“ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางราบรื่น”ฮูหยินจี้เหยากล่าวคำลา
กวงซุนขันทียื่นถุงเงินให้กับฮูหยินโจวอีกครั้ง
จี้เหวินที่ย่อการลงงดงามอย่างที่สุด
หยางลี่กับกวงซุนขันทีจากไปแล้ว จี้เหวินถอนหายใจ ปล่อยมือที่ยกขึ้นมาระดับเอวให้ดูมีกิริยาดีลงข้างตัวพูดด้วยเสียงอันดังไม่สะกดกลั้นความรู้สึกแม้แต่น้อย
“ข้าแทบจะกระอักเลือดตายกับการที่ต้องวางท่าให้ดูสง่างามราวกับหญิงสาวชาววัง”
“ทนเอาหน่อย เจ้าปีนี้20แล้วยังไม่ได้ออกเรือนแขกไปใครมาเจ้าวางท่าตามอย่างที่แม่สอน ไม่นานจะต้องมีคนมาตกหลุมพลางที่เราขุดขึ้นมากับมือ”
“ท่านแม่แล้วคนเขาจะไม่รู้หรือว่าเราหลอกลวง”
“จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วถึงเวลานั้นก็ช่างมันเถอะ”ฮูหยินโจวยิ้ม มุมปาก
“นายหญิงเจ้าขา นายท่านเรียกนายหญิงกับคุณหนูใหญ่เข้าพบเจ้าค่ะ”
“น่าเบื่อจริงข้านะน่ะไม่อยากต้องมาหาคำแก้ตัว”โจวจี้เหยาบ่นงึมงำ
“ก็พูดความจริงไปสิเจ้าค่ะท่านแม่ท่านพ่อไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่งแรงจามยังไม่มีจะทำอะไรพวกเราได้”
โจวจี้เหยาเดินนำจีเหวินเข้าไปข้างในห้องนอนของดจวหลิ่วเยว่ ยังไม่ทันจะถึงตัวด้วยซ้ำเสียงเข้มก็พูดดังๆขึ้นมา
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พวกเจ้าคิดว่าจะหลอกลวงไปถึงเมื่อไหร่กันชีวิตพวกเจ้าล้วนอยู่กับคำหลอกลวง ไม่มีเลิกรา”
“ท่านพ่อ ท่านทำไมไม่ปฏิเสธไปเล่าว่าไม่ใช่ข้าเป็นบุตรีสุดที่รักของท่านหนี่ฮวาคนนั้น ข้าเห็นว่าทันเองก็นิ่งเฉยกับเรื่องนี้แล้วแค่พ่อค้าคนหนึ่งจะพูดความจริงหรือหลอก เขาก็คงไม่กลับมาอีกแล้ว”โจวหลิ่วเยว่ถอนหายใจยาวอย่างไรก็ล้วนเป็นบุตรี
ส่วนจี้เหวินนะหรือนางหาได้รู้สึกอะไรไม่ ในหัวตินนี้นึกถึงเหรียญทองที่ได้ในวันนี้มันมากมายกว่าที่คิดว่าจะได้รับจากคนที่มาขอกินข้าวธรรมดาคนหนึ่ง ดีนะที่หนี่ฮวานางไม่อยู่ที่นี่ นั่นนับว่าสวรรค์เมตตาจี้เหวิน ให้ได้รับผลประโยชน์จากการหลอกลวงครั้งนี้
ริมธารใสเสี่ยวหนี่ของเราเดินเท้าเปล่าบนก้อนหินที่ถูกน้ำขัดจนกลมมันสบายเท้า
ข้างหลังนั่น ปลาตัวใหญ่ถูกนำมาเสียบไม้วางไว้เหนือถ่านสีหม่นที่ถูดเขี่ยออกจากกองไฟที่เปลวไฟลุกโชติช่วง เกล็ดปลาปริแตกเห็นเนื้อปลาเป็นลายสีน้ำตาลขาวน่ากิน เกล็ดปลาที่ปริออกมาเผยให้เห้นเนื้อปลานั้น เหลืองกรอบเพราะไฟอ่อนๆที่เล็มเลีย กลิ่นหอมยามนี้ชวนน้ำลายสอ มันปลาหยดลงบนถ่านสีหม่นดัง ซี่ๆเป็นจังหวะ
“ซอสที่ข้าให้เจ้าเตรียมมาล่ะ”
ซอสที่ว่าเสี่ยวหนี่สอนเสี่ยวอี้ปรุงซอสนี้ขณะที่เสี่ยวหนี่กำลังปรุงแกงอ่อม แค่ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชให้ร้อนแล้วใส่พริกแห้ง พริกเสฉวน ขิง กระเทียม ผัดจนหอมแล้วค่อยใส่เต้าเจี้ยวดำ ผัดให้แตกมันถึงค่อยเติมซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วดำและน้ำตาลกรวด สุดท้ายก็เติมน้ำเปล่าเคี่ยวต่อจนซอสข้นเข้ากันดีก็เป็นอันเสร็จ พอทาซอสบนปลาย่างร้อนๆยิ่งเพิ่มกลิ่นหอม น้ำมันในซอสเมื่อโดนความร้อนก็จะซึมเข้าไปในเนื้อปลา ปลาย่างนี้คล้ายกันกับปลาย่างสไตล์มองโกเลียเพียงแต่เสี่ยวหนี่ไม่ได้หมักปลาก่อนนำมาย่าง แต่ใช้ความร้อนช่วยให้น้ำซอสแทรกซึมเข้าไปในเนื้อปลาเพิ่มรสชาติเข้มข้นให้กับเนื้อปลา
“คุณหนูรอเจ้าขา ทำไมต้องย่างไฟแรงแล้วค่อยย่างไฟอ่อนเจ้าคะ”เสี่ยวอี้ถามยิ้มๆ
“ย่างไฟแรงเนื้อปลาที่โดนความร้อนทันทีก็จะขยายตัวปริแตกให้เห็นเนื้อขาวๆของปลาถึงเวลานั้นเราราดซอสลงไปเนื้อปลาก็จะดูดเอาน้ำซอสเข้มข้นเข้าไปโดยง่ายเมื่อไม่มีเกร็ดปลาห่อหุ้มเอาไว้ แล้วจากนั้นเราค่อยๆย่างไฟอ่อนไปเรื่อยๆจนกระทั่งน้ำมันปลาหยดและเนื้อปลาเหลืองสวย” เสี่ยวอี้ยิ้มกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยความหิว
“อุ๊ยนั่น เจ้าค่ะปลาติดเบ็ดอีกแล้ว”
เสี่ยวหนี่ที่วิ่งเท้าเปล่าลุยน้ำไปกระตุกคันเบ็ดที่โค้งงอเพราะแรงดึงจากปลาตัวใหญ่ ดูจากขนาดแล้วคงทำอาหารจานใหญ่ได้ หรือจะแบ่งไปทำน้ำซุปเพื่อทำอาหารบำรุงสุขภาพให้กับท่านพ่อโจวหลิ่วเยว่ที่เสี่ยวหนี่หรือข้าวนึ่งตระหนักได้แล้วว่าเป็นคนเดียวที่สามารถปกป้องเสี่ยวหนี่ได้ หลายวันมานี่สุขภาพท่านโจวแย่ลง เนื้อปลาย่อยง่ายและยังดีต่อสุขภาพหากทำอาหารที่มีรสเผ็ดนิดหน่อยจะทำให้ ท่านโจวเจริญอาหาร
น้ำใสจนมองเห็นปลาตัวใหญ่ที่ติดเบ็ดแหวกว่ายดึงเชือกเสียตึง เสี่ยวหนี่เองก็ไม่ยอมแพ้ยื้อยุดกับปลาตัวใหญ่จนกระทั่งในที่สุดเจ้าปลาตัวดีก็ยอมสิโรราบ เหวี้ยงตัวปลาขึ้นมาบนบก ปลาตะเพียน เสี่ยวหนี่ตั้งใจว่าเย็นนี้จะทำซุปปลาบำรุงกำลังให้ท่านโจว
ปลาตัวใหญ่ดิ้นขลุกขลักอยู่ริมตลิ่ง เสี่ยวหนี่กระโดดใส่ตัวปลา จับด้วยมือทั้งสองข้างไว้แน่นราวกับสมีกอลในนิยายเรื่องลอร์ดออฟเดอะริง เว้นแต่ไม่มีคำว่าของรักของข้าออกมาจากปากเท่านั้น ช่างไม่เข้ากับใบหน้าสวยๆของเสี่ยวหนี เสี่ยวอี้อ้าปากค้างคุณหนูผู้ทรนง คุณหนูผู้มีกิริยางดงามคนนั้นไปไหนเสีย
“ได้แล้ว ตัวใหญ่เชียวคงเพราะแถวนี้อุดมสมบูรณ์สมเป็นบ้านสวนกลางป่าเขาจริงๆฮ่าฮ่าฮ่า“
“คุณหนูเจ้าขา ปลาหอมแล้วเจ้าค่ะคงสุกแล้ว“ เสี่ยวอี้ตาเป็นประกายเกือบห้ามน้ำลายไม่อยู่ รอมานานในที่สุดก็ถึงเวลา
ไทเฮาจากไปแล้วตงเจี้ยนขยับตัวอีกครั้งอย่างผ่อนคลาย“ฝ่าบาท” ตงเจี้ยนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง“ตงเจี้ยนขอถามคำถามสักข้อ... เรื่องการแต่งตั้งหยางชินอวี้เป็นสนมนั้น...ท่านไม่คิดที่จะคัดค้านหรือ”หยางลี่เงยหน้าขึ้นจากช้าๆ ตาคมที่เคยแสดงความเย็นชาไม่ได้เผยความรู้สึกใดออกมาแต่ในใจรู้ดีว่าตงเจี้ยนคงจะคิดเรื่องนี้มาตลอด มันเป็นคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนรอบๆ กายหยางลี่รู้ว่าเสี่ยวหนี่คือคนที่หยางลี่ใส่ใจมากที่สุด แล้วการที่เขายินยอมในเรื่องนี้อย่างง่ายดายนั้น…“เจ้าคิดว่าข้าควรคัดค้านหรือ คัดค้านแล้วไม่ต้องทำได้หรือ” หยางลี่ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความนิ่งเฉย ตงเจี้ยนทำท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าน้อยรู้ดีว่า... ฝ่าบาทมีใจให้เสี่ยวหนี่คนเดียวแต่เหตุใดฝ่าบาทถึงยอมให้หยางชินอวี้ได้ตำแหน่งนี้ไป ทั้งที่มันจะทำให้เสี่ยวหนี่ต้องเจ็บปวดหากนางรู้เข้า...”คำถามของตงเจี้ยนสะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใยที่ตงเจี้ยนมีต่อหยางลี่และเสี่ยวหนี่ ความห่วงใยที่ใครๆ ก็พอจะเข้าใจได้ แต่สำหรับหยางลี่แล้วมันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ที่ท่านต้องทำหยางลี่มองไปที่ตงเจี้ยนอย่าง
ในตำหนักชิงหลานที่บัดนี้เงียบงันอย่างน่าใจหาย กุ้ยเฟยชวีหยากำมือแน่นเมื่อได้ยินข่าวจากขันทีที่มารายงานเรื่องการแต่งตั้งหยางชินอวี้เป็นสนมอันดับหนึ่งของฝ่าบาท หัวใจหนักอึ้งรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ทิ้งลงมาทับบนอกทำให้หายใจไม่ออก"อะ…อะไรนะ ทำไมเป็นแบบนี้ ไหนฝ่าบาทเคย…เคยบอกว่าไม่ให้หยางชินอวี้ถวายตัว…" กุ้ยเฟยถามเสียงแหบแห้งแต่ก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป ซบหน้าลงบนฝ่ามือปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว"หยางชินอวี้...จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง…สนมอันดับหนึ่งได้อย่างไร ฮือออออ" น้ำเสียงของชวีหยาสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรูซินยืนอยู่ข้างๆ รีบเขามาโอบกอด ด้วยความสงสารมองกุ้ยเฟยที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตนอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพูดเสียงนุ่มกับชวีหยา"หยางชินอวี้เพียงแค่สนมที่ไทเฮายัดเยียดให้ฝ่าบาทเท่านั้นเจ้าค่ะ กุ้ยเฟยอย่าได้กังวลไปเสียก่อน"ชวีหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ น้ำตายังคงไหลรินแต่ท่าทีของชวีหยากลับแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย"เจ้าบอกว่าอย่างไรนะ เจ้า...บอกว่าไทเฮาทำให้ฝ่าบาทยอมรับหยางชินอวี้เป็นสนมหรือ" เสียงของชวีหยายังสั่นสะท้าน แต่แววตา
โรงเตี๊ยมบ้านโจวเสี่ยวหนี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารในครัวของโรงเตี๊ยมบ้านโจว ความร้อนอบอ้าวจากเตาและกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ทำให้เหงื่อไหลรินจากหน้าผากไปจนถึงคาง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจและดีใจ ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้กำลังสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี“สำเร็จแล้ว!” เสี่ยวหนี่พูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมยิ้มออกมาอย่างพอใจในความพยายามที่ผ่านมา เมื่อได้ยินเสียงน้ำเดือดในหม้อเครื่องเทศที่ต้องปรุงรสก็รีบหยิบชามใบใหญ่ขึ้นมารินน้ำซุปใส่ในถ้วย ราดด้วยซอสที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะจัดจานออกไปยังโต๊ะลูกค้า ที่กำลังรอคอยความอร่อยอยู่“ยกไปเลยใช่ไหมเจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวอี้ถาม “ยกไปได้เลยกำลังร้อนๆ หอมๆ โต๊ะริมหน้าต่างทางซ้ายบน”แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวหนี่จะได้พักหายใจหรือทำอะไรเพิ่มเติม เสียงของเหม่ยซูก็ดังขึ้น“เสี่ยวหนี่มีคนอยากจะคุยกับเจ้า” บุรุษสองคนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวหนี่หันไปมองคนของแคว้นซีเป่ยยืนอยู่ที่ทางเข้าพร้อมกับประสานมือนอบน้อม“คุณหนูเสี่ยวหนี่... ข้านำบัญชาของไท่จือโจวชัวมาเพื่อขอซื้อผงปรุงรสโจวรสเด็ดจำนวนมากขอรับ” ชายคนนั้นพูดเสียงเข้มขรึมแต่ก็มีความสุภาพในตัวเสี่ยวหนี่ตาโตด้ว
จ้าวหรานเจียวตอบทันที ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตื่นเต้นและยินดีอย่างสุดขีด สายตาของนางเต็มไปด้วยความเคารพ และในใจเต็มไปด้วยความดีใจจนแทบจะเต้นออกมาไทเฮามองนางด้วยแววตาเยียบเย็น ก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ"ข้ารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับหยางชินอวี้ไม่ธรรมดา ถ้านางได้ตำแหน่งนี้เจ้าคงจะเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติไม่น้อย เช่นนั้นควรจะรับรู้เรื่องนี้ก่อนใคร ข้าเองก็ถูกใจเจ้าไม่น้อย หวังว่าหลานสาวของจ้าวหรานเจียวจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง"จ้าวหรานเจียวก้มศีรษะอย่างสุภาพแต่ในใจกลับเต้นแรงยิ่งขึ้น ขอโทษที่ไม่สามารถทำตัวให้สงบได้ แต่คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้วที่จะทำให้จิตใจของนางเต้นรัวได้ขนาดนี้"เพคะ ขอบพระทัยไทเฮาที่โปรดให้ข้าได้รับความเชื่อมั่นในครั้งนี้ ข้าจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทและไทเฮาผิดหวัง" จ้าวหรานเจียวกล่าวด้วยความมั่นใจ รู้ว่าโอกาสนี้คือช่วงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างจริงจังไทเฮาฟู่ฉีพยักหน้าช้าๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้ม"ดีมาก... ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถสนับสนุนและทำให้ความสัมพันธ์นี้สำเร็จได้เช่นที่ข้าคาดหวัง"จ้าวหรานเจียวยิ้มตอบอย่างนอบน้อมและเคารพในทุกคำที่ไทเฮาพูดออกมา ก่อนที่
ห้องของหยางลี่ถูกปกคลุมด้วยแสงไฟอบอุ่นจากตะเกียงขนาดเล็ก กลิ่นหอมจางๆ ของเครื่องเทศและอาหารยังกระจายอยู่ในอากาศหยางชินอวี้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ดวงตาพราวประกายในชุดเก่งอันงดงาม หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ แม้จะมีพิซซ่าที่ดูแปลกตาอยู่ในมือ ซึ่งไม่เหมือนพิซซ่าที่ทุกคนคุ้นเคย แป้งบิดเบี้ยว ขอบไหม้เกรียมแผ่นบางในบางจุดไม่สุกบ้าง และเครื่องหน้าที่เกือบจะเละจากการพยายามทำมันขึ้นมาอย่างเต็มที่แต่หยางชินอวี้ก้าวไปอย่างมั่นใจ สะบัดชายแขนเสื้อที่พลิ้วไหวให้ดูสง่างาม แม้กระทั่งในยามนี้ ที่รู้ว่าพิซซ่าในมือไม่สมบูรณ์แบบเลยสักนิด“ฝ่าบาท... ข้านำพิซซ่าของข้ามาถวายเพคะ” เสียงหยางชินอวี้แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหยางลี่เงยหน้ามองจากจานพิซซ่าของเซียหยาที่กำลังกินอยู่ หันกลับมามองขันทีกวงซุนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทีที่คลุมเครือ ก่อนจะยิ้มมุมปากนิดๆ พลางพูดขึ้นว่า“ใครกันที่นำเรื่องที่ข้าอยากจะกินพิซซ่าไปบอกเจ้า”ขันทีกวงซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ รู้ดีว่าคำถามนี้เป็นการจับผิดอย่างแยบยลจากฝ่าบาท แต่ก็ยังไม่อาจหลบหลีกได้หยางชินอวี้ที่ได้ยินคำถามนั้นรู้สึกถึงความตึงเค
ภายในตำหนักหลวงยามค่ำกลิ่นหอมของชีสละลายผสานกับเครื่องเทศอบอวลไปทั่วห้อง เหนือถาดที่วางพิซซ่าชิ้นร้อน กลิ่นออริกาโน่อ่อนๆ ลอยขึ้นมาปะทะปลายจมูกหยางลี่ก้มหน้าลง สูดลมหายใจอย่างช้าๆ ดวงตาคมกริบปิดลงราวกับปล่อยให้ความหอมละมุนพาเขากลับไปยังคืนเก่าคืนหนึ่งในห้องครัวที่มีรอยยิ้มสดใสของใครคนหนึ่งประดับอยู่ตรงข้ามโต๊ะไม้เก่าหยางลี่ลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองพิซซ่าตรงหน้าพลางเผยรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าเข้มขรึมของตน ตงเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง สังเกตสีหน้าของหยางลี่ได้ทันที จึงยิ้มกว้างพลางเอ่ยเสียงสดใสว่า“สมใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ หอมเหมือนพิซซ่าที่เสี่ยวหนี่ทำไม่มีผิด แบบนี้อีกหน่อยฝ่าบาทต้องโปรดพิซซ่าเป็นประจำแน่นอน”หยางลี่เหลือบตามองตงเจี้ยนครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ“ข้าคิดว่า…นำตัวเสี่ยวหนี่กลับมาทำให้ข้ากินดีกว่าจะได้กินเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเวลา”คำพูดนั้นเรียบง่ายแต่แววตาที่สะท้อนกลับซับซ้อนนัก…เต็มไปด้วยความโหยหา ความคิดถึงและความรู้สึกที่ไม่เคยจางลงเลย ตงเจี้ยนหัวเราะเบาๆ พยักหน้าอย่างรู้ทัน“อยากกินขนมหรือคิดถึงคนทำกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”หยางลี่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงยิ้มมุมปากบางๆ พลางจ้องพิซซ่าตรงหน้า…แต่หัวใ