“นายหญิงเจ้าขามีคนผู้หนึ่ง ท่าทีราวกับ ราวกับ…เอ่อ” โจวจี้เหยาพยักขมวดคิ้วจนไฝกระตุก
“รีบพูดมาเอาแต่อ้ำอึ้งเจ้ายังอยากจะได้เบี้ยหวัดของเดือนนี้ไหม” โจวจี้เหวินตวาดดังๆ มารยาทยามโมโหช่างไม่ต่างจากโจวจี้เหยามารดาของนาง
“จะจะเจ้าค่ะ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งองอาจหล่อเหลา อีกผู้หนึ่งเดินตามราวกับขันที” จี้เหวินยิ้มมุมปาก
“จะต้องเป็นคหบดีที่ร่ำรวยแน่ แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าหรือต้องการอะไรกับบ้านโจวของเรา” จี้เหยาพูดขึ้นยิ้มๆ
“เอ่อ เอ่อเขาบอกว่ากำลังหิวพอดี เดินตามกลิ่นอาหารที่หอมกระจายออกไปรอบๆ บริเวณ เขาถามข้าว่าพอจะให้เขาได้อิ่มท้องสักมื้อไหม ทั้งสองท่านยังมอบทองให้ข้าน้อยเพื่อมาขออนุญาตท่านเจ้าบ้าน”
“ทองจริงหรือไม่เอามานี่ โง่อย่างเจ้าดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม ในป่าเขาเช่นนี้ใครจะมีทอง” จี้เหวินคว้าทองจากมือคนรับใช้ไปพิศดู
“ทองจริงๆ ด้วยท่านแม่ ไปเชิญเขาเข้ามา เขาต้องการอะไรถึงนำเอาทองมาแลก ท่านแม่ท่านให้ข้าไปรับแขกดีไหม”
“ได้เลยลูกแม่แล้วอย่าลืมท่าทีอ่อนหวานงดงามที่เจ้าฝึกฝนมาเสียล่ะ ว่าแต่เขาอยากได้อะไรเจ้าได้ยินเขาบอกว่าอย่างไร”
“เอ่อ เอ่อ…ข้าน้อยได้ยินเขาพูดถึงกลิ่นอาหารที่คุณหนูรองหนี่ฮวาทำไว้ให้กับท่านจ้าวบ้านทำให้พวกเขาตามกลิ่นอาหารมาถึงนี่ คงจะหิวเจ้าค่ะ”
” อาหารนั้นน่ะหรือ เจ้าไปรีบเอามาสิแล้วตามข้าไปต้อนรับเขา ยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า! “
จี้เหวินถลึงตาใส่คนรับใช้ นางรีบวิ่งออกไปจัดแจงตักแกงแคหรืออ่อมร้อนๆ จากหม้อใส่ถ้วย รีบยกไปเสิร์ฟพร้อมข้าวสาลีหอมกรุ่น มองเห็นจี้เหวินนั่งยิ้มหวานหยดพูดคุยอย่างหญิงงามกิริยาดีกับแขกอย่างกับคนละคน จี้เหวินเห็นสาวใช้ก็ยิ้มราวกับเป็นนายหญิงผู้อ่อนหวานช่วยรับถ้วยแกงจากคนรับใช้มาวางตรงหน้าหยางลี่ฮ่องเต้
“เชิญค่ะคุณชาย แกงนี้ถึงหน้าตาจะไม่สวยงามแต่มีรสชาติดี กลิ่นหอมเพราะเต็มไปด้วยวัตถุดิบดีๆ สิ่งที่นำมาปรุงล้วนเป็นสมุนไพรชั้นยอดจากบ้านโจว ทั้งยังมีสรรพคุณมากมายด้วยเจ้าค่ะ “
“เรียนถามคุณหนู สรรพคุณที่ว่าคืออะไรหรือ” กวงซุนขันทีถามขึ้นเบาๆ
“อาหารชนิดนี้เดิม….ข้าน้อย….ทำเพื่อท่านพ่อของข้าน้อยที่ร่างกายอ่อนเพลีย กระต่ายป่า สมุนไพรและผักที่ใส่ไปในแกงสมุนไพรตระกูลโจว ทำให้เลือดลมไหลสะดวก หลับสบายและขับถ่ายได้คล่อง ท่านพ่อของข้าหลายวันมานี้ไม่ค่อยกินไม่ค่อยดื่ม ข้าน้อยจี้เหวินในฐานะลูกที่ดีก็ควรหาทางให้ท่านพ่อกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม” พูดราวกับท่องมาสิ่งที่จำมาจากคำพูดของข้าวนึ่ง สาวใช้หันไปเบ้ปากเสียอีกทาง
“นับถือนับถือ” กวงซุนขันทีประสานมือตรงหน้า
หยางลี่หยิบช้อนขึ้นมาตักเอาทั้งผักและเนื้อกระต่ายเปื่อยยุ่ยเข้าปาก รสเผ็ดพอประมาณกลิ่นหอมผิวมะกรูดในพริกแกงที่ข้าวนึ่งโขลกเองช่างหอมหวนทำเอาสมองโปร่งโล่ง สมุนไพรและผักสดๆ ที่รวมกันเป็นแกงแคที่มักจะใส่สารพัดผักหรือแกงอ่อมที่เลือกใส่ผักเข้าไปกับเนื้อสัตว์ ช่างลงตัว พุ้ยข้าวสาลีร้อนๆ ตามเข้าไปทำให้รู้สึกถึงความพอดีรสชาติของผักสดๆ กับสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมเข้ากันได้ดีอย่างผักชีลาวและผักชีใบเลื่อย
“ช่างลงตัวเสียจริงเนื้อกระต่ายก็นุ่มจนข้าคิดไม่ถึงว่าใครจะนำกระต่ายป่ามาปรุงอาหารได้ดีเพียงนี้ นอกจากการย่าง”
จี้เหวินยิ้มย่อกายลงช้าๆ ยิ้มหวานหยด
“ข้าได้ยินว่าที่นี่คือที่พำนักของตระกูลโจวพ่อค้าเครื่องเทศที่นำเครื่องเทศผ่านเส้นทางสายไหมยังภูมิภาคต่างๆ แล้วต่างแคว้นจึงอยากจะคารวะท่านเจ้าบ้านสักครั้ง” หยางลี่พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมยิ่งนักหลังจากที่อิ่มหนำ
“ท่านพ่อในรอบปีมานี้ป่วยไข้ไม่ได้นำเครื่องเทศแวะเวียนไปที่ใด มีเพียงวังหลวงที่ยังรับเครื่องเทศจากบ้านโจวของเรา หากคุณชายอยากจะพบท่านพ่อข้าจะพาคุณชายไปเดี๋ยวนี้”
เดินนำหยางลี่เดินเอามือไพล่หลัง ตามไปพร้อมกับกวงซุนขันที
“ท่านพ่อมีพ่อค้ารอนแรมคนหนึ่งมา ที่บ้านโจวของเรา จี้เหวินต้อนรับขับสู้แทนท่านแล้วแต่คุณชายท่านนี้ยังอยากจะพบท่านพ่อ”
จี้เหวินพูดขึ้นก่อนที่จะเปิดม่านที่กั้นแท่นนอนหรูหราไว้ เหมือนกับการเกริ่นนำ
“มีความจำเป็นใดกันจึงอยากพบข้า แค่กๆ” ส่งเสียงผ่านม่านหนาออกมา
“ข้าน้อยหยางลี่แค่แวะมาคารวะ เดินทางรอนแรม หิวโซได้อาหารรสเยี่ยมของบ้านโจวประทังชีวิต จึงอยากมาขอบคุณท่านจ้าวบ้าน สักครั้ง ได้ยินว่าบุตรีของท่านเป็นคนทำอาหารรสเลิศนั้นด้วยตัวเอง ข้าน้อยยิ่งอยากจะพบท่านโจวเพื่อขอบคุณ ที่ท่านจ้าวบ้านโจวสั่งสอนบุตรีได้ดีเพียงนี้”
“หยางลี่” โจวหลิ่วเยว่ขยับตัวในท่านั่งเปิดม่านออกด้วยมืออันสั่นเทา
“อะ” พอพบหน้าร่างชราก็เข่าอ่อน พยายามจะขยับตัวลงไปนั่งกับพื้นแต่หยางลี่ที่ไวกว่ารีบเข้ามาประคอง
“ข้าน้อยหยางลี่มาครั้งนี้เพื่อล่าสัตว์ ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าบ้านโจว” โจวหลิ่วเยว่ ประสานมือตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“เป็นบุญแล้วที่…ฝะ…”
“คุณชาย…ข้าคือ….คุณชายหยางลี่” กวงซุนกงกงยิ้มพูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับประสานมือตรงหน้า
“ท่านจ้าวบ้านอย่าถือสาเรามาด้วยความไม่พร้อมเท่าไหร่..ไว้โอกาสหน้าถ้าได้แวะมาอีกครั้งจึงจะได้ ทักทายกันได้ครบถ้วนกว่านี้”
“โจวหลิ่วเยว่ยินดีอย่างยิ่ง” ประสานมือตอบ
“บุตรีของท่านทำอาหารรสเยี่ยมข้ากำลังคิดว่าอาหารในวังยังเทียบไม่ได้กับอาหารเลิศรสที่นี่ แม่นางน้อยบุตรีท่านควรจะได้รับการฝึกปรือฝีมือและได้ร่ำเรียนตำราอาหารเก่าแก่ของราชวงค์ซุ่ย เพื่อจะได้มีความเชี่ยวชาญกว่านี้ หากข้าจะมอบโอกาสนี้หวังว่าท่านจ้าวบ้านจะไม่ขัดใช่หรือไม่” หันไปทางจี้เหวินที่ก้มหน้าซ่อนยิ้ม
โจวหลิ่วเยว่ทำสีหน้าเคร่งเครียด
“คงต้องของไตร่ตรองเสียก่อนข้ายังรับปากไม่ได้ตอนนี้ แต่ขอบคุณ….คุณชายยิ่งแล้ว”
หยางลี่ประสานมือ
“ข้าคงต้องกล่าวลาไว้ท่านจ้าวบ้านยินดีรับโอกาสเพื่อบุตรี จึงค่อยส่งข่าวถึงข้า ข้าเองยินดีเสมอ”
จี้เหวินยิ้มสดใส คิดแค่เพียงจะได้รับโอกาสจากบุรุษหนุ่มหล่อเหลาราวเทพสวรรค์หารู้ไม่ว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
“ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางราบรื่น”ฮูหยินจี้เหยากล่าวคำลากวงซุนขันทียื่นถุงเงินให้กับฮูหยินโจวอีกครั้งจี้เหวินที่ย่อการลงงดงามอย่างที่สุดหยางลี่กับกวงซุนขันทีจากไปแล้ว จี้เหวินถอนหายใจ ปล่อยมือที่ยกขึ้นมาระดับเอวให้ดูมีกิริยาดีลงข้างตัวพูดด้วยเสียงอันดังไม่สะกดกลั้นความรู้สึกแม้แต่น้อย“ข้าแทบจะกระอักเลือดตายกับการที่ต้องวางท่าให้ดูสง่างามราวกับหญิงสาวชาววัง”“ทนเอาหน่อย เจ้าปีนี้20แล้วยังไม่ได้ออกเรือนแขกไปใครมาเจ้าวางท่าตามอย่างที่แม่สอน ไม่นานจะต้องมีคนมาตกหลุมพลางที่เราขุดขึ้นมากับมือ”“ท่านแม่แล้วคนเขาจะไม่รู้หรือว่าเราหลอกลวง”“จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วถึงเวลานั้นก็ช่างมันเถอะ”ฮูหยินโจวยิ้ม มุมปาก“นายหญิงเจ้าขา นายท่านเรียกนายหญิงกับคุณหนูใหญ่เข้าพบเจ้าค่ะ”“น่าเบื่อจริงข้านะน่ะไม่อยากต้องมาหาคำแก้ตัว”โจวจี้เหยาบ่นงึมงำ“ก็พูดความจริงไปสิเจ้าค่ะท่านแม่ท่านพ่อไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่งแรงจามยังไม่มีจะทำอะไรพวกเราได้”โจวจี้เหยาเดินนำจีเหวินเข้าไปข้างในห้องนอนของดจวหลิ่วเยว่ ยังไม่ทันจะถึงตัวด้วยซ้ำเสียงเข้มก็พูดดังๆขึ้นมา“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พวกเจ้าคิดว่าจะหลอกลวง
ใบหน้าหล่อเหลาของหยางลี่ที่ตอนนี้ดูมีราศีสดชื่นมากกว่าเก่าเลิกคิ้วขึ้นมองซ้ายมองซ้ายมองขวาหาที่มาของกลิ่นหอมของปลาย่างที่ลอยมาตามลม หันไปทางกวงซุนที่กระตุกม้าตามมาข้างๆ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า“เดิมที่นึกว่าได้ออกมาข้างนอกจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่ไหนได้เขาลูกนี้คงเป็นแหล่งรวมอาหารหรือว่าหอโอชารส ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมที่ลอยมาเป็นทหารของเราแอบออกมาย่างปลากินรึป่าว”หยางลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาม้าเหยาะย่างลัดเลาะตามกลิ่นหอม เมื่อเข้าใกล้ริมน้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสี่ยวหนี่กระชากปลาตัวใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ เป็นคุณหนูจากที่ไหนสักแห่งกำลังจับปลาอย่างเมามันไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอน ท่าทางทะมัดทะแมง ภาพที่หยางลี่เห็นจึงชวนขัดตาขบขันไม่น้อย หยางลี่ลงจากหลังม้า กวนซุนขันทีที่รีบตามมากำลังจะกล่าวทักแต่เสี่ยวหนี่หันขวับมองเสี่ยวอี้ทำปากพูดอย่างไร้เสียงว่า “ใครวะ?” เสี่ยวอี้รีบส่ายหัวทันทีทำปากขมุบขมิบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่หันกลับมาฉีกยิ้มหวานยกมือขึ้นประสานตรงหน้า“เป็นท่านนี่เองเลื่อมใสมานาน นับถือๆ วันนี้ได้พบหน้าช่างเป็นโชควาสนาอย่างยิ่ง มิคาดว่าฟ้าลิขิตให้เราได้มาพบกันในวันนี้”
“ปลาชนิดนี้ปกติแล้วในวังหลวงจะไม่นิยมกินเพราะมีก้างมาก แต่ข้าจำได้ว่าปลาตะเพียนมีรสหวานหอมต่างจากปลาชนิดอื่น แม้จะคาวน้อยกว่าแต่ก็ยังถือว่ามีก้างมากจึงเป็นจุดด้อยของปลาชนิดนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่ของปลาเนื้อแน่นเช่นนั้นการนำมาประกอบอาหารจึงรู้สึกด้อยลงไปไม่เหมือนปลาชนิดอื่นแต่ในวันนี้แม่นางน้อย นำพริกเสฉวนมาปรุงรสทำให้เนื้อปลามีความโดดเด่นแม้ปลาจะกินยากไปหน่อย แต่ความยากของการเลาะเอาก้างออกเพื่อที่จะได้ชิมรสชาติของปลาสดๆ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านี่เองคือหัวใจของอาหารอร่อย “หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยคำพูดของขันทีกวงซุน เสี่ยวหนี่ตะลึงตาค้างตบมือดังๆ ให้กับคำพูดของขันทีกวงซุน“โห่ หลักการสุดๆ เป็นกรรมการมาสเตอร์เชฟป่าวนี่ นับถือๆ แบบนี้เชิญกินได้ตามสบายข้าละชอบจริงๆ คนที่รู้คุณค่าของอาหารและสามารถพูดชมได้อย่างมีศิลปะ ““จริงๆ นะเจ้าค่ะคุณหนู หือปลานี่อร่อยจริงๆ เสี่ยวอี้ไม่เคยกินปลาที่ไหนอร่อยเท่ากับปลาย่างฝีมือคุณหนูมาก่อน”“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เท่าไหร่ๆ พูดแบบนี้ข้าก็เขินสิ “คนทั้งหมดล้อมวงกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่หยางลี่จะขอตัวกลับเสี่ยวหนี่ยังแบ่งปลาตะเพียนตัวใหญ่ เสี่ยวหนี่ดึงปลาอ
“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน” เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้ “อย่างไร ไม่ให้เรียกท
” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าวเสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาวคราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่นเสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร“เจ้าไม่ใ
"มื้อนี้ก็เป็นเจ้าเป็นคนทำเองหรือ? หนี่เอ่อร์" ท่านพ่อถามขึ้น เสี่ยวหนี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า"จะว่าคนเดียวก็ไม่ถูกนักมีเสี่ยวอี้ช่วยเป็นลูกมือข้าเจ้าค่ะ ข้าไปตกปลากับเสี่ยวอี้ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่เพื่อให้ท่านพ่อได้กินอาหารอร่อยๆ และดีต่อสุขภาพด้วย “เมื่อโจวหลิวเยว่ได้จ้วงช้อนลงไปตักเต้าหู้ขึ้นมาพร้อมน้ำซุปร้อนๆ เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มจนแทบจะละลายในปาก เมื่อได้ซดน้ำซุปข้นๆ ที่หอมขิงอ่อนๆ ตามไปคิ้วที่ขมวดกลับคลายออก "น้ำซุปข้นกำลังดี เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มข้างในยังเข้มด้วยรสชาติหวานหอมไร้กลิ่นคาว “รสหวานนั้นได้มาจากการเคี่ยวหัวปลาและดึงความหอมหวานส่งต่อเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ รสชาติเต้าหู้จึงหอมหวานกลมกล่อม ขิงช่วยทำให้กลิ่นคาวหายไปส่วนปลาสามรส เมื่อโจวหลิวเยว่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อปลาออก กลิ่นหอมยิ่งแตะจมูกเนื้อข้างในฟูขาวแต่ข้างนอกกรอบเหลืองสวยกำลังดี เพียงกัดไปคำเดียวก็พยักหน้าซอสรสหวานเปรี้ยวและเค็มและเผ็ดนิดๆ ที่ซึมเข้าสู่เนื้อปลาทุกอณู กลายเป็นรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัว"รสชาตินี้ยากจะมีใครเหมือน"เสี่ยวหนี่ยิ้มกว้าง แม้ว่าจะยังไม่ได้เป็นแม่ครัวที่เก่งกาจนัก แต่การได้เห็นคนสำคัญของตนมีค
กระทั่งฟ้ามืดหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนกลับมาถึงค่ายพักช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ร่างสูงในชุดดำเดินผ่านแนวทหารเวรยามอย่างเงียบขรึม ในมือยังถือกล่องไม้ชั้นเดียวสำหรับใส่อาหาร หากกลิ่นหอมของข้าวและปลาสามรสภายในกลับลอยแตะจมูกแม้ผ่านกล่องไม้หยางลี่ก็นั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมยข้างกระโจมใหญ่เหมือนกันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่คมทอดมองตงเจี้ยนที่เดินเข้ามาหาเงียบๆ โดยไม่กล่าวทักทาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะตัวตงเจี้ยนหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือของตงเจี้ยน มองย่างพินิจพิเคราะห์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าไปเจออะไรน่าสนใจมาหรือ” น้ำเสียงเรียบเย็นของหยางลี่เอ่ยถามขึ้นขณะมองตรงไปยังกล่องอาหารตงเจี้ยนประสานมือ “ของฝากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท… แม่นางน้อยผู้หนึ่งจากตระกูลโจวให้ข้ามา นางกลัวว่าข้าจะหิวระหว่างทาง”คำตอบนั้นทำให้หยางลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด หยางลี่หลุบตาลงช้าๆ คิดถึงเสี่ยวหนี่ขึ้นมาคำพูดของเสี่ยวหนี่ที่กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างทาง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะและถ้อยคำแปลกหูของจอมยุทธน้อยที่ยังรู้สึกประทับใจ แต่กลับเป็นอีกคนที่แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นบุ
เมืองโจวเมืองโจวในหุบเขาตะวันตกเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในแผนที่ของแคว้น แต่กลับมีเสน่ห์เกินใคร ผืนไร่ชาที่ไล่เรียงลดหลั่นตามแนวเนินเขา กลิ่นหอมของใบชาที่เพิ่งเด็ดสด ๆ คลุ้งไปกับลมเย็นจากป่าเขาที่โอบล้อมอยู่รอบเมืองลำธารใสไหลผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วอยู่เหนือยอดไม้ และทุกยามเช้า ชาวบ้านก็จะสวมหมวกฟาง เดินเข้าสวนชา หรือออกไปเก็บสมุนไพรและเครื่องเทศตามฤดูกาล บรรยากาศสงบสุข ราวกับโลกภายนอกไม่เคยแตะต้องณ กลางเมืองนั้นเอง คือคฤหาสน์ตระกูลโจว เรือนไม้หลังใหญ่ราวกับจวนอ๋องกระนั้นที่ทอดยาวลึกเข้าไปจนสุดเนินเขา ล้อมรอบด้วยสวนหิน ธารน้ำพุร้อนไหลผ่าน และซุ้มดอกไม้ กลิ่นหอมของบุปผาและเครื่องเทศอบอวลในอากาศไม่เคยจางในสวนหลังบ้าน ตรงเรือนพักกลางที่ล้อมด้วยเถาองุ่น จ้าวบ้านใหญ่ของเมือง—โจวหลิวเยว่ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มน้ำชาร้อนจากถ้วยแก้วบาง แม้สีหน้าจะอ่อนล้า แต่ดวงตาของเขากลับอ่อนโยนขณะมองดูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังรดน้ำผักริมรั้วไม้เตี้ยๆ ร้องเพลงดังของลิซ่าแบล็กพิงค์อย่างสนุกสนานหลายวันมานี่โจวหลินเยว่กลับรู้สึกว่าบุตรีคนรองที่เคยเงียบขรึมอาจจะเพราะนางถูก
จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังมาเร็วๆ จากข้างใน แล้วร่างสูงโปร่งในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ท่าทางรีบร้อน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ว่าแล้วเชียวทำไมท่านตงเจี้ยนจึงให้เอาเงินไปให้ที่โรงเตี๊ยมอวี้ฮวาถังที่แท้ก็เอาไปเลี้ยงหญิงงามนี่เอง“อ้าวพี่ตง! ท่านกลับมาแล้วรึ ข้า... เป็นห่วงแทบแย่! ได้ข่าวว่าท่านออกเวรกลางคืนแล้วหายไปนาน! ดูสิกลิ่นสุราหึ่งเลยทำไมท่านไม่เอากลับมาฝากข้าบ้างเล่า อ้อ ข้าจำได้แล้วแม่นางน้อยจากนางในห้องเครื่องฝึกหัดนี่เอง แหม๋มมม ช่างร้ายจริงๆนะ ข้าบอกปุ๊บท่านก็ไปพานางมาปั๊บ ไม่ต้องห่วงๆ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เฉิงอวี้ผู้นี้เก็บความลับเก่งที่สุด”เสียงเฟิงอวี้เฉิงดังลั่น ราวกับเด็กน้อยที่ดีใจเห็นพี่ชายกลับมาจากเดินป่า ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เฟิงอวี้เฉิงรู้ โลกรู้ ส่งซิกด้วยสายตา จ้องตาเฟิงอวี้เฉิงและยกมือขึ้นลูบจมูกสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณว่า….หุบปาก….ที่รู้กันเฉพาะตงเจี้ยนกับเฟิงเฉิงอวี้เฟิงอวี้เฉิงรับรู้ทันที พยักหน้าหงึกๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อย หันมาเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็หน้าซีดไปแวบหนึ่งรีบกล่าวกับหยางลี่อย่างนอบน้อม“ท่าน...แขกของพี่ตงหรือขอรับ? ขออภัยที่ข้าเสียงดั
ยามชวีคล้อยไปแล้ว ดวงจันทร์สูงลิบเหนือฟ้า เรือนพักของนางในฝึกหัดสกุลโจวตั้งอยู่ชานพระตำหนักด้านในสุดเงียบงัน ไม่มีเสียงขานรับ ไม่มีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมา นอกจากแสงตะเกียงเล่มน้อยในมือของหรูซินสาวใช้คนสนิทของกุ้ยเฟยชวีหยา“เงียบเกินไปไม่แน่ว่าจะมีคนหรืออาจ…กำลังกกกอดกันอยู่” ชวีหยาพูดเบาๆ พลางทอดสายตามองแสงเงาของต้นหม่อนที่ทอดทับบนพื้นอิฐสะกดอารมณ์ขุ่นมัวในใจ“ไปเคาะประตู” นางเอ่ยเสียงนุ่มสาวใช้เดินเข้าไปเคาะเบา ๆ ที่ประตูไม้ก๊อก ๆ ๆสักพักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามา บานประตูเปิดออกอย่างระวัง เผยให้เห็นจี้เหวินในชุดนอนบางเบา ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มแต่กระนั้นก็งดงามสดใสมีส่วนคล้ายเสี่ยวหนี่ไม่น้อย ดวงตายังพร่ามัวเล็กน้อยจากการถูกปลุกจากการหลับใหลกะทันหัน“ท่านเป็นใคร...? มาเคาะประตูอยู่ได้ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่คือเรือนพักของนางในฝึกหัดยามนอนห้ามใครรบกวน” จี้เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นเครื่องประดับมุกทองบนศีรษะของอีกฝ่าย สีหน้าก็เปลี่ยนวูบ ร่างกายรีบโค้งต่ำแทบจะคุกเข่า“ขะ…ขอประทานอภัยเพคะกุ้ยเฟย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะแวะมาในยามดึกดื่นเช่นนี้”“ยามชวี” ชวีหย
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ
“ข้าขอตัว” เดินลงมาด้านล่างสั่งคนลากรถให้กลับไปที่จวนอารักขานำเงินจาก อวี้เฉิงมาเพิ่ม สองคนนั้นกินเหมือนงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งใหม่ทั้งๆ ที่ผ่านมื้อเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอทำราวกับล้างท้องมากระนั้น…ท่านน้าเหม่ยซูเข้มงวดจนพวกนางต้องอดอยากเพียงนี้เชียวหรือมองภาพฝ่าบาทที่ยกสุราให้เสี่ยวหนี่ตรงหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ตงเจี้ยนก็ได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ อีกครั้ง ฝ่าบาทผู้ไม่พกเงินพรุ่งนี้เขาจะกล้าไปทวงเงินที่ต้องจ่ายวันนี้ไหม คงต้องคุยกับกรมคลังขอเบิกงบสำหรับสนับสนุนด้านนันทนาการกับฝ่าบาทเสียแล้วอาหารทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะในถาดไม้ กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยมาพร้อมกับไอร้อนจากซุปกระดูกไก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อถูกวางลงในเข่งไม้ไผ่ร้อน ๆ ด้านบนมีน้ำซุปรสกลมกล่อมซึมซาบถึงใจปลาหิมะย่างใบเก๋ากี้มีกลิ่นหอมของชาไหม้จางๆ จากถ่านชา เนื้อปลาสีขาวนวลทาเคลือบด้วยซอสใสหวานเค็ม เนื้อวัวตุ๋นถูกวางบนถาดเหล็กร้อนฉ่า กลิ่นพริกหอมผสมพุทราเคี่ยวส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ทำให้จินตนาการรสชาติว่าคงหวานหอมเนื้อวัวตุ๋นก็คงนุ่มจนละลายในปากเสี่ยวหนี่กัดคำแรกของเกี๊ยวทอดไส้ปู แล้วตาโต“อืมมม! ไส้แน่นมากกกก กลิ่นปูชัด ซอสไข่เค็มเค
“วันนี้ข้าจะเลี้ยงนางเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีได้พกเงินปกติทุกครั้งไปไหนจะมีขันทีกวงซุนคอยจ่ายให้ เจ้าพกเงินมาไหม เอาเงินของเจ้าเลี้ยงนางแต่บอกว่าข้าเลี้ยงจะได้หรือเปล่า”ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆจะบอกว่าไม่ได้ก็จะได้หรือบัญชาฝ่าบาท“พ่ะย่ะค่ะ”“พาไปที่ร้านประจำของข้าที่เมืองหลวง… เจ้ารู้ใช่ไหม ร้านที่อยู่ฝั่งทิศใต้ตรงข้ามโรงเตี๊ยมสกุลหลิน”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ตงเจี้ยนยิ้มมุมปาก“เจ้าสองคนนี่แปลกจริง ๆ หายไปทีเดียวสองคน นึกว่าจะลุกไปหนีหนี้เสียแล้วหรือว่าแอบไปนินทาข้า” เสี่ยวหนี่ว่าพลางกระดกถ้วยสุรา สองข้างแก้มแดงระเรื่อจากแอลกอฮอล์อ่อน ๆ หยางลี่เดินเข้ามาพลางส่งสายตาขำ ๆ“ถ้าเราจะหนีหนี้ คงไม่ชวนเจ้าไปกินอาหารที่แพงกว่านี้หรอก”ทั้งสองคนอมยิ้มพร้อมกัน“พวกท่านจะเลี้ยงข้าหรือแหมลาภปากใจดีที่สุดสหายร้ากกกกก” เสี่ยวหนี่ทำตาโต “คืนนี้…ร้านที่เราจะไป เป็นร้านที่คนธรรมดายังต้องจองล่วงหน้าหลายวันนะ” ตงเจี้ยนยิ้ม “จริงรึ อย่างนั้นเราก็คนพิเศษสินะ ข้าไป! สุราดี ๆ กับอาหารเลิศรส ข้าไม่เคยปฏิเสธหรอก” เสี่ยวหนี่แทบลุกพรวดทันที “คุณหนูเจ้าขาไหนบอกว่าออกมาไม่นานเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้ท้วง“น่าไม่เป็นไรหรอก ข้าด
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ“ไปก็ไป แต่คุณหนูสัญญานะเจ้าค่ะว่าจะรีบกลับและจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย” เสี่ยวหนี่เขย่ามือเสี่ยวอี้อย่างแรง“ข้าสัญญา”ไม่นานนัก ร่างสองร่างก็แอบลอบลอดเงาไม้อาศัยเงามืดพรางตัว พ้นจากเรือนฝึกหัดออกมาได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งมืออาชีพวังหลวงกลางคืนแม้จะสงบ แต่ตรอกเล็กข้างนอกก็ยังมีแสงไฟสลัว ๆ ลอดออกมาจากร้านรวง พ่อค้าบางเจ้ายังไม่ยอมเก็บร้าน กลิ่นหอมของหมูย่าง น้ำซุปเคี่ยว เครื่องเทศอบอวลผสมกลิ่นสุราอุ่น ๆ ลอยเข้าจมูก“อือหือ… กลิ่นนี้! สวรรค์บนดินชัด ๆ” เสี่ยวหนี่ทำตาโต“คุณหนูเจ้าขามื้อเย็นก็กินไม่น้อยมาถึงตอนนี้ยังกินได้อีกหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้อดบ่นไม่ได้ เสี่ยวหนี่ถอนหายใจปกติแล้วยามเลิกงานจากร้านอาหารเสี่ยวหนี่มักจะออกมาหาอะไรกินกับเพื่อนและพี่ที่ทำงานจนกลายเป็นเคยตัวทั้งกินทั้งดื่มแล้วกลับไปนอนทั้งสองเดินดุ่มเข้าไปในร้านแผงลอยที่ตั้งเรียงกันใกล้ทางสี่แยกเล็ก ๆ มีทั้งซาลาเปาสอดไส้หอมกรุ่นไอร้อนยังลอยวน บะหมี่สดต้มในน้ำซุปกระดูกไก่ใส่หัวไช้เท้า ต้มจนน้ำใสเส้นบะหมี่เองก็ใสแจ๋ว ข้าวต้มปลา และขาหมูทอดราดน้ำซอสปรุงหวานเค็มแต่ก่อนที่เสี่ยวหนี่จะทันนั่งลง ร่างของคนสอง
ใต้ต้นหลิวอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ไกลจากแสงไฟนัก เงาร่างระหงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนสงบเงียบเหม่ยซู หัวหน้าผู้ฝึกสอนประจำตำหนักห้องเครื่อง สวมชุดคลุมผ้าสีทึบทาบทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยืนพิงต้นหลิวแสงจันทร์ยามค่ำเสียงลมเย็นพัดผ่าน.สายตาของเหม่ยซูทอดมองไปยังโต๊ะอาหารใต้แสงไฟตรงกลางลาน หญิงงามวัยแรกรุ่นเจ็ดคนล้อมวงอย่างอบอุ่น เสียงหัวเราะสลับกับเสียงตะเกียบกระทบชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ ปะปนไปกับกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาเป็นระยะ เมื่อสายตาของเหม่ยซู่ตกมายังร่างเล็กที่กำลังยิ้มกว้างขณะคีบข้าวให้เพื่อน คือ เสี่ยวหนี่ เหม่ยซูก็เผลอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเรือนอารักขาตงเจี้ยนนั่งจิบชาเดินหมากกับองค์หญิงสิบสี่ถังเจี้ยนอันหรู ที่สวมอาภรณ์ราวกับบุรุษ อีกทั้งผมที่รวบเหล้าไว้กลางหัวก็ยังเกล้าจนสูงข้างกายมีกระบี่ที่ประทานให้ด้วยมือของหยางลี่ฮ่องเต้“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะแล้ว องค์หญิงเลิกกวนใจข้าได้แล้ว ท่านต้องไปเสียที ข้าชนะถึงสามตารวดตามที่สัญญาแล้วข้ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการฝึกขี่ม้าให้ทำมากมายไม่มีเวลาเล่นสนุกกับท่านหรอก” อันหรูทำหน้าเง้าดวงตากลมโตมีแววตาสลดลง“ท่านขี้โกงนี่ คนเช่นไรจึงเดินหม
ข้างหน้านั้น ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ของเฟิงหราน เมื่อเสี่ยวหนี่ใช้ตะเกียบในมือคีบเนื้อไก่ขึ้นมาเคี้ยว เสี่ยวหนี่ก็ต้องซดน้ำซุปตามทันทีด้วยความเผ็ดร้อนของพริกแกงจากแดนใต้“โอ๊ย! เผ็ดแสบปลายลิ้น!”“นี่ข้ายังใช้พริกแค่ครึ่งกำมือเองนะ ถ้ากินที่บ้านข้า ต้องเหงื่อตกตลอดมื้อ นี่ข้าลดจำนวนพริกลงไปบ้างเพราะรู้ว่าพวงเจ้าอ่อนหัดยังไงล่ะ” เฟิงหรานหัวเราะเบาๆ “รสจัดจ้านจริงๆ! แต่ก็อร่อยแบบแปลกใหม่… มีกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้น”“พริกเขียวดองกับถั่วหมัก ข้าใส่ผสมเข้าไปด้วย” เฟิงหรานตอบเรียบๆ ขณะตักข้าวเข้าปากไม่หยุดหยางชินอวี้ยื่นชามเล็กใส่ เต้าหู้สอดไส้หมูสับกับเห็ดหอม มาให้อย่างมีมารยาท เสี่ยวหนี่รับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลองชิมอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับเอารสชาติให้ได้มากที่สุดเพราะเป็นอาหารรสอ่อนเนื้อเต้าหู้เนียนนุ่มละลายในปากจริงอย่างนางว่าเลย กลิ่นหมูสับละเอียดผสมเห็ดหอม เมื่อกินพร้อมซอสราดบางๆ ที่มีกลิ่นน้ำมันงา กลับให้รสหรูหรานุ่มนวล “เหมือนกินอาหารเปิดงานในงานเลี้ยงเลย… มีกลิ่นแบบพิเศษที่อบอุ่นดี”“เต้าหู้ชั้นยอดก็ต้องอร่อยเป็นธรรมดา วัตถุดิบพวกนี้ข้านำมาจากบ้านหยางเป็นมรดกตกทอดของเรา หากไม่ใช