LOGINและแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น
ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตา แต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร [ติ๊ง!ความงามของหม่าม๊าพุ่งถึง120 %] เสี่ยวหลิงที่ปรากฏตัวออกมา ลอยวนอยู่รอบตัวอวิ๋นซินเยว่กระซิบอย่างตื่นเต้น นี่นับว่าเป็นงานใหญ่งานแรกของนางนับแต่เข้ามาอยู่ในโลกนี้เลยทีเดียว อวิ๋นซินเยว่ตื่นเต้นจนเหงื่อซึม ฝ่ามือเย็นเฉียบ…และตอนนั้นเองที่ประตูตำหนักเปิดออกเบา ๆ เสียงกงกงอี้จิ้งประกาศด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ฝ่าบาทเสด็จ…” นางกำนัลทั้งหมดคุกเข่า ศีรษะก้มต่ำจนไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง อวี้เหยียนก้าวเข้ามาในชุดคลุมมังกรสีดำทองทอด้วยดิ้นเงิน สายตาดำสนิทที่มักเย็นชาสะดุดหยุดลงทันที ภาพแรกที่สะท้อนเข้าไปในสายตาของเขาคือ… ฮองเฮาผู้สง่างามราวหงส์ ที่ถูกเขาพันธนาการไว้ในตำหนักนี้มาสองวันเต็ม อวิ๋นซินเยว่รีบลุกขึ้น ยกชายกระโปรงค้อมกายถวายบังคมตามพิธี แต่ชั่วขณะที่เงยหน้า สายตาสองคู่ก็สบกันพอดี และเพียงชั่วขณะนั้น…อวี้เหยียนก็รู้สึกได้ว่า บางสิ่งในอกซ้ายของตนสั่นสะท้าน นี่คือสตรีที่เขาเพิ่งประกาศความเป็นเจ้าของอย่างบ้าคลั่ง! และนางก็งามเกินกว่าที่เขาจะอนุญาตให้ใครมองได้! ริมฝีปากเขากระตุกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว คล้ายกำลังลอบข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอเผยรอยยิ้มออกมา แต่สายตาคมกริบนั้น…ไม่อาจซ่อนความแวววับได้ อวิ๋นซินเยว่หัวใจเต้นแรง ‘ให้ตายสิ…ทำไมเขาต้องมองฉันขนาดนี้ด้วยล่ะ!’ [ติ๊ง!ฝ่าบาทจ้องหม่าม๊าติดต่อกัน19วินาทีแล้วครับ! ระดับความประทับใจ:+8! ระดับความคลั่งรัก:พุ่งสูงถึงขีดสุดอีกครั้ง!] ทว่าพระสุรเสียงทุ้มต่ำกลับดังขึ้นใกล้ ๆ หู “ฮองเฮา… เจ้างามกว่าบุปผาที่เจ้าจัดขึ้นวันนี้เสียอีก เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมองดอกไม้เลย เพราะความงามของเจ้าก็เพียงพอแล้ว” เพียงประโยคเดียวที่เอ่ยออกมา ก็ทำเอาร่างเล็กเงยหน้าขึ้นไปมอง กลับเห็นเพียงสายตาเรียบนิ่ง ทำเอานางถึงกับไม่อาจแน่ใจได้เลยว่า คำพูดนั้นเป็นคำชมจริง ๆ หรือเธออาจหูแว่วไปเอง “วันนี้งานเลี้ยงมีเพียงสตรีวังหลัง ข้าจะไปสะสางราชกิจ เจ้า…ไปเถิด” คำสั่งสั้นกระชับทำให้ทุกคนก้มศีรษะพร้อมรับบัญชา อวิ๋นซินเยว่กัดริมฝีปาก ก้าวขึ้นเกี้ยวอย่างระวัง ทว่ายามที่นางหันกลับไปชั่วขณะ ดวงตาคมนั้นยังคงจ้องตามอยู่ สายตานั้นช่างนิ่งสงบ แต่แฝงความร้อนเร้นที่ยากจะอธิบาย แสงแดดยามสายทอประกายลงบนสวนหลวง ดอกเหมยขาวและพฤกษาหลากสีที่ถูกบรรจงบ่มไว้ตลอดฤดู ผลิบานสะพรั่งราวกับแข่งขันอวดความงาม ลานหินอ่อนกลางสวนถูกจัดวางโต๊ะยาวประดับผ้าไหมปักดิ้นทอง “ฮองเฮา เสด็จ!” สายตานับร้อยจับจ้องทันทีที่อวิ๋นซินเยว่ปรากฏตัว นางก้าวช้า ๆ อย่างสง่างาม นั่งลง ณ ที่สูงสุดเบื้องขวาของไทเฮา รอยยิ้มของ ซูกุ้ยเฟย ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของไทเฮากลับเยือกเย็น นางสวมชุดผ้าไหมสีแดงเข้มปักลายดอกโบตั๋น ซูกุ้ยเฟยยกถ้วยชาแนบริมฝีปาก ลอบมองอวิ๋นซินเยว่ ก่อนเอ่ยเสียงหวาน “ฮองเฮาช่างงดงามยิ่งนัก เพียงปรากฏกายก็กวาดสายตาทุกคู่ไปเสียสิ้น …หวังว่าความงามนั้น จะช่วยให้งานชมบุปผาครั้งนี้ราบรื่น” อวิ๋นซินเยว่หันไปสบตาซูกุ้ยเฟย รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าสวยทันที “กุ้ยเฟยกล่าวเกินไปเพคะ ดอกไม้ต่างหากที่เปล่งประกาย ข้าเพียงหวังว่าจะจัดงานให้เป็นที่พอพระทัยไทเฮาและทุกท่าน… หากมีสิ่งใดบกพร่อง ก็ขอให้กุ้ยเฟยโปรดชี้แนะ” ไทเฮายกพระโอษฐ์ยิ้มบาง ๆ สายตาผ่านไปมาระหว่างสตรีสองคนที่นั่งเผชิญหน้า เสียงชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อซูกุ้ยเฟยยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน สละสลวยจนแม้แต่ไทเฮายังพยักหน้าอย่างยอมรับในความสามารถ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “เกรงว่าหม่อมฉันคงขายหน้าแล้ว กลอนของหม่อมฉันหาได้ไพเราะไม่… หากเทียบกันแล้วผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ โปรดแสดงฝีมือให้พวกเราได้ชมความงามของกลอนที่สะท้อนบุปผาแห่งวังหลังด้วยเถิดเพคะ!” ทันใดนั้นนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยังอวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก… เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง!สถานการณ์อันตรายระดับ 95] อวิ๋นซินเยว่ตัดสินใจเด็ดขาด! เธอจะไม่ทำตามกฎ! เธอจะทำลายกฎ! “กุ้ยเฟยกล่าวเกินไปแล้ว” อวิ๋นซินเยว่ยิ้มอย่างมั่นใจที่สุด “เราไม่ถนัดในเรื่องของบทกวีที่มีท่วงทำนองตามธรรมเนียมโบราณสักเท่าไหร่ แต่ว่าเราได้ประพันธ์เพลงขับขานบทหนึ่งขึ้นมา เพื่อชมความงามของดอกไม้และความรักที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นอวี้” เธอเลือกที่จะใช้บทกวีที่เธอจำได้จากความรู้ในโลกยุคใหม่ บทกวีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังในเชิงความรู้สึก เธอสั่งให้นางกำนัลนำฉิน (เครื่องดนตรีจีน) มาบรรเลงทำนองคลอเบา ๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มขับขานบทเพลงที่เธออ้างว่าเป็นเพลงใหม่ที่แต่งเองด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะกังวาน แต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความรักที่รุนแรง “ยามบุปผาแรกแย้ม… ผิวน้ำแข็งจะละลายสิ้น ดวงใจที่เคยถูกพันธนาการ… จักกลับมาผลิบานอีกครา ร่องรอยแห่งอดีตมิอาจลบเลือน… แต่ความรักคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด หากไร้ซึ่งความรัก… ชีวิตนี้ก็เปรียบดั่งเถ้าธุลี ขอเพียงมีบุปผานี้ร่วมเคียง… ใจข้าก็ยอมรับทุกพันธนาการ” บทเพลงสั้น ๆ นั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรงและเร่าร้อน มันไม่ได้กล่าวถึงดอกไม้ตามขนบ แต่กล่าวถึงความรักที่ยอมรับการเป็นเจ้าของอันเป็นแก่นแท้ของความสัมพันธ์กับองค์จักรพรรดิอวี้เหยียน! ทุกคนในงานเงียบงัน! ไทเฮาจ้องมองอวิ๋นซินเยว่ด้วยความตกตะลึง! นี่ไม่ใช่บทกวี…แต่เป็นคำสารภาพรัก ที่เปิดเผยและรุนแรงที่สุดในวังหลัง! และมันตรงกับสถานะขององค์จักรพรรดิผู้ที่เพิ่งแสดงความเป็นเจ้าของฮองเฮาไปหมาด ๆ! ซูกุ้ยเฟยที่เตรียมการโจมตีไปต่อไม่ถูก! บทเพลงนี้ทำลายยุทธศาสตร์ของนางจนหมดสิ้น! “ยอดเยี่ยม…” ไทเฮาเอ่ยเสียงแผ่ว “ช่างเป็นเพลงที่… ‘กล้าหาญ’ ยิ่งนัก!” อวิ๋นซินเยว่รู้ว่านี่คือโอกาส! เธอใช้โอกาสที่ทุกคนยังตะลึงอยู่…เพื่อรุกคืบเข้าสู่ ‘ซับมิชชั่น’! “ไทเฮาเพคะ!” เธอเอ่ยอย่างนอบน้อมแต่เด็ดขาด “หากกล่าวถึงความงามของบุปผาและความเงียบสงบ หม่อมฉันได้สร้างที่ประทับแห่งใหม่ไว้ที่มุมสวนแห่งนี้ เพื่อหวังให้พระองค์ได้ทรงพักผ่อนเป็นการส่วนพระองค์ หม่อมฉันขออนุญาตนำทุกท่านไปชมความงามที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ และหวังว่าพระองค์จะทรงประทับใจเป็นพิเศษในความเงียบสงบที่หม่อมฉันได้จัดไว้สำหรับสองที่นั่งเพคะ” เธอเน้นคำว่าสองที่นั่งอย่างจงใจ! มันเป็นสัญญาณที่ส่งไปยังองค์จักรพรรดิผู้ไม่มางานเลี้ยง! ไทเฮาลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ใบหน้าของนางดูไม่พอใจนักที่ฮองเฮาเล่นกับอำนาจ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความกล้าหาญที่แสดงออกมาเพื่อองค์จักรพรรดิได้ “ดี… ถ้าอย่างนั้น… ก็พาพวกเราไปดูเถิด” อวิ๋นซินเยว่นำเหล่าสตรีวังหลังไปยังมุมสวนที่เงียบสงบที่สุด ภายใต้ซุ้มดอกเหมยที่ถูกจัดแต่งเป็นห้องโถงเล็ก ๆ มีโต๊ะไม้หอมขนาดเล็กวางอยู่… พร้อมถ้วยชาและเครื่องเคียงที่จัดไว้เพียง ‘สองชุด’ แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงคือ… องค์จักรพรรดิอวี้เหยียน! ที่บอกว่าไปสะสางราชกิจ! บัดนี้กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะเล็ก ๆ นั้นแล้ว! ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความหงุดหงิด… แต่เต็มไปด้วยร่องรอยของการซ่อนความตื่นเต้นที่ถูกจับได้! เขาไม่สนใจใครเลย… นอกจากฮองเฮาที่กำลังเดินเข้ามา!ค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







