กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล นี่มันกลิ่นอาหารชนิดไหนกัน
“กงกงกวงซุนท่านได้กลิ่นอะไรไหม”
ขันทีกวงซุนใช้จมูกสูดดมหากลิ่นที่ว่า หันซ้ายหันขวามองหาที่มา
“ไม่ได้กลิ่นพ่ะย่ะค่ะ”
“กงกงท่านคงต้องไปพบหมอหลวงแล้วหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะตามกลิ่นหอมนั่นไป”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นั่นอาจเป็นปีศาจที่ใช้อุบายล่อหลอกให้ฝ่าบาทไปติดกับพวกมัน” หยางลี่ส่ายหน้าไปมากับความคิดพิเรนทร์ของขันทีกวงซุน ปีศาจหรือจะมีได้อย่างไรกันในเมื่อท้องร้องเพียงนี้กลิ่นหอมนั่นได้กลิ่นแล้วยั่วน้ำลายไม่น้อย
“ไม่ไปก็อยู่รอที่นี่ ข้าไปเพียงลำพัง”
ด้านหลังเนินเขาที่หมู่บ้านใหญ่เร้นกายมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคหบดีที่ยิ่งใหญ่อย่างโจหลิวเยว่ ทั้งยังมีฮูหยินน้อยใหญ่อีกถึง12คน แต่มีบุตรีเพียงสองจากฮูหยินใหญ่และอนุคนโปรด
“เสี่ยวหนี่ดูเจ้าสิ ทำอะไรกินกลิ่นถึงได้โชยไปจนข้าคลื่นเหียน” จี้เหยากับจี้เหวินแม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาของเสี่ยวหนี่ พาตัวเองเข้ามาหยุดยืนเอามืออุดจมูกเมื่อได้กลิ่นอาหารของเสี่ยวหนี่ที่มีหน้าที่ทำเป็นประจำ
“อาหารชนิดนี้เรียกว่าอะไร ทำไมกลิ่นเหม็นสิ้นดี”
“แกงสมุนไพรหรือแกงแค หรือจะเรียกแกงอ่อมไม่สิแกงใส่ผักน้อยกว่า ข้าไม่ได้ทำให้พวกท่านกินนี่ อาหารชนิดนี้ทำเพื่อท่านพ่อที่ร่างกายอ่อนเพลีย สมุนไพรและผักที่ใส่ไปในแกงแคกระต่ายป่านี้จะทำให้เลือดลมไหลสะดวก หลับสบายและขับถ่ายได้คล่อง”
เสี่ยวจี้เดินฮัมเพลงเข้ามาพร้อมกับตะกร้าสานที่เต็มไปด้วยเห็ดหอมสดๆ เมื่อเห็นสองแม่ลูกตระกูลข้าวจี่ก็ผงะเล็กน้อยรีบเดินชิดริมไปหาเสี่ยวหนี่
“คุณหนูรองเจ้าขา เห็ดก็ใส่ในน้ำแกงชนิดนี้ได้หรือเจ้าคะ”
“ได้สิ เจ้ามีผักชนิดไหนอยากจะใส่ก็ใส่ลงไป ขั้นตอนแรกจะต้องคั่วเนื้อสัตว์ที่เจ้าใส่ลงไปก่อนพร้อมกับพริกแกงให้หอมเสียก่อนปล่อยให้น้ำเดือดเคี้ยวสักพักแล้วค่อยใส่ผักที่ชอบและมีกลิ่นหอม”
“เจ้าใส่อะไรลงไป แล้วพริกแกงที่เจ้าว่าคืออะไร” ฮูหยินใหญ่ถามเพราะสงสัยสิ่งที่เสี่ยวหนี่พูดมาไม่เคยได้ยินหรือรับรู้มาก่อนเลย
“ก็คือพริก กระเทียม ตะไคร้ ผิวมะกรูด และข่า”
“ปวดหัวกับนาง ตั้งแต่บาดเจ็บคราวนั้นก็ไม่ควรคุยกับนางให้มากความ ราวกับว่าพูดกันคนละภาษา นางทำอาหารที่ไม่เคยมีใครทำแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น” สองแม่ลูกตระกูลข้าวจี่ส่ายหน้าไปมาอย่างระอา
“เพราะบิดาเจ้ากลับมาหรอกนะ ข้าถึงปล่อยเจ้าไป” เหมือนจะเป็นบุญคุณนะไม่ปล่อยก็ใครเคยว่า
“คงต้องล่วงเกินท่านแล้ว (ก็มาดิคร้าบบบ) ”
เสี่ยวหนี่ยิ้ม หากไม่เพราะโจวหลิวเยว่คาดโทษ สองคนนี้คงยังรังแกเสี่ยวหนี่เหมือนเดิม ก็เสี่ยวหนี่คนนั้นอ่อนแอมาตลอดแต่มาตอนนี้ถึงจะเห็นว่าเป็นเสี่ยวหนี่แต่ข้างในคือข้าวนึ่ง กว่าจะปรับตัวกับที่นี่ต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์ถึงจะได้ปลงว่า ดีที่ไม่ตายถึงจะย้อนอดีตมาเจอแม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายและบิดาที่ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ก็ดีอย่างน้อยโจหลิวเยว่ก็มาคอยปรามสองคนแม่ลูก
“แล้วเจ้าทำอะไรให้ข้ากับท่านแม่กินเที่ยงวันนี้” เสี่ยวหนี่ยิ้มส่ายหน้าไปมาของดีดสำหรับคนดีดีเท่านั้นพวกเจ้าไม่คู่ควร
“อยากกินอะไรเล่า ข้าให้เสี่ยวอี้ทำก๋วยเตี๊ยวให้ท่านทั้งสอง วันนี้ข้าจะออกไปตกปลาที่ลำธาร ข้าเดินผ่านเมื่อวานปลาเยอะมาก ได้เบ็ดดีดีสักคันคงได้กินปลาตัวโต”
เสี่ยวหนี่ตักแกงแคใส่ถ้วยแล้วยกหม้อลงมาวาง เสี่ยวอี้รีบเอาถาดที่มีข้าวสุกอีกถ้วยมารับเอาแกงแคที่หอมกลิ่นสมุนไพรทั้งผักชะอม ผักคราดหัวแหวน ผักชีใบเลื่อย ผักชีลาว มะเขืออ่อน ถั่วฝักยาวและเห็ดหอม เนื้อกระต่ายเปื่อยนุ่มดับกลิ่นด้วยสมุนไพร แค่กลิ่นก็ทำน้ำลายสอ ข้าวสวยร้อนๆ เถอะ
จี้เหวินกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหิว เสี่ยวหนี่เดินไปที่ผนังห้องหยิบเบ็ดมากำไว้ไม่สนใจสองแม่ลูกอีกต่อไป
“เจ้า ทำไมเจ้าถึงได้ไม่เจียมตัวแบบนี้ปกติเจ้าจะต้องเป็นคนยกสำรับให้ข้ากับคุณหนูใหญ่” เสี่ยวหนี่ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
“เสี่ยวอี้ยกข้าวไปให้ท่านพ่อแล้วตามข้าไปที่ลำธาร ข้าหยิบเกลือมาแล้วเราสอง
คนย่างปลากินที่ลำธาร”
ไม่สนใจว่าจี้เหยาจะโมโหแค่ไหน ในเมื่อโจหลิวเยว่อยู่บ้านคำสั่งของนางจึงไร้ผล นึกเสียดายว่าบิดาของเสี่ยวหนี่กลับมาช้าไป ไม่อย่างนั้นก็อาจช่วยเสี่ยวหนี่ได้นางจึงอาจไม่ต้องตายและบางทีข้าวนึ่งก็จะได้ไม่ต้องมาที่นี่
“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง” เสี่ยวอี้รับคำส่วนสองคนแม่ลูกยืนกัดฟันอยู่ตรงนั้น
“มันเหิมเกริมค่ะท่านแม่” จี้เหวินหันกลับมาชี้มือฟ้องตามตูดเสี่ยวหนี่
“ปล่อยไปก่อน ท่านพ่อไม่อยู่เมื่อไหร่ นั่นคือเวลาของเรา”
“ยังคิดว่าจะจัดการกับนางลูกอนุนั่นได้อีกหรือ หลายวันนี้ข้ามองเสี่ยวหนี่นางเหมือนไม่ใช่เสี่ยวหนี่คนเดิม สายตาของนางไม่ได้หวาดกลัวเราเหมือนเดิม”
“อาจจะเพราะท่านพ่อของเจ้ากลับมานางเลยได้ใจ เอาแบบนี้เราสงบศึกกับนางสักพัก รอให้ไม่มีท่านพ่อเสียก่อน” จี้เหยาหรี่ตาลงเหยียดยิ้มมุมปาก
“ท่านแม่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่าปล่อยให้นางพองขนไปก่อน ท่านพ่อเจ้าป่วยจนต้องกลับมาพักที่บ้านเช่นนี้ เกรงว่าอีกหน่อยจะไม่มีใครคุ้มกะลาหัวนางลูกอนุนั่น ถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาของเรา”
“ท่านแม่มันช้าเกินไป ข้าอยากจัดการนางเสียตอนนี้ นางขวางหูขวางตายิ่งช่วงนี้ยิ่งทำตัวเหิมเกริม”
“ใจเย็นลูกแม่สวรรค์จะต้องมีตาและเปิดโอกาสให้เราสักวันแน่ๆ”
สงครามยังไม่สงบลง เฟิงหรานเดินเร่งฝีเท้ามาที่ทั้งสองคน“ท่านผู้ฝึกสอนซูเหม่ยเรียกเจ้าทั้งสองที่ห้องทำงานของนาง” เสี่ยวหนี่ที่กำลังถกแขนเสื้อขึ้นถึงกับชะงักงันส่วนจี้เหวินที่เบ้ปากพร้อมกับถอนหายใจยาว“ข้าบอกเจ้าแล้วเห็นไหมว่าอย่าทะเลาะกับข้า” จี้เหวินพูดดังเสี่ยวหนี่ส่ายหน้าเดินตามเฟิงหรานไปทันทีสองพี่น้องต่างแม่ เสี่ยวหนี่และจี้เหวิน เดินตามเฟิงหรานเพราะเสียงเรียกของซูเหม่ยไปยังห้องทำงานของแม่ครัวหลวง“ท่านผุ้ฝึกสอน” ทั้งสองคนย่อกายลงด้วยคามรู้สึกหวาดหวั่นในใจ”“นั่งลงสิทั้งสองคน” เสียงอ่อนโยนของซุเหม่ยดังเบาๆ ไม่เหมือนเช่นทุกครั้งที่นางจะไว้ตัว เสี่ยวหนี่รีบนั่งลงทันทีจี้เหวินที่ยังหันมองเสี่ยวหนี่ด้วยแววตาขุ่นเคืองซูเหม่ย ยืนอยู่กลางห้องหลังเงียบไปครู่หนึ่งนางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกล่องไม้ไผ่แล้วยื่นมันลงตรงหน้าทั้งสองเสียงดัง “ฟึบ”จดหมายนั้นม้วนผูกด้วยเชือกแดง ตราประทับยังสดใหม่ มือจี้เหวินสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมองเห็นลายเซ็นท้ายกระดาษ"โจวหลิวเยว่"บิดาของนาง...และของเสี่ยวหนี่เช่นกันซูเหม่ยกอดอก ถอนหายใจช้าๆ“พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร” เสี่ยวหนี่เบิกตานิดๆ แต่กระนั้นก
ในชามเคลือบลายแกงสมุนไพรบ้านโจว ร้อนฉ่าถูกเสิร์ฟลงเบื้องหน้าฮ่องเต้หยางลี่ และกุ้ยเฟยชวีหยา โดยจี้เหวินเองแม้บนใบหน้านางจะมีรอยยิ้มเจียมตัว หากมือไม้ที่ยื่นถ้วยชามออกไปกลับสั่นเล็กน้อยราวกับกลัววูบหนึ่งจากสายพระเนตรจะเผาไหม้เงื่อนงำที่แอบซุกซ่อนอยู่ฮ่องเต้หยางลี่ทอดพระเนตรมองชามแกงเงียบๆ ดวงตาลึกล้ำสะท้อนเงาไอร้อนจากอาหารหน้าตา…คล้าย กลิ่น...ใกล้เคียง สี...ใกล้เคียง แต่รสชาติ…เมื่อหยางลี่ตักขึ้นลิ้มชิมรส กลับพบว่าไม่ใช่รสชาติที่เคยตกหลุมรัก ไม่ใช่รสมือของเสี่ยวหนี่ นี่มัน…อย่างไรก็ตาม หยางลี่เก็บความรู้สึกได้เก่ง เพียงกะพริบตาแผ่วหนึ่ง แล้วเอ่ยคำว่า"รสชาติดี...สมกับเป็นจานพิเศษ" เสียงเรียบ สุขุมในใจยังสะกดกลั้นคำถามมากมายว่าทำไมแกงสมุนไพรที่กินในวันนี้ถึงได้ไม่เหมือนที่เคยกิน แต่ที่นี่ต่อหน้ากุ้ยเฟยซวีหยาก้ไม่ใช่ที่ที่จะหาคำตอบหยางลี่เพียงแค่เดาบางอย่าจากท่าทีของจี้เหวิน ได้ดี และเขาทำๆได้เพียงเงียบไปเสียแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของกุ้ยเฟยชวีหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ กุ้ยเฟยชวีหยาลอบมองหยางลี่ รอยยิ้มบางผุดขึ้นมุมปาก “ฝ่าบาททรงโปรดอาหารของจี้เหวินมากถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็ดีใจนัก”ชวีหย
หรูซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เหลือบตามองจี้เหวินเพียงนิด ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบบางอย่างกับกุ้ยเฟยเบา ๆเสียงเบานั้นทำให้สีหน้าของกุ้ยเฟยเปลี่ยนแววตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับมาพูดอย่างราบเรียบ“เจ้าไปเตรียมตัวเถิด จี้เหวิน ข้าจะให้คนพาเจ้าไปห้องเครื่องของตำหนักชิงหราน และจะส่งเครื่องปรุงที่เจ้าอยากได้ไปให้โดยเฉพาะ… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”จี้เหวินขานรับเสียงสั่น“เพคะ…”จากนั้นค่อย ๆ ถอยออกมาจากห้องบรรทมด้วยหัวใจที่เต้นระรัว...รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสะพานไม้เก่าๆ ที่อาจจะหักลงได้ทุกเมื่อ...ภายในห้องเครื่องของตำหนักชิงหรานอันเงียบสงัด จี้เหวินยืนประจำอยู่หน้าเตาไฟ ใบหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของนาง ที่เคยแสดงต่อหน้าผู้อื่น ดวงตานิ่งงันทอดมองวัตถุดิบตรงหน้าราวกับมันคือดาบสองคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนนางได้ทุกเมื่อวัตถุดิบทั้งหมดถูกวางไว้เรียงรายตามลำดับ ผักคราดหัวแหวน มะเขือเปราะ ผักกวางตุ้งสด ใบหูเสือ เห็ดหอมป่า ข่าอ่อน เก๋ากี้ รากโสมสดกัวจิ๋ว และผักหอมอีกสองสามอย่าง ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คนที่ยืนมองอ่างจี้เหวินที่กำลังหนักใจ จำได้ว่ารสชาติเช่นไรแต่จะท
กลิ่นควันไฟจากเตาหินลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องครัวฝึกหัด นางในแต่ละนางกำลังวุ่นวายกับการเตรียมวัตถุดิบและทดลองปรุงเมนูสำหรับงานเลี้ยงเหมันต์ เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังเป็นระยะในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักและคาดหวัง และในใจบางคนก็ยังหวาดหวั่นทว่า…บรรยากาศนั้นพลันเงียบกริบลงในทันที เมื่อเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากทางเดินด้านหลังหรูซิน ในชุดนางในจากตำหนักกุ้ยเฟยเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามและดวงตาเรียบนิ่ง หรูซินเหลือบมองไปรอบห้องเล็กน้อยก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่ จี้เหวิน ซึ่งกำลังปั้นแป้งอยู่หน้าเตาอบ“จี้เหวิน... กุ้ยเฟยเรียกหาเจ้า”น้ำเสียงของหรูซินแม้จะไม่ดัง แต่กลับเยือกเย็นดั่งสายลมหนาวต้นเหมันต์ ทำเอาเสียงหัวเราะในห้องเงียบกริบเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ชะงักมือโดยไม่รู้ตัว หลิงเชียวที่กำลังสับผักอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วรีบหลบตา ด้านเสี่ยวหนี่ก็เผลอหันมามองทันทีโดยสัญชาตญาณจี้เหวิน ชะงักมือจากการปั้นแป้ง ดวงตาหวาดหวั่นเพียงแวบหนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปทางเสี่ยวหนี่อย่างไม่รู้ตัว ราวกับหวังจะหาที่พึ่งในความวุ่นวายภายในใจเสี่ยวหนี่ที่เหมือนจะรู้ใจจี้เหวิน ขมวดคิ้วเล
ภายในตำหนักกลางของฮ่องเต้ยามสายแสงอ่อนสาดลอดผ้าม่าน องค์ชายรองอวี่หรงเดินเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยางลี่ อย่างไม่รีบร้อน ปากฮัมเพลงแผ่วเบาราวกับอยู่ในตำหนักของตนเอง มือไขว้หลังย่างเท้าสบายๆ พอเข้ามาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่รอให้ใครเชิญหยางลี่ที่กำลังอ่านฎีกาด้วยสีหน้านิ่ง อยู่ถอนหายใจเงียบๆ ตั้งท่าจะพูด แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากทางเดินนอกห้อง ขันทีกวงซุนฉีกยิ้ม“ท่านพ่อ รอข้าด้วยยยย”เสียงเล็กๆ นั้นวิ่งแว่วมาพร้อมกับร่างของอ๋องน้อยเฟยเทียนที่ปราดเข้ามาในห้องเหมือนลูกลิงน้อย พอเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็ตั้งท่าหยุดกะทันหัน ยกมือขึ้นประสานทำความเคารพทันที“ขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”หยางลี่ที่มองอยู่แล้วก็ยิ้มละไมลุกขึ้นจากบัลลังก์เล็กเดินมาหาอ๋องน้อย ก่อนจะก้มตัวอุ้มขึ้นมาแนบอกอย่างอ่อนโยน“พ่อเจ้าปล่อยให้เจ้าวิ่งเล่นอีกแล้วรึ เจ้าอ๋องน้อยของลุง”“ข้าน่ะเร็วจะตาย ใครก็จับไม่ทันหรอก” หัวเราะเสียงใส พิงอกลุงหยางลี่อย่างสนิทสนม ดวงตาเป็นประกายหยางลี่อุ้มหลานมาวางบนตัก ก่อนจะหันไปทางขันทีกวงซุน“กวงซุน ไปเอาขนมที่อ๋องน้อยเฟยเทียนชอบมาที่นี่ให้ที”“พ่ะย่ะค
ในเช้าขณะทุกคนกำลังทำความสะอาดห้องเครื่องตามหน้าที่ เสียงฝีเท้าของเหม่ยซู ดังขึ้นอย่างมั่นคง ทุกคนหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ต้องมีใครสั่ง เหม่ยซูเดินตรงเข้ามาในห้องเครื่อง มือถือม้วนกระดาษอยู่หนึ่งชิ้น ใบหน้านิ่งขรึมแต่แฝงความยินดี“ข้ามีข่าวดีจะมาแจ้งให้พวกเจ้าทุกคนทราบ”เสียงของเหม่ยซูทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นในชั่วพริบตา “เมนูอาหารที่พวกเจ้าร่วมกันเสนอไปก่อนหน้านี้ ถูกเลือกให้ใช้เลี้ยงต้อนรับแขกเมืองในงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ไม่มีของใครตกหล่น ทุกเมนูได้รับการอนุมัติ”เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นทันที หลายคนหันมองหน้ากันด้วยแววตาไม่เชื่อหูตนเอง เหม่ยซูคลี่กระดาษในมือ อ่านรายชื่อด้วยเสียงที่ชัดเจน“เฟิงหราน เป็ดย่างซอสเหม่ยกุ้ยน้ำผึ้ง เสิร์ฟพร้อมข้าวอบเกาลัดทองคำ”เฟิงหรานยืดอกเล็กน้อยด้วยความภูมิใจ คนที่เหลือต่างทำตาโตกับชื่อเมนูสุดล้ำและยิ่งใหญ่อลังการ“หลิงเชียว กุ้งลอยเมฆหิมะ ซุปไข่มุกสาหร่ายขาว”หลิงเชียวเบิกตาโพลง ไม่คิดว่าเมนูของตนจะได้รับเลือกจริงๆ นี่ก็ไม่แพ้กัน“เซี่ยหยา พิซซ่าเตาถ่าน”เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ “หยางซินอวี้ เนื้อวัวย่างหวังฉู่รมควัน เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปจากแดนหนือ”หยาง