แผงอกอุ่นนี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน
------------------------
คนึงนิจสาวน้อยนอนกอดสุธนตั้งแต่เธอยังไม่หลับจนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า หนุ่มใหญ่เช่นเขาเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองสามวัน ไปทำงานก็ยังคิดถึงเป็นห่วงเธอ กังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม บางครั้งต้องให้จ่าแดงคนสนิทที่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าทุกคน โทรมาหาป้าสมใจคอยถามเรื่องอาหารการกินและอาการของเธอ เขาพยายามบอกให้ป้าสมใจหลอกล่อให้เธอกินยาตามที่หมอสั่ง
เช้าวันนี้เขารู้สึกไม่อยากไปทำงาน แต่อยากพาสาวน้อยคนนี้ไปเที่ยวนอกเมืองแถวบ้านเดิมของเขาก่อนเข้าตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี พาเธอไปพบแม่ของเขาที่อายุค่อนมากแล้ว ท่านอยู่กับหลานสาวอายุสิบเจ็ดปี
“หนูนิจ วันนี้ไปเที่ยวกันนะ” เขาเอ่ยปากชวนระหว่างกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน
“เหรอคะ...ที่ไหน” เธอแต่งตัวสวยเหมือนพร้อมออกบ้าน
“ไปบ้านแม่ผม...ไม่ไกลจากนี่สักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ไปทานข้าวบ้านแม่ ท่านทำอาหารอร่อยนะ” เขาเอ่ยชวนเธอ
“ดีจังค่ะ...”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ชุดนี้สวยดีแล้ว” เขาบอกเธอ และหันไปสั่งป้าสมใจให้ขึ้นไปเอายาลงมา เขาจะเอาไปด้วย
“หนูต้องทำอะไรบ้าง เวลาเจอคุณแม่” เธอทำหน้าสงสัย
“ไม่ต้องเลย ท่านชอบดูแลสาวๆ โดยเฉพาะคนสวยๆ” เขาพูดตะล่อมเธอ
สุธนขับรถไปเรื่อยๆ เปิดเพลงเบาๆ อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พาเธอไปไหนด้วยกันตั้งแต่รับเธอเข้ามาอยู่ด้วย เธอไม่เคยมีท่าทียอมไปไหนกับเขา กลัวที่จะอยู่ใกล้เขาทุกครั้งโดยเฉพาะเวลาที่เขาพยายามจะหาเรื่องเข้ามาใกล้เธอ
“มีความสุขดีไหม...” เขาถามอย่างปรีดา
“หนูชอบกอดคุณพ่อ อกคุณพ่ออุ๊นอุ่น...หลับปุ๋ยเลย” เธอพูดอย่างไร้เดียงสา ทำเขาถอนหายใจเฮือก อารมณ์วาบหวิวที่เธอทำให้เขาหัวใจกระเจิงมาสองสามคืนแล้ว
“คืนนี้จะกอดผมอีกไหม” เขาถามไปอย่างนั้น
“ค่ะ...หนูจะกอดไปตลอด”
“ทำไม...เพราะหนูอยากกอดแฟนของมาดามทุซโซ”
“อ้าว...ได้ไงล่ะ” เขาขำเธอ
“ได้สิคะ...เขาเป็นแฟนหนูนี่คะ”
“มาดามทุซโซ อนุญาตหรือ” เขาทำเสียงดูตลก
“ค่ะ...เพราะมาดามทุซโซ คือหนูเองในวันนี้” เธอกอดตุ๊กตาตัวที่เอามาจากบ้านหมอดู ท่าทีชอบมันเหลือเกิน
“ดูสิคะ...เขาคนนั้นอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ด้วย คุณพ่อ” เขาฟังเธอพูดแล้วนึกกังวลว่าเมื่อไหร่เธอจะหายปกติ
“วันนี้อยากทานอะไรตอนเที่ยง ผมจะแวะซื้อกลางทางไปให้แม่ทำให้เรา”
“สเต๊กได้ไหมคะ...ปลาแซลมอนนะคะ หนูชอบค่ะ เขาก็ชอบด้วย” สุธนส่ายหัวและยิ้มขณะฟังเธอเล่า เขาแวะซุปเปอร์สโตร์ก่อนถึงทางเข้าบ้าน ซื้อปลาตามที่เธอสั่ง
“เอาไวน์ไหม...” เขาถามเพื่อให้เธอสบายใจ
“ได้ไหมคะ...”
“ไวน์อะไร...” เขายิ้มหน้าบาน
“ไวน์ขาวนะคะ หนูชอบ คุณพ่อทานด้วยกันนะ” เธอเลือกชนิดได้ถูกต้อง เดินไปที่ร้านขายสุราและหยิบขวดที่คุณภาพดีอีก เขาขำที่เธอดูเหมือนคนปกติ แต่ทำไมทำอะไรแปลกขนาดนี้
“ไป...เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว”
จากนั้นไม่นานเขาก็ขับรถมาถึงบ้านของแม่สุภา แม่ของเขามองมายังหญิงสาวที่นั่งมาด้วยอย่างแปลกใจ สุธนไม่เคยเล่าเรื่องของเธอให้แม่เขารู้เรื่องมาก่อน วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาต้องอธิบาย
“ลงไปสวัสดีคุณแม่นะ...หนูนิจ” เขาจับแขนเธอเบาๆ เพื่อให้เธอไม่กังวล
“ค่ะ...” เธอกระโดดลงจากรถกระบะสองตอน และลงไปยืนต่อหน้าแม่ของสุธน ยกมือไหว้และเดินเข้าไปกอด
“ไปเอาลูกสาวใครมา...” แม่สุภามองหน้าสุธนด้วยความสงสัย
“ครับ...เธอชื่อ คนึงนิจ ผมรับเธอมาอยู่ด้วยที่บ้านกรุงเทพ ให้ดูแลผม” เขาพูดอายๆ
“พ่อธน...ไปเอาลูกสาวใครมา ต้องไปทำให้มันถูกต้องไม่ใช่เอามาอยู่เฉยๆ” แม่เขาตำหนิ
“ครับ...พ่อแม่เธอเสียไปนานแล้ว เธอมีแต่น้องชายยังเรียนอยู่ครับ” เขาพาคนึงนิจเดินเข้าบ้าน หญิงสาวช่วยหิ้วถุงอาหารที่จะให้แม่ของเขาปรุงสำหรับมื้อเที่ยง
สุธนเดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าตั้งแต่สมัยปู่ของเขา เป็นบ้านทรงไทยมรดกตกทอดแต่โบราณ ใต้ถุนสูงทุกวันนี้ได้ดัดแปลงเป็นห้องครัวสมัยใหม่เพื่อให้แม่ทำอาหารได้สะดวก หลานสาวของเขาไปเรียนที่กรุงเทพ จะกลับมาช่วงเสาร์อาทิตย์ปลายเดือน วันนี้เขาจึงขอให้คนึงนิจช่วยแม่ของเขาล้างผักเป็นแค่ลูกมือเท่านั้น
“คุณแม่คะ...หนูช่วยล้างผักนะคะ” เธอคุยกับแม่ของสุธนเหมือนคนปกติ แต่แม่สุภาสงสัยอยู่เหมือนกัน สาวน้อยบางทีพูดอะไรเหมือนคนเพ้อเจ้อ ไม่ค่อยเต็มบาท
ระหว่างกินข้าวแม่ของสุธนนั่งติดกับลูกชาย จึงเอ่ยถามเบาๆ ว่าสาวน้อยผิดปกติไหม ดูสติไม่เต็มจะว่าบ้าก็ไม่ใช่ คือรู้เรื่องดีแต่ไม่เข้าเรื่องอยู่บ้าง
“ครับ...เธอกำลังกินยารักษาอยู่”
“เป็นมานานหรือยัง”
“เพิ่งไม่กี่วันนี่เอง”
“ไปทำอะไรมา”
“แม่ว่า เหมือนถูกผีสิงมากกว่านะ”
“เหรอครับ...ยังมีเรื่องนี้อีกหรือ” สุธนมองหน้าคนึงนิจอย่างวิตก
“มีสิ...รู้ไหมว่าเธอไปทำอะไรมา”
“สามวันก่อนไปหาหมอดู”
“แบบไหน...” แม่ของสุธนถามรายละเอียด เธอเริ่มสงสัย
“บอกผมว่า หมอดูสื่อวิญญาณ”
“แม่ว่า หนูนิจถูกมันเสกมนต์ใส่แน่ๆ แบบนี้” แม่ของสุธนเล่าว่า สมัยคุณยายเธอมีพวกหมอดูคุณไสยเคยเสกเป่าใส่คนที่มันต้องการ แล้วเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้ บางวันดีบางวันร้าย
“จะให้ผมทำยังไงครับ...” เขาถอนหายใจยาว หนักใจกับเธอ
“คืนนี้นอนกันที่นี่ พรุ่งนี้แม่จะพาไปหาหลวงตาที่วัด” แม่สุภาแนะนำให้สุธนลองดู
“ผมมีงานด่วนพรุ่งนี้ ผมฝากแม่ดูแลได้ไหม เย็นๆ ผมจะมารับเธอ” สุธนรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องให้แม่เป็นภาระ
“แม่ครับ...คืนนี้ให้นิจนอนกับผมนะครับ” สุธนพูดอย่างเกรงใจแม่ เพราะเขาทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“ทำไม...ล่ะ ก็เอาเธอมาอยู่บ้านนานแล้ว จะมาขอทำไม” แม่งงกับคำพูด
เขาพาคนึงนิจออกไปเดินรอบหมู่บ้านใกล้ๆ เขาบอกเธอว่าคืนนี้จะนอนที่นี่ เขาจึงรีบโทรไปบอกป้าสมใจว่า คืนนี้เขาจะนอนบ้านแม่ ให้ป้าดูแลบ้านของเขาให้ดี
“คุณพ่อคะ...ทำไมเราต้องนอนที่นี่” เธอทำหน้าสงสัย
“ที่นี่อากาศดี...คุณแม่ชวนเรานอนกันที่นี่” เขาเลี่ยงไม่บอกความจริง
“แล้วคืนนี้ ต้องนอนห้องเดียวกับผมนะ” เขาจ้องแววตาของเธอ ดูปฏิกิริยา
“ได้ค่ะ...หนูจะได้กอดคนนั้นอีกไหมคะ” เธอถามขึ้นโดยมองไปท้องทุ่งข้างหน้า
“แฟนหนูเขาอยู่ฟาร์มที่นอกเมืองลอนดอนนะคะ” เธอพูดราวกับเป็นเรื่องจริง
“งั้นคืนนี้ก็นอนกอดเขาใช่ไหม” สุธนกลายเป็นคนสร้างเรื่องราวเก่งไปโดยปริยาย จริงๆ งานของเขาก็ทำนองนี้ คล้ายสร้างเรื่องจำลองให้ผู้ต้องหารับสารภาพ ไล่ถามไปเรื่อยๆ ครั้นมาเจอเรื่องนี้เขาเลยรู้สึกว่าธรรมดา
ขณะที่กำลังเดินกลับมาที่บ้านสาวน้อยของเขาเกิดตกใจกลัวงูที่แผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้า เธอกอดเขาแน่นหลับตาปี๋ สุธนบอกให้เธออยู่นิ่งๆ และเขาจ้องหน้างูสักพัก ทำสมาธิบอกในใจให้มันออกไปจากที่ตรงนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะชักปืนขึ้นมาลั่นไกฆ่ามัน ในที่สุดงูก็เลื้อยเข้าพงหญ้าไป เขาเอามือตบหลังเธอเบาๆ
“มันไปแล้ว ไม่ต้องกลัว” เขาพยุงตัวเธอพาเดินจนถึงบ้าน สาวน้อยของเขาไม่ยอมคลายวงแขนที่กอดเอวของเขาจนแน่น
“เป็นอะไรล่ะนั่น...หนูนิจ” แม่ของสุธนมองภาพเธออย่างเวทนา
“ไป...พาเธอขึ้นไปห้องนอนข้างบน ตอนนี้สะอาดเรียบร้อยแล้ว” แม่ของเขาสั่งให้ป้าสำเนียงญาติกันมาช่วยทำความสะอาดห้องช่วงที่สุธนพาคนึงนิจไปเดินเล่น
ตกเย็นสาวน้อยของสุธนแทบไม่อยากออกจากห้อง เธอยังหวาดผวางูตัวนั้นอยู่ ทำให้สุธนบอกแม่ว่า จะเอาถาดพาข้าวขึ้นมากินที่ห้องนอนสองคนกับเธอ แม่สุภามองหน้าลูกชายอย่างหนักใจ เธอคิดว่าสาวน้อยคนนี้สุธนน่าจะเจอเธอ หลังจากที่เขาหย่ากับบุศรินทร์ ลูกชายเธอเป็นหนุ่มใหญ่แล้วแต่ยังโสด เลยทำให้ไปคว้าแม่สาวคนนี้มาอยู่ในบ้าน ไม่รู้เธอเป็นใครมาจากไหน ในฐานะแม่จึงอดไม่ได้ที่จะกังวลกับชีวิตของเขาในวันข้างหน้า
“อย่าให้หนูนิจ เดินออกมาเข้าห้องน้ำข้างล่างเองนะ” แม่ของชายหนุ่มสั่งเขากลัวว่าเธอจะเตลิดออกจากบ้านไปกลางดึก
“ทำไมครับ...” สุธนทำหน้าสงสัย
“บ้านเราเจ้าที่แรง...กลัวเธอตกใจหากมีอะไร”
“ผมมานอนทุกครั้ง...ไม่เห็นมีอะไร” เขาแย้ง
“เราเป็นคนในบ้าน เธอมาใหม่ เจ้าที่ท่านอาจทัก” แม่สุภามีความเชื่อแบบคนโบราณ
“ถ้าเธอจะเข้าห้องน้ำ ธนต้องออกมาด้วย” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ
สุธนพาเธอลงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำข้างล่าง เขาเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ ให้เธออาบน้ำก่อน แล้วจึงให้เธอขึ้นชั้นบนไป หลังจากนั้นเขาจึงอาบน้ำต่ออย่างใจร้อน ไม่อยากปล่อยเธอไว้คนเดียว เขาขึ้นมาที่ห้องนอนเห็นเธอนั่งกอดตุ๊กตาหอมแก้มราวกับกอดคนรัก
“เป็นไง กอดคนนั้นอุ่นไหม”
“ค่ะ...หายหนาวเลย เราอยู่ที่ฟาร์มนอกลอนดอน”
“เหรอ...ขึ้นไปนอนบนเตียงข้างผมนะ”
“คุณพ่อค่ะ...คืนนี้เขาจะกอดหนูเหมือนทุกคืนไหม” เธอถามอย่างน่าเอ็นดู
“กอดสิ...ต้องเอาไออุ่นจากเขาด้วยนะ”
“อากาศค่อนข้างเย็น จะเข้าห้องน้ำต้องบอกผมนะ” เขาเตือนเธอ
คนึงนิจนอนหลับไปราวเด็กน้อย ไม่นานสุธนได้ยินเสียงละเมอของเธอ
“มาร์คุสคะ...ฉันขอกอดคุณนะ คุณเป็นที่รักของฉัน”
“ได้เลย...ที่รัก” สุธนโมเมกลายเป็นที่รักของสาวน้อยที่โผตัวเข้ามากอดเขา
ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้กอดสาวคนไหนมานานเกือบปีแล้ว คนึงนิจกลายเป็นคนแรกในรอบขวบปีที่ทำให้ใจเขาเต้นอีกครั้ง
ใจของเขาเริ่มคิดเตลิดไปไกล พึมพำเบาๆ
“แผงอกอุ่นๆ นี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน”
ด้วยศักดิ์ศรี...จะไม่ทำอะไรเด็ดขาดถ้าเธอไม่ยอมรับ------------------------หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้าน แม่สุภาเร่งให้สุธนพาคนึงนิจไปหาหลวงตาที่วัด แม่ของเขาไปด้วย แต่จะตามไปพร้อมป้าสำเนียงและทวี เธอรู้ว่าสุธนรู้จักหลวงตารูปนี้ดี เขาเคยมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ท่านเป็นผู้มีอาคมขมังเวทตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเคยไปฝึกสายกรรมฐานแถวอีสานอยู่นับสิบปี ก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเดิมแห่งนี้“กราบนมัสการหลวงตา...ครับ” สุธนเข้าไปนั่งกับพื้นพร้อมคนึงนิจก้มลงกราบท่าน ขณะท่านมองมาทั้งคู่อย่างยินดี“วันนี้...เราว่างหรือ” ท่านถามขึ้น“ไม่ว่างหรอกครับ แต่ผมต้องมาจัดการตามที่หลวงตาสั่งโยมแม่ไป”“เอ่อ...ไว้รอมากันให้ครบทุกคน หลวงตาจะเป่ามนต์เสกล้อมพวกเราไว้ทุกคน ไม่งั้นมันจะกลับมาเล่นงานทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับอิหนูคนนี้” ท่านกล่าวเตือน“โยม...ไม่นาน จะกลับมาหาหลวงตาอีก”“ทำไมหรือครับ...”“ไม่มีอะไร...จะกลับมา... หลวงตาต้องเรียก โยมผู้กำกับ” ท่านหัวเราะเสียงแห้ง“โอ...จริงหรือครับ”“ตอนนี้...มีใครเป็นใหญ่ในสน.ล่ะ”“ยังไม่มีคำสั่งลงมาครับ...ผมรักษาการแทน” สุธนตอบ“นั่นล่ะ...วิบากของโยมกำลังตามมา...ระวังด้วย อิหนูนี
เพราะสายลมนี้ทำให้ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง------------------------รุ่งขึ้นแม่สุภาพาคนึงนิจสาวน้อยที่นางคิดว่าเธอต้องถูกหมอดูเสกคาถาใส่ทำให้เธอกลายเป็นคนสติไม่อยู่กับตัว“กินข้าวแล้ว แม่จะพาเธอไปพบหลวงตาที่วัด” แม่ของสุธนพูดกับเขาเสียงเบา ไม่อยากให้สาวน้อยของเขาได้ยิน“ครับ...ฝากแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ” เขายังดูกังวลกับเธอ“แม่จะให้สำเนียงไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแม่ดูแล” แม่เขาดูกังวลเช่นกัน“ขอบคุณครับ วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน เสร็จงานจะรีบกลับมา อาจค้างที่นี่อีกคืนถ้าถึงดึก”แม่ไปเรียกป้าสำเนียงข้างบ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนคนึงนิจ ส่วนนางรีบโทรไปหามัคนายกที่ดูแลปรนนิบัติหลวงตา โชคดีที่วันนี้หลวงตาไม่มีกิจนิมนต์ เธอจึงรีบพาสาวน้อยออกจากบ้านให้หลานชายลูกป้าสำเนียงขับรถไปส่งหลวงตามองดูสาวน้อยที่เดินตามสุภาเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าท่าน ขณะเธอกำลังก้มลงกราบท่านจึงทักขึ้นทันที“โยม...พานางหนูนี่มาทำไม...”“อิฉันเห็นว่า อาการมันแปลกๆ คะ หลวงตา”“ลูกสาวโยมรึ” ท่านมีสีหน้ากังวล“ไม่ใช่ค่ะ...เป็นแฟนของลูกชาย”“จะอยู่ที่นี่นานไหม...ต้องทำพิธีถอนมนต์ดำ” ท่านบอกกับสุภา“ให้พ่อหนุ่มไปเอาไข่ไก่มา..
แผงอกอุ่นนี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน------------------------คนึงนิจสาวน้อยนอนกอดสุธนตั้งแต่เธอยังไม่หลับจนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า หนุ่มใหญ่เช่นเขาเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองสามวัน ไปทำงานก็ยังคิดถึงเป็นห่วงเธอ กังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม บางครั้งต้องให้จ่าแดงคนสนิทที่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าทุกคน โทรมาหาป้าสมใจคอยถามเรื่องอาหารการกินและอาการของเธอ เขาพยายามบอกให้ป้าสมใจหลอกล่อให้เธอกินยาตามที่หมอสั่งเช้าวันนี้เขารู้สึกไม่อยากไปทำงาน แต่อยากพาสาวน้อยคนนี้ไปเที่ยวนอกเมืองแถวบ้านเดิมของเขาก่อนเข้าตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี พาเธอไปพบแม่ของเขาที่อายุค่อนมากแล้ว ท่านอยู่กับหลานสาวอายุสิบเจ็ดปี“หนูนิจ วันนี้ไปเที่ยวกันนะ” เขาเอ่ยปากชวนระหว่างกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน“เหรอคะ...ที่ไหน” เธอแต่งตัวสวยเหมือนพร้อมออกบ้าน“ไปบ้านแม่ผม...ไม่ไกลจากนี่สักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ไปทานข้าวบ้านแม่ ท่านทำอาหารอร่อยนะ” เขาเอ่ยชวนเธอ“ดีจังค่ะ...”“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ชุดนี้สวยดีแล้ว” เขาบอกเธอ และหันไปสั่งป้าสมใจให้ขึ้นไปเอายาลงมา เขาจะเอาไปด้วย“หนูต้องทำอะไรบ้าง เวลาเจ
จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดี------------------------น้อยหน่าทำเรื่องลางานให้คนึงนิจส่งไปที่ฝ่ายบุคคล และคนที่ลงชื่ออนุมัติคือมาร์คุส ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เธออยู่ใต้สายงานโดยตรง มาร์คุสสงสัยว่าทำไมสาวน้อยที่มีภารกิจต้องดูแลประสานงานกับลูกค้าช่วยเขา ไม่มาทำงานวันที่สองแล้ว“ให้คุณชนากานต์ขึ้นมาพบผมตอนบ่ายสามโมง” เขาสั่งเลขาให้ตามน้อยหน่ามาพบเพื่อสอบถาม“คุณชนากานต์ลาช่วงบ่ายแล้วค่ะ บอส” เลขาตอบเขา“โทรหาเธอเลย”เลขาติดต่อน้อยหน่าได้แล้วโอนสายให้เขา...“คุณนิจเป็นอะไรไม่มาทำงาน ลาพักร้อน” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมีงานหลายอย่างที่ยังคั่งค้าง“เธอไม่สบายค่ะ บอส”“เป็นอะไร...มากหรือ” เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่ที่นี่เกือบห้าปี“บอสอยากไปเยี่ยมไหมคะ”“เธออยู่บ้านตรงไหน ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมจะให้คนขับรถไปดูพรุ่งนี้”รุ่งขึ้นสุธนฝากให้ป้าสมใจดูแลเรื่องอาหารการกิน เขาบอกให้สั่งจากร้านในหมู่บ้านมาส่งไม่ต้องทำกับข้าวให้ลำบาก เขามีภารกิจประชุมเรื่องคดีสำคัญทั้งวัน จึงไม่มีเวลาที่จะโทรสอบถาม แต่สั่งให้ป้าโทรกลับไปถ้าเธอมีอาการผิดปกติมาร์คุสนายใหญ่ของคนึงนิจให้คนขับรถไ
ทำหัวใจกระเจิง-------------------สุธนมองจ้องหน้าคนึงนิจสาวน้อยนัยน์ตาคมขนตาเป็นแพยาว ผิวสีน้ำผึ้งของเธอขับกับรูปใบหน้าเหลี่ยมจมูกมีสันเล็กน้อย แก้มแดงเรื่อๆ องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอได้รูปเป็นสาวยุคใหม่ที่สวยสะอาง แต่ตอนนี้สติของเธอไม่ได้เรื่องได้ราวไปเสียแล้ว เขาเกิดความกลัวจนไม่น่าเป็นไปได้ พื้นอารมณ์ที่นิ่งสุขุมของเขาจากอาชีพและอุปนิสัยแต่เดิมนั้น ทำให้เขาไม่เคยหวาดกลัวอะไรมาก่อนเท่านี้ หรือเป็นเพราะเขาเริ่มใกล้ชิดเธอในความสัมพันธ์เพียงแค่สามเดือนที่ผ่านมาเขาตัดสินใจเขียนข้อความไปในแช็ตถึงน้อยหน่าเพื่อนของเธอ“ผมอยากขอให้คุณช่วยลางานพักร้อนให้นิจได้ไหมครับ”“ค่ะ...จะลองถามฝ่ายบุคคลดูก่อนนะคะ”“พรุ่งนี้จะแจ้งคุณนะคะ”เขาต้องหาคนมาอยู่เฝ้าเธอ ท่าทางแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแล้ว เขาจึงโทรขอให้ป้าที่ทำความสะอาดในสำนักงานช่วยหาคนมาดูแลเธอด่วน“นิจ...ผมจะหาคนมาเฝ้าคุณนะ” เขาบอกเธอ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน สั่งงานทางออนไลน์“ไม่ต้องค่ะ คุณพ่อ นิจดูแลตัวเองได้ค่ะ” เธอยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร“ไม่ได้...ถ้าเป็นอะไรไป ผมแย่เลย”เขากลัวว่าเธอเกิดเพ้อเจ้อทำร้ายตนเองขึ้นมา เขาจะรู้สึกผิดและไม่แน่ว่
เธอพบเขาในฝัน-------------------สองสาวตกใจเมื่อหญิงสาวอายุประมาณสามสิบวิ่งถลันออกมาจากห้องด้านในที่เป็นห้องพบแพทย์“คุณ!...หมอยังไม่ทันตรวจ เป็นอะไร” หมอตามออกมาหน้าตาตกใจ“ไม่ค่ะ...ฉันกลัว” หญิงสาวคนนี้วิ่งเข้ามากอดคนึงนิจแน่นไม่ยอมปล่อย แม้หมอจะให้ผู้ช่วยในคลินิกมาช่วยกันพูดก็ตาม“คุณ...ไม่ต้องกลัวนะ” คนึงนิจเสียงเบากำลังจะเป็นลม ใจเต้นหวาดผวาไปด้วยแล้วน้อยหน่าต้องรีบประคองเพื่อนสาวที่ถูกผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดกอดเอาไว้แน่น เธอตกใจเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้“เฮ้ย...นิจ อย่าหลับเชียวนะ ฉันกลัวอ่ะ” น้อยหน่าตบหน้าคนึงนิจเบาๆน้อยหน่าเรียกหมอให้เข้ามาดูว่าเพื่อนของเธอเป็นอะไร“ผมจะตรวจดูก่อน...ช่วยประคองเพื่อนคุณเข้าไปห้องตรวจข้างใน เร็วนะ” หมอเร่งให้ผู้ช่วยในคลินิกสองคนมาช่วยน้อยหน่า“เพื่อนคุณเป็นลม ชีพจรเต้นเบา คงต้องฉีดกลูโคส” หมอจัดเตรียมยาฉีดให้เพื่อนสาว ส่วนผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ด ถูกผู้ช่วยในร้านพาเธอไปนอนพักที่ห้องตรวจอีกห้องเพื่อรอญาติมารับกลับ“คุณหมอคะ ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดเธอเป็นอะไรคะ” น้อยหน่ายังสงสัย จึงถามขึ้น“เธอประสาทหลอน ญาติพามาตรวจ แล้วออกไ
หลอน...มู...จนขาสั่น จิตกระเจิง--------------------------------“สะ...สะ เสียงดังกังวาน...ออกมาจาก หะ...หัวกะ...กะ...โหลกนั่น...” คนึงนิจหันไปกอดกับน้อยหน่าหลับตาปี๋ เสียงเบาตะกุกตะกัก“บอกแล้วไม่ต้องกลัว...พ่อปู่สื่อวิญญาณอยู่” ลุงหมอดูเดินเข้ามาจับหัวสาวทั้งสอง และตบหลังพวกเธอเบาๆเอาล่ะสิ...คนึงนิจสะดุ้งขาสั่น ขนใต้ผิวหนังตั้งชันเหมือนจับไข้ น้อยหน่าเหงื่อแตกด้วยความกลัว สองสาวยังกอดกันค่อยเขยิบก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ“ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด...เข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าพ่อปู่” ชายชราหมอดูเสียงเปลี่ยนเป็นห้าวก้อง หน้าตาจากที่เหี่ยวแห้งกลับดูเป็นหนุ่มมีพละกำลังเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิหลับตาลง สองสาวมองหน้ากันอยากวิ่งออกไปแต่ประตูห้องดันถูกปิดจากด้านนอก พวกเธอจำยอมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ก้มหน้าไม่ยอมมองตรงไปข้างหน้า กลัวพวกหัวกะโหลกแยกเขี้ยวอยู่เต็มห้อง มองไปทางไหนเหมือนกำลังจ้องมาที่พวกเธอ“วิธังเสติ ......” พ่อปู่ร่ายคาถายาวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และยกมือทำท่าเหมือนโปรยคาถาครอบคลุมไปทั่วห้อง“โอม...นะมะจิตตัง...ยะจับใจ ...พุทธะหลงใหล...” เสียงของผู้เฒ่าหน้าทารก ณ บัดนาวด
ปัดวิบาก...ตัดกรรม-----------------------สุธนเดินเข้าไปในห้องนอนของคนึงนิจ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นตุ๊กตาหล่นอยู่ที่พื้นหนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เขามอบให้เธอ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาและมองจ้องเปิดดูเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเดรสสีชมพู หน้าตาของตุ๊กตายิ้มสวยกว่าอีกตัวที่เธอเพิ่งเอามาด้วยซ้ำ เขาคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้ที่ส่งเสียงกรี๊ดจนเธอตกใจรีบทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งออกมากอดเขา“ไม่เห็นมีอะไรเลย...นิจ เข้ามาดูสิ ผมอุ้มขึ้นมากอดอยู่” เขากอดตุ๊กตาไว้ที่อกตะโกนออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ เลยเดินออกจากห้องเพื่อเอาไปให้ดูว่าไม่มีอะไร“ไม่ค่ะ...นิจ ขอคืนให้คุณพ่อนะคะ” สาวน้อยแทบไม่อยากมองมันเลย“หนูว่า...คงจริงอย่างที่พ่อปู่เตือน” คำพูดเธอทำให้สุธนสงสัย“มีอะไร...รึ”“ลุงหมอดูเตือนว่าหนูมีเคราะห์ และไม่ควรอยู่ที่บ้าน”“อย่างมงาย...”“แล้วตุ๊กตานี่ไปได้จากที่ไหนมาคะ...” เธออยากรู้“ผมไม่รู้ เพราะลูกน้องใน สน. มอบให้ผู้กำกับ แต่ท่านไม่เอา ดันมาวางไว้บนโต๊ะผม” เขามองหน้าสาวน้อยส่ายหัว“ไว้เข้า สน.พรุ่งนี้ผมจะถามพวกนั้นดู”“แล้วจะให้ผมเอาไปไว้ไหนดี...” เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่จะพยายามเอาใจเพื่อให้เธ
อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน--------------------------------ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทองทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว“ใครแนะนำ...”“ป้าฉันนะสิ...”ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”“ไม่ลองไม่รู้”และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน“อีหนูสองค