 LOGIN
LOGIN“นายหญิงเจ้าขามีคนผู้หนึ่ง ท่าทีราวกับ ราวกับ…เอ่อ” โจวจี้เหยาพยักขมวดคิ้วจนไฝกระตุก
“รีบพูดมาเอาแต่อ้ำอึ้งเจ้ายังอยากจะได้เบี้ยหวัดของเดือนนี้ไหม” โจวจี้เหวินตวาดดังๆ มารยาทยามโมโหช่างไม่ต่างจากโจวจี้เหยามารดาของนาง
“จะจะเจ้าค่ะ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งองอาจหล่อเหลา อีกผู้หนึ่งเดินตามราวกับขันที” จี้เหวินยิ้มมุมปาก
“จะต้องเป็นคหบดีที่ร่ำรวยแน่ แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าหรือต้องการอะไรกับบ้านโจวของเรา” จี้เหยาพูดขึ้นยิ้มๆ
“เอ่อ เอ่อเขาบอกว่ากำลังหิวพอดี เดินตามกลิ่นอาหารที่หอมกระจายออกไปรอบๆ บริเวณ เขาถามข้าว่าพอจะให้เขาได้อิ่มท้องสักมื้อไหม ทั้งสองท่านยังมอบทองให้ข้าน้อยเพื่อมาขออนุญาตท่านเจ้าบ้าน”
“ทองจริงหรือไม่เอามานี่ โง่อย่างเจ้าดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม ในป่าเขาเช่นนี้ใครจะมีทอง” จี้เหวินคว้าทองจากมือคนรับใช้ไปพิศดู
“ทองจริงๆ ด้วยท่านแม่ ไปเชิญเขาเข้ามา เขาต้องการอะไรถึงนำเอาทองมาแลก ท่านแม่ท่านให้ข้าไปรับแขกดีไหม”
“ได้เลยลูกแม่แล้วอย่าลืมท่าทีอ่อนหวานงดงามที่เจ้าฝึกฝนมาเสียล่ะ ว่าแต่เขาอยากได้อะไรเจ้าได้ยินเขาบอกว่าอย่างไร”
“เอ่อ เอ่อ…ข้าน้อยได้ยินเขาพูดถึงกลิ่นอาหารที่คุณหนูรองหนี่ฮวาทำไว้ให้กับท่านจ้าวบ้านทำให้พวกเขาตามกลิ่นอาหารมาถึงนี่ คงจะหิวเจ้าค่ะ”
” อาหารนั้นน่ะหรือ เจ้าไปรีบเอามาสิแล้วตามข้าไปต้อนรับเขา ยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า! “
จี้เหวินถลึงตาใส่คนรับใช้ นางรีบวิ่งออกไปจัดแจงตักแกงแคหรืออ่อมร้อนๆ จากหม้อใส่ถ้วย รีบยกไปเสิร์ฟพร้อมข้าวสาลีหอมกรุ่น มองเห็นจี้เหวินนั่งยิ้มหวานหยดพูดคุยอย่างหญิงงามกิริยาดีกับแขกอย่างกับคนละคน จี้เหวินเห็นสาวใช้ก็ยิ้มราวกับเป็นนายหญิงผู้อ่อนหวานช่วยรับถ้วยแกงจากคนรับใช้มาวางตรงหน้าหยางลี่ฮ่องเต้
“เชิญค่ะคุณชาย แกงนี้ถึงหน้าตาจะไม่สวยงามแต่มีรสชาติดี กลิ่นหอมเพราะเต็มไปด้วยวัตถุดิบดีๆ สิ่งที่นำมาปรุงล้วนเป็นสมุนไพรชั้นยอดจากบ้านโจว ทั้งยังมีสรรพคุณมากมายด้วยเจ้าค่ะ “
“เรียนถามคุณหนู สรรพคุณที่ว่าคืออะไรหรือ” กวงซุนขันทีถามขึ้นเบาๆ
“อาหารชนิดนี้เดิม….ข้าน้อย….ทำเพื่อท่านพ่อของข้าน้อยที่ร่างกายอ่อนเพลีย กระต่ายป่า สมุนไพรและผักที่ใส่ไปในแกงสมุนไพรตระกูลโจว ทำให้เลือดลมไหลสะดวก หลับสบายและขับถ่ายได้คล่อง ท่านพ่อของข้าหลายวันมานี้ไม่ค่อยกินไม่ค่อยดื่ม ข้าน้อยจี้เหวินในฐานะลูกที่ดีก็ควรหาทางให้ท่านพ่อกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม” พูดราวกับท่องมาสิ่งที่จำมาจากคำพูดของข้าวนึ่ง สาวใช้หันไปเบ้ปากเสียอีกทาง
“นับถือนับถือ” กวงซุนขันทีประสานมือตรงหน้า
หยางลี่หยิบช้อนขึ้นมาตักเอาทั้งผักและเนื้อกระต่ายเปื่อยยุ่ยเข้าปาก รสเผ็ดพอประมาณกลิ่นหอมผิวมะกรูดในพริกแกงที่ข้าวนึ่งโขลกเองช่างหอมหวนทำเอาสมองโปร่งโล่ง สมุนไพรและผักสดๆ ที่รวมกันเป็นแกงแคที่มักจะใส่สารพัดผักหรือแกงอ่อมที่เลือกใส่ผักเข้าไปกับเนื้อสัตว์ ช่างลงตัว พุ้ยข้าวสาลีร้อนๆ ตามเข้าไปทำให้รู้สึกถึงความพอดีรสชาติของผักสดๆ กับสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมเข้ากันได้ดีอย่างผักชีลาวและผักชีใบเลื่อย
“ช่างลงตัวเสียจริงเนื้อกระต่ายก็นุ่มจนข้าคิดไม่ถึงว่าใครจะนำกระต่ายป่ามาปรุงอาหารได้ดีเพียงนี้ นอกจากการย่าง”
จี้เหวินยิ้มย่อกายลงช้าๆ ยิ้มหวานหยด
“ข้าได้ยินว่าที่นี่คือที่พำนักของตระกูลโจวพ่อค้าเครื่องเทศที่นำเครื่องเทศผ่านเส้นทางสายไหมยังภูมิภาคต่างๆ แล้วต่างแคว้นจึงอยากจะคารวะท่านเจ้าบ้านสักครั้ง” หยางลี่พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมยิ่งนักหลังจากที่อิ่มหนำ
“ท่านพ่อในรอบปีมานี้ป่วยไข้ไม่ได้นำเครื่องเทศแวะเวียนไปที่ใด มีเพียงวังหลวงที่ยังรับเครื่องเทศจากบ้านโจวของเรา หากคุณชายอยากจะพบท่านพ่อข้าจะพาคุณชายไปเดี๋ยวนี้”
เดินนำหยางลี่เดินเอามือไพล่หลัง ตามไปพร้อมกับกวงซุนขันที
“ท่านพ่อมีพ่อค้ารอนแรมคนหนึ่งมา ที่บ้านโจวของเรา จี้เหวินต้อนรับขับสู้แทนท่านแล้วแต่คุณชายท่านนี้ยังอยากจะพบท่านพ่อ”
จี้เหวินพูดขึ้นก่อนที่จะเปิดม่านที่กั้นแท่นนอนหรูหราไว้ เหมือนกับการเกริ่นนำ
“มีความจำเป็นใดกันจึงอยากพบข้า แค่กๆ” ส่งเสียงผ่านม่านหนาออกมา
“ข้าน้อยหยางลี่แค่แวะมาคารวะ เดินทางรอนแรม หิวโซได้อาหารรสเยี่ยมของบ้านโจวประทังชีวิต จึงอยากมาขอบคุณท่านจ้าวบ้าน สักครั้ง ได้ยินว่าบุตรีของท่านเป็นคนทำอาหารรสเลิศนั้นด้วยตัวเอง ข้าน้อยยิ่งอยากจะพบท่านโจวเพื่อขอบคุณ ที่ท่านจ้าวบ้านโจวสั่งสอนบุตรีได้ดีเพียงนี้”
“หยางลี่” โจวหลิ่วเยว่ขยับตัวในท่านั่งเปิดม่านออกด้วยมืออันสั่นเทา
“อะ” พอพบหน้าร่างชราก็เข่าอ่อน พยายามจะขยับตัวลงไปนั่งกับพื้นแต่หยางลี่ที่ไวกว่ารีบเข้ามาประคอง
“ข้าน้อยหยางลี่มาครั้งนี้เพื่อล่าสัตว์ ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าบ้านโจว” โจวหลิ่วเยว่ ประสานมือตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“เป็นบุญแล้วที่…ฝะ…”
“คุณชาย…ข้าคือ….คุณชายหยางลี่” กวงซุนกงกงยิ้มพูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับประสานมือตรงหน้า
“ท่านจ้าวบ้านอย่าถือสาเรามาด้วยความไม่พร้อมเท่าไหร่..ไว้โอกาสหน้าถ้าได้แวะมาอีกครั้งจึงจะได้ ทักทายกันได้ครบถ้วนกว่านี้”
“โจวหลิ่วเยว่ยินดีอย่างยิ่ง” ประสานมือตอบ
“บุตรีของท่านทำอาหารรสเยี่ยมข้ากำลังคิดว่าอาหารในวังยังเทียบไม่ได้กับอาหารเลิศรสที่นี่ แม่นางน้อยบุตรีท่านควรจะได้รับการฝึกปรือฝีมือและได้ร่ำเรียนตำราอาหารเก่าแก่ของราชวงค์ซุ่ย เพื่อจะได้มีความเชี่ยวชาญกว่านี้ หากข้าจะมอบโอกาสนี้หวังว่าท่านจ้าวบ้านจะไม่ขัดใช่หรือไม่” หันไปทางจี้เหวินที่ก้มหน้าซ่อนยิ้ม
โจวหลิ่วเยว่ทำสีหน้าเคร่งเครียด
“คงต้องของไตร่ตรองเสียก่อนข้ายังรับปากไม่ได้ตอนนี้ แต่ขอบคุณ….คุณชายยิ่งแล้ว”
หยางลี่ประสานมือ
“ข้าคงต้องกล่าวลาไว้ท่านจ้าวบ้านยินดีรับโอกาสเพื่อบุตรี จึงค่อยส่งข่าวถึงข้า ข้าเองยินดีเสมอ”
จี้เหวินยิ้มสดใส คิดแค่เพียงจะได้รับโอกาสจากบุรุษหนุ่มหล่อเหลาราวเทพสวรรค์หารู้ไม่ว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น

ร่างของเสี่ยวหนี่ในชื่อใหม่ข้าวนึ่ง ฮองเฮาผู้แสนอ่อนโยนกลายเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ เพราะเมื่อเสี่ยวหนี่มารับบทฮองเฮา ไม่ได้รู้ว่ากำลังกลายเป็นตัวละครหนึ่งในที่เขาทำผิดพลาดแต่สามารถพลิกวิกฤติด้วยความตั้งใจอย่างรอบคอบและกลับมาเป็นโอกาส ท่านยมหัวเราะต่อไป พร้อมกับครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดของชีวิตที่บางครั้งแค่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้ผลลัพธ์ต่างออกไปบันทึกของเขาแสดงให้เห็นถึงเส้นทางที่เสี่ยวหนี่ต้องเดิน นับจากการพบเจอความรักแท้จากหยางลี่ไปจนถึงการเป็นแม่ขององค์ชายองค์หญิง นี่คือสิ่งที่เขากำหนดไว้ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับมันในทุกๆ ครั้งที่ต้องบันทึกการเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์“ดูสิ...จากแม่ครัวในร้านอาหารนางกลายเป็นฮองเฮาจริงๆ หัวใจของท่านฮ่องเต้ก็เปิดรับข้าวนึ่งจนหมดทั้งหัวใจ...” ท่านยมยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับครางเบาๆ "แต่ชีวิตนั้นช่างบิดเบี้ยว บางครั้งต้องเลือกทิ้งบางสิ่ง เพื่อให้ได้สิ่งใหม่มา” ท่ามกลางอาณาจักรของการตัดสินและการย้อนรอยอดีตที่ยาวนานท่านยมถอนหายใจยาวๆ ด้วยความรู้สึกขบขันที่ลึกซึ้ง และแล้วเขาก็เริ่มพลิกบันทึกหน้าใหม่ โดยไม่ให้พลาดทุกความเปลี่ยนแ
ตงเจี้ยนที่ยิ้มมุมปากหลังจากทานราดหน้าทะเล ก็ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม "ราดหน้าทะเลนี่ก็ไม่น้อยหน้ากันเลยนะ เส้นราดหน้าเหนียวนุ่มกำลังดี ปลา หอย กุ้งสดมาเต็ม ทุกคำที่ทานเข้าไปมันเต็มไปด้วยรสทะเลที่สดใหม่ ผสมกับซอสที่เคี่ยวจนข้นและไม่เหนียวจนเกินไปนี่สิที่เรียกว่าอร่อยมาก"เฟยเทียนที่ถือกระบี่ไม้ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเหมือนจะกินอะไรเป็นครั้งแรกในชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะลองชิม เขาก้มลงแล้วตักราดหน้าทะเลกินคำแรกแล้วเงยหน้ามาพูด "รสชาติดีมากอร่อยที่สุดของครับ" เขาพูดพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยีขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือลิ้มรสชาติอาหาร เสี่ยวอี้และอันหรูที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มพูดถึงความอร่อยของอาหาร เสี่ยวอี้ลูบท้องตัวเองแล้วพูดกับแววตาเบิกบาน "ถ้าอาหารทุกมื้อในวังหลวงเป็นแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกจากโต๊ะอาหารเลยนะ"ในขณะเดียวกัน องค์ชายหยางหลิงที่วิ่งมาจากห้องข้างๆ พร้อมกับองค์หญิงน้อยของอวี่หรงและเชียหยา ก็เข้ามานั่งที่โต๊ะ พวกเขาก็เริ่มตักอาหารแล้วลิ้มรสไปพร้อมๆ กันหยางหลิงตักผัดไทยห่อไข่คำแรกและพูดอย่างเต็มปาก "อร่อยที่สุดเลยฮับเสด็จแม่"พูดพร้อมกับรอยยิ้มตาหยี ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการพูด
หนึ่งปีผ่านไป...พื้นที่ในวังหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยความสดใสและความคึกคักของเด็กๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเสียงฝีเท้าเล็กๆ ขององค์ชายน้อยหยางหลิง วิ่งเข้ามาหาหยางลี่ที่ยืนยิ้มอยู่ในศาลาริมน้ำ หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข องค์ชายตัวน้อยโผเข้าสู่อ้อมกอดของบิดาทันที"เสด็จพ่ออออออออ" หยางหลิงพูดเสียงใสๆ ก่อนจะยิ้มกว้างและยกแขนขึ้นกอดหยางลี่อย่างแน่นหนา "วันนี้ลูกอยากจะฝึกขี่ม้า แต่องครักษ์เฟิงอวี่เฉิงบอกว่าข้าเดินให้เก่งก่อนค่อยหัดขี่ม้าเสด็จพ่อลูกโตแล้วนะเก่งขึ้นด้วย"“จริงหรือไหนดูสิต้องให้พ่อลองอุ้มเจ้าดูก่อน”หยางลี่ยิ้มตอบลูกชายแล้วยกเขาขึ้นไว้ในอ้อมแขนด้วยความรัก “ลูกตัวโตขึ้นแล้วนะฮับ”"ดีมากลูก ข้ารู้ว่าเจ้าจะเก่งขึ้นทุกวันแน่ลูกพ่อ"ข้างๆ หยางหลิง อ๋องน้อยเฟยเทียนยืนถือกระบี่ไม้ในมือ เขายืนข้างๆ ตงเจี้ยนที่ยืนยิ้ม "พ่อบอกว่าจะสอนข้าเดินหมาก ท่านพ่อ เมื่อไรข้าจะได้เป็นผู้คุมหมากเสียที"เฟยเทียนพูดเสียงตื่นเต้น ก่อนจะยืนหันไปมองอวี่หรงที่ยืนอยู่ห่างๆ อวี่หรงหัวเราะน้อยๆ หันมายิ้มให้กับลูกชาย "ไปหัดขี่ม้าก่อนเถอะ แล้วข้าจะสอนเจ้าหมากภายหลังฝีมือของพ่อไม่ธรรมดาเจ้าจะต้องเป็นผู้คุ
อวี่หรงและตงเจี้ยนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกอดรัดท่านยมไว้อย่างแน่นหนา ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ แต่ร่างสูงเต้นมูนว็อกนั้นหายไปแล้ว"อย่าปล่อยนะ ตงเจี้ยน" อวี่หรงพูดเสียงหนักแน่น ขณะที่เขาจับท่านยมไว้อย่างมั่นคง"ข้าไม่มีทางปล่อยหรอกน่าท่านเองก้จับไว้ให้มั่นองค์ชายรอง" ตงเจี้ยนตอบกลับเสียงดุดัน แน่นอนว่าทั้งสองไม่ยอมให้ท่านยมหลุดมือไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาดในขณะที่การต่อสู้ของพวกเขาดำเนินไป เสี่ยวหนี่ยืนมองอย่างงุนงง โดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสามถึงพุ่งเข้ามาแบบนี้"กำลังคิดจะทำอะไรกัน" เสี่ยวหนี่ถามด้วยความสับสน ปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะต้องการอะไรจากการกระทำนี้หยางลี่ที่กอดเสี่ยวหนี่ไว้แน่น จนเสี่ยวหนี่ไม่ยอมปล่อยมือราวกับว่าหากปล่อยมือเสี่ยวหนี่จะหายไปตลอดกาล"เสี่ยวหนี่... ไม่ต้องห่วงนะข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องไปไหน ไม่มีทางข้าเองก็ไม่ปล่อยเจ้าได้โปรดอยู่ที่นี่กับข้า"" หยางลี่พูดดังๆ รัวเร้วแบบไม่พัก แต่คนที่หายไปจริงๆ คือท่านยมหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยมีตัวตนที่นี่เลย อวี่หรงและตงเจี้ยนยังคงกอดกันยื้อยุดไปมาไม่ลืมหูลืมตาด
ท่านยมยิ้มอย่างแปลกๆ พลางยืนอยู่ตรงหน้ากับเสี่ยวหนี่ที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางความตึงเครียด เขาหยิบกระดาษเล็กๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วคลี่ออกมาช้าๆ ใบหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความมั่นใจ แต่ในแววตาของท่านยมกลับแฝงไปด้วยความเศร้าเหมือนกัน"ไม่ไปจริงหรือ" ท่านยมพูดเสียงต่ำๆ ราวกับกำลังทดสอบสิ่งที่เสี่ยวหนี่คิด "นี่คือสัญญาเจ้าอ่านมันเสีย ว่าเจ้าไม่สมัครใจที่จะไม่ไป และข้าเองก็มีข่าวร้ายจะบอกเจ้าเช่นกัน"เสี่ยวหนี่มองท่านยมอย่างงงๆ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านยมกำลังพูด คิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นท่าทางของท่านยมที่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ "จะมีข่าวไหนร้ายยิ่งกว่าการที่ข้าต้องกลับไปบ้าง" ถามเสียงเครียดท่านยมยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันหมายถึงอะไร เขาถือกระดาษ ก่อนจะเดินไปข้างๆ เสี่ยวหนี่ เขาจับกระดาษนั้นยื่นไปให้เสี่ยวหนี่ดูอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธออย่างเงียบสงบ"ร่างเดิมของเจ้าไม่มีแล้ว" ท่านยมพูดเสียงที่แหบพร่า แต่ยังคงมีความมั่นใจในน้ำเสียงของเขาเหมือนกันคำพูดนั้นทำให้เสี่ยวหนี่สะดุ้งเฮือก รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ดวงตากวาดมองไปที่ท่านยมและกระด
เสี่ยวหนี่เดินออกไปยังสวนด้านหลังวังยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินสาดส่องผ่านยอดไม้ลงมาเป็นลำทำให้ร่างเล็กในชุดบางสีอ่อนดูราวกับภาพฝัน มือของนางกำรากสมุนไพรซางลู่ไว้แน่น กลิ่นความขมจางๆ ของสมุนไพรลอยคลุ้งในอากาศ นางก้มหน้าลงมองมันก่อนจะเดินไปยังบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่มุมสวนซึ่งเป็นที่เงียบสงบ ไม่มีใครมาแถวนี้ในยามนี้เสี่ยวหนี่ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างบ่อ ท่ามกลางกลิ่นดินชื้นของยามค่ำ ร่างเล็กนั่งกอดเข่าแน่น ใบหน้าเงยขึ้นมองฟ้า สายลมพัดผ่านผมของนางปลิวไหวเบาๆ ดวงตาของนางสั่นระริก น้ำค้างเย็นเกาะตามปลายหญ้า"เป็นยังไงเป็นกัน… ข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหน" นางพึมพำเสียงเบาราวกับกระซิบกับดวงจันทร์ ริมฝีปากสั่นน้อยๆ แต่เสียงยังหนักแน่นเสี่ยวหนี่หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนสุดปอด ลมเย็นพัดเข้าไปจนหัวใจรู้สึกเหมือนจะเต้นแรงขึ้น ความกลัว ความรัก ความผูกพัน และความดื้อดึงผสมปนกันอยู่ในอก ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ดั่งคนที่ตัดสินใจแล้วราตรีนั้นเงียบจนได้ยินเพียงเสียงลม นี่คือบ้าน นี่คือครอบครัว และนี่คือโลกของนางแล้ว ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามในคืนที่ราวกับจะเงียบเชียบ เสียง








