแนะนำ...”“ป้าฉันนะสิ...”ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”“ไม่ลองไม่รู้”และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน“อีหนูสองค