ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ่นคิด มือเรียวแตะลงบนแผนผัง “เจ้าพูดถูก งานนี้มิใช่แข่งว่าใครหรูหรากว่าใคร แต่ต้องประทับใจจนผู้คนจดจำ” เสี่ยวหลิงหัวเราะเบา ๆ “และข้าแนะนำให้ท่านใส่ความเป็นตัวเอง ลงไปบ้าง ท่านไม่จำเป็นต้องเลียนแบบใคร ฮองเฮาที่แท้จริง คือสตรีผู้สร้างเสน่ห์ด้วยหัวใจของตนเองต่างหาก” อวิ๋นซินเยว่ยิ้มบาง ๆ แม้จะเหนื่อยล้า “บางครั้ง ข้าก็ลืมไปว่าข้ามีเจ้าอยู่ข้างกาย… ขอบใจนะ เสี่ยวหลิง” เสี่ยวหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลงกว่าทุกที “ไม่ว่าจะต้องเผชิญศึกใด ข้าก็จะอยู่กับหม่าม๊า… จนกว่าภารกิจนี้จะสำเร็จขอรับ” …….. แสงอาทิตย์บ่ายคล้อยลอดผ่านผ้าม่านโปร่งในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งก้มหน้าอ่านตำรางานพิธีอย่างตั้งใจ แม้คิ้วเรียวจะขมวดน้อย ๆ แต่แววตาก็เต็มไปด้วยความพยายาม นางกำนัลข้างกายเห็นแล้วก็พลอยใจชื้น อย่างน้อยฮองเฮาของพวกตนก็ไม่ปล่อยปละละเลยหน้าที่ ทว่า…มีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังจ้องนางอยู่เงียบ ๆ เบื้องหลังฉากไม้ด้านใน จักรพรรดิอวี้เหยียนยืนสงบ ร่างสูงสง่าในชุดคลุมมังกรสีดำทอง สายตาดำสนิทนิ่งราวคมดาบจับจ้องร่างบางของสตรีที่เขาเคยคิดว่าไร้ประโยชน์มาตลอด นางก้มหน้าขีด ๆ เขียน ๆ ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยเป็นระยะ ๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคมของนักล่ากำลังจับตามอง และนั่นเอง… เสียงใสแจ๋วของ เสี่ยวหลิง ดังขึ้นในหัวอวิ๋นซินเยว่า [ติ๊ง! ระบบแจ้งเตือน! ฝ่าบาทกำลังจ้องหม่าม๊าเป็นเวลา… 27 วินาทีแล้วครับ!] คนถูกมองชะงัก ดวงตากะพริบถี่ “หา…ว่าไงนะ!?” เธอเผลออุทานเสียงหลงเบา ๆ จนนางกำนัลข้างกายหันมามองอย่างงง ๆ เสี่ยวหลิงไม่หยุดรายงานต่อ [อัปเดตขอรับ! หัวใจฝ่าบาทเต้นเร็วขึ้น 14 ครั้ง! ระดับความสนใจ: พุ่งสูงครับ! หม่าม๊าจะโดนจีบแล้วหรือไม่ โปรดเตรียมตัว…] “หยุดเลยนะเจ้าตัวเล็ก!” อวิ๋นซินเยว่กัดฟันพึมพำเสียงเบามาก รีบก้มหน้าเอาหนังสือบังแก้มที่เริ่มร้อนผ่าว พระเจ้า…ถ้าระบบไม่บอก เธอก็คงไม่รู้เลยว่ามีคนจ้องอยู่และคนคนนั้นคือ จักรพรรดิผู้เย็นชา ที่นางเกรงกลัวที่สุด! เสียงเสี่ยวหลิงยังบ่นต่อไม่หยุด [หม่าม๊า หน้าแดงขึ้น 23% แล้วครับ! ถ้าแดงกว่านี้ ข้าจะบันทึกเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” ทันทีนะครับ!] “บันทึกบ้าอะไรของเจ้ากันเล่า!” เธอเผลอหลุดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย รีบยกมือตบปากตัวเอง อวิ๋นซินเยว่หันขวับไป ทันใดนั้นเอง เงาร่างสูงก้าวออกมาจากฉากไม้ช้า ๆ สายตาคมกริบจ้องตรงมาที่เธอ ซินซินสะดุ้งโหยง “ฝ…ฝ่าบาท!” พระองค์ก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว บรรยากาศรอบห้องเย็นยะเยือกจนทุกคนไม่กล้าหายใจ นางกำนัลก้มหน้าก่อนจะล่าถอยออกไป เหลือเพียงเขากับเธอ ดวงตาดำสนิทจับจ้องใบหน้าที่พยายามทำเฉย ทั้งที่แก้มแดงซ่านจนปิดไม่มิด อวี้เหยียนโน้มกายลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้มต่ำติดเยาะหยัน “เหตุใดจึงหน้าแดง…เจ้าแอบคิดอะไรอยู่?” หัวใจหญิงสาวแทบหยุดเต้น เสี่ยวหลิงกลับดีดเสียงดังลั่น [ติ๊ง! ระดับกดดันสูงสุด! คำถามหลุมพราง! หม่าม๊าต้องตอบอย่างระมัดระวัง!] หญิงสาวเบิกตากว้าง รีบหลุบตา “หม่อมฉัน…เพียงแต่อากาศในห้องอบอ้าวเท่านั้นเองเพคะ” สายตาคมวาบไล่ไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้างรับลมเย็นอยู่ก่อนแล้ว… ริมฝีปากหยักโค้งขึ้นน้อย ๆ คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เช่นนั้นหรือ…” เพียงประโยคสั้น ๆ แต่น้ำเสียงช่างกดดันจนเธอแทบอยากแทรกพื้นหนี อวี้เหยียนยืดกายเต็มความสูงอีกครั้ง ก่อนปรายตามองหนังสือในมือของนาง ดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววบางอย่างที่นางอ่านไม่ออก เมื่อเขาเสด็จออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบ เสียงเสี่ยวหลิงจึงดังขึ้นอีกครั้ง [บันทึกแล้ว! เหตุการณ์พิเศษ: ฝ่าบาทจ้องหม่าม๊า 1 นาทีเต็ม! ระดับความอบอุ่น +2 !] ซินซินเอามือกุมอก หัวใจเต้นแรง “นี่มัน…ไม่ใช่แค่เกมจีบหนุ่มแล้วนะ…เฮ้ออออ”เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็
รุ่งอรุณสาดแสงสีทองผ่านม่านบาง ๆ ของตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่ลุกขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำสิ่งใดสักอย่างเพื่อตอบแทนพระเมตตาเมื่อคืนที่ผ่านมา จากที่ได้ฟังเรื่องราวที่เสี่ยวหลิงเล่าให้ฟัง ประกอบกับคำพูดของนางกำนัลถึงสิ่งที่ฝ่าบาททำให้ แม้จะไม่รู้ว่าคืนนั้นฝ่าบาทได้ยินอะไรไปบ้าง แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ “เตรียมสมุนไพรบำรุงร่างกาย ข้าจะลงมือทำซุปด้วยตัวเอง” นางสั่งเสียงหนักแน่น ไม่นาน กลิ่นหอมละมุนของซุปสมุนไพรค่อย ๆ ลอยอบอวลไปทั่วตำหนัก มือเรียวเล็กยกถาดทองเหลืองขึ้นมั่นคง มุ่งตรงไปยังตำหนักหยางซิน ที่พำนักขององค์จักรพรรดิอวี้เหยียน ภายในท้องพระโรง อวี้เหยียนประทับบนบัลลังก์มังกรสูงสง่า แววตาคมคายยังเย็นเฉียบไม่ต่างจากผืนน้ำแข็งพันปี เมื่อเห็นฮองเฮาก้าวเข้ามาพร้อมถาดในมือ พระเนตรหรี่ลงแวบหนึ่ง “หม่อมฉัน…ทำซุปบำรุงมาถวายเพคะ” อวิ๋นซินเยว่เอ่ยเสียงอ่อนโยน แววตาเปี่ยมความจริงใจ ขันทีข้างพระวรกายรีบรับถาดมาวางตรงหน้าพระอง
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอวี้เหยียนสะท้อนก้องไปทั่วห้อง อวิ๋นซินเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตระหนก ฝ่าบาทมาถึงหน้าประตูแล้ว แต่เหตุใดมิมีผู้ใดรายงาน! อวิ๋นซินเยว่ตื่นตระหนกแล้ว! "ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ" เธอย่อตัวลง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะนั่งลงที่เตียงของเธอ "มาเถิด" สีหน้าเรียบนิ่งขององค์จักรพรรดิทำให้อวิ๋นซินเยว่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน หญิงสาวกวาดสายตามองหาเสี่ยวหลิง แต่เจ้าระบบตัวดีกลับไม่อยู่ให้เห็น 'ดีนี่ เสี่ยวหลง! เวลาสำคัญแบบนี้กลับหายหัว ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ' เธอคิดในใจ ร่างบางเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงข้างกายเจ้าแผ่นดิน อวิ๋นซินเยว่ไม่กล้าสบสายตา แต่เธอรู้สึกได้ว่าคนข้างกายตอนนี้กำลังต้องมองนางอยู่ 'โอ๊ย อึดอัดชะมัด จะจ้องเงียบ ๆ อีกนานมั้ยเนี่ย' อวิ๋นซินเยว่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ฝ่าบาท…เมื่อครู่ทรงหัวเราะสิ่งใดหรือเพคะ?” แววตาคมเข้มตวัดลงมาสบกับนาง ริมพระโอษฐ์ยกขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะขบขัน คล้ายจะเย้า สายตาของเธอที่เผลอเหลือบมอง เมื่อเห็นเช่นนั้นยิ่งชวนให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก “เปล่า”